ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ทำเอากร่อยไปไม่น้อย เวทีพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2566 ที่โหมโรงใหญ่โตว่าจะเป็นเวทีถลกหนัง “รัฐบาลประยุทธ์” ให้แดดิ้นคาสภาฯ
แต่ตอนจบกลับตาลปัตร แทนที่ฝ่ายรัฐบาลจะซวนเซเสียทรง กลับกลายเป็นยืนตระหง่านด้วยฐานเสียงในสภาฯที่มากเกินกว่าที่มีอยู่ในกระเป๋า ด้วยคะแนน 278 ต่อ 194 เสียง และงดออกเสียง 2 เสียง ผ่านร่างงบประมาณวาระแรกไปอย่างสบายๆ
ย้อนไปเมื่อช่วงเวทีพิจารณาร่างงบประมาณ เป็นที่สังเกตว่า ช่วงแรก “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ชี้แจงด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดฉุนเฉียว ลุกขึ้นตอบโต้ฝ่ายค้านแบบหมัดต่อหมัด จนจับสังเกตได้ว่า “ออกอาการ” หวาดหวั่นกับเกมในสภาฯไม่น้อย ต่างจากช่วงวันสุดท้ายที่ดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด เทียบกับผลลงมติที่ออกมา ก็สะท้อนได้ว่า “เบาใจ” ลงหลังกุมเกมในสภาฯได้อย่างอยู่หมัด
ที่ “เสียเหลี่ยม-เสียทรง” คงเป็น “ฝ่ายค้าน” ที่อุตส่าห์ไป “เต้นตาม” เกม “พรรคเล็ก-พรรคปัดเศษ” ถึงขั้นออกมติพรรคร่วมฝ่ายค้านในการลงมติคว่ำร่างงบประมาณตั้งแต่วาระแรก ทั้งที่ตามธรรมเนียมปฏิบัติทางการเมืองไม่มีใครทำกัน เต็มที่ก็งดออกเสียง เพราะรู้อยู่ว่าหากงบประมาณไม่ผ่านตามกำหนด ความเดือดร้อนของประชาชนจะไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหาตามมาอีกอื้อซ่า
ปรากฎ บรรดาพรรคปัดเศษ หรือกระทั่ง “ฝ่ายแค้น” อย่างพรรคเศษฐกิจไทย ภายใต้การนำของ “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ไปซูเอี๋ย-อี๋อ๋อกับแกนนำรัฐบาล “เกลี่ยเค้ก” แบ่งสัดส่วนที่นั่งคณะกรรมาธิการงบประมาณฯ ลงตัว เทเสียงที่ว่ากันว่าเป็น “สวิงโหวต” ไปให้ฝั่งรัฐบาลแบบ 100%
โดย 278 เสียงมาจาก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรคอย่างพร้อมเพรียง ตั้งแต่พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคพลังท้องถิ่นไท พรรครวมพลังประชาชาติไทย พรรคชาติพัฒนา รวมถึงเสียงของ “กลุ่มสวิงโหวต” อย่างพรรคเศรษฐกิจไทย จำนวน 16 เสียง ของ ร.อ.ธรรมนัส และ ส.ส.กลุ่ม 16 จำนวน 18 คน ประกอบด้วย ส.ส.พรรคเล็กบางส่วน ได้แก่ พรรครักษ์ผืนป่าประเทศไทย พรรคครูไทยเพื่อประชาชน พรรคไทรักธรรม พรรคประชาธิปไตยใหม่ พรรคเพื่อชาติไทย พรรคพลังชาติไทย ที่ต่างเทคะแนนให้ความเห็นชอบครบทุกคน
อาหารหนักสุดงานนนี้ไม่พ้น “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ถึงกับออกมาโพล่งว่า กลุ่มสวิงโหวต 30-40 เสียงอยู่กับฝ่ายเรา จนมีลุ้นที่จะล้มรัฐบาลได้ แต่การกลับไม่เป็นเช่นนั้น จนมาถูกเหน็บไล่หลังว่า มีอย่างที่ไหน ไม่รับหลักการร่างงบประมาณ แต่กลับส่งคนไปร่วมเป็นกรรมาธิการฯ
เจ็บจี๊ดไปอีกเมื่อมี ส.ส.พลิกขั้วตามคาด แต่กลับเจอ “งูเห่า” ฝูงใหญ่ในพรรคเพื่อไทยแทน เมื่อปรากฎว่า 278 เสียงที่ลงมติให้ความเห็นชอบร่างงบประมาณนั้นมีเสียงสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทยอีก 7 คน ซึ่งเป็น ส.ส.ศรีสะเกษ 3 คน ที่เตรียมย้ายไปสังกัดพรรคภูมิใจไทย ได้แก่ นพ.จาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์, ธีระ ไตรสรณกุล, ผ่องศรี แซ่จึง แล้วยังโผล่มาอีก 4 คน ได้แก่ จักรพรรดิ ไชยสาสน์ ส.ส.อุดรธานี, นิยม ช่างพินิจ ส.ส.พิษณุโลก, วุฒิชัย กิตติธเนศวร ส.ส.นครนายก และ สุชาติ ภิญโญ ส.ส.นครราชสีมา ที่ก็คาดว่าจะย้ายไปซบ “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย ซึ่งล้วนแล้วก็จัดอยู่ในระดับ “บ้านใหญ่” ทั้งนั้น
ส่วนอีก 2 คนที่ขาดการประชุม ได้แก่ คมเดช ไชยศิวามงคล ส.ส.กาฬสินธุ์ และ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ ส.ส.ชัยภูมิ รวมถึง อนุมัติ ซูสารอ ส.ส.ปัตตานี พรรคประชาชาติ ที่เป็นหน้าเดิมที่ลงคะแนนให้ฝ่ายรัฐบาลมาตลอด
ขณะที่ “ค่ายเสี่ยเอก” พรรคก้าวไกล นั้น ก็เป็นกลุ่มเดิมๆ คือ ส.ส.งูเห่าหน้าเก่า 4 คน ได้แก่ ขวัญเลิศ พานิชมาท ส.ส.ชลบุรี, คารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ, พีรเดช คำสมุทร ส.ส.เชียงราย และ เอกภพ เพียรวิเศษ ส.ส.เชียงราย อีกหนึ่ง คนอย่าง เกษมสันต์ มีทิพย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เป็นอีกหนึ่ง ส.ส.งูเห่าในพรรครอบนี้งดออกเสียง
เท่ากับว่าอีเวนท์ขย่มเก้าอี้รัฐบาลที่ว่ากันว่า หากมีการพลิกขั้ว 30 คะแนน ก็เขี่ย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร่วงจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรีได้แล้ว กลับกลายเป็นเสริมความแกร่งในเง่ “เสียงในสภาฯ” ให้กับนายกฯ เพราะเป็นฝ่ายค้านจากเดิมที่มีอยู่ 208 คน จะหายไปอีกอย่างน้อย 12 เสียง ที่ต่อแต่นี้ก็คงโหวตไปในทิศทางเดียวกับรัฐบาลตลอด
ตัวเลขเสียงฝ่ายค้านที่ต่ำกว่า 200 กลายเป็นต้นทุนที่ทำให้ “ศึกซักฟอก” อภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่วาดหวังว่าจะเป็นการลงดาบสองเผด็จศึกรัฐบาล เร่งปิดเกม เพื่อให้มีการเลือกตั้งพลิกขั้วอำนาจโดยเร็ว คงไม่ง่ายอย่างที่คิดเสียแล้ว
ยิ่งการจัดสรรปันส่วน “เกลี่ยเก้าอี้-แบ่งเค้ก” ในคณะกรรมาธิการงบประมาณฯ ที่เป็นหมุดหมายสุดท้ายใน “ตุนเสบียง” เพื่อลงสู้ศึกเลือกตั้งทั้งรัฐบาล-ฝ่ายค้าน เป็นไปอย่างลงตัวเช่นนี้ เชื่อแน่ว่า ฝ่ายค้านเองก็อยากประคองให้รัฐบาลไปต่อได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะหากเกิดล่มกลายคัน งบประมาณปี 66 ที่มีคิวเข้าสู่การพิจารณาวาระ2-3 ต่อด้วยวุฬิสภา ในช่วงปลายสมัยประชุมรัฐสภา ก็เป็นหมัน
การยื่นอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญ ที่ฝ่ายค้านออกมาฮึ่มๆ ตั้งชื่อยุทธการ “เด็ดหัว สอยนั่งร้าน” กางเป้านายกฯพ่วงรัฐมนตรีรวม 10 รายนั้น ก็มุ่งเน้นเจาะไปที่คีย์แมนของรัฐบาล และของแต่ละพรรค มากกว่าจะมี “ทีเด็ด” ให้ใครพ้นตำแหน่งตามข้อกล่าวหา
ทั้งการกุมสภาพการเมือง “กระดานใหญ่” ไว้อย่างมีเสถียรภาพ อีกทั้งฝ่ายค้านก็ยังไร้หมัดน็อค แถมแอบเอาใจช่วยให้อายุรัฐบาลยืดออกไปให้ “ปิดจ็อบ” การทำงบประมาณ ที่พอมีช่องเบียดบังมาเป็นทุนรอนเลือกตั้งได้แบบนี้
กระทั่งอีเวนท์ใหญ่ “ครอบครัวเพื่อไทย แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” ที่ส่ง “นายใหญ่ดูไบ” ทักศอณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ส่ง “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็ก ลงมาออกหน้าเป็นตัวแสดงเรียกเรตติ้ง ก็ไม่ได้เปรี้ยงปร้างอย่างที่คิด กลับกันยังมี ส.ส.ในพรรคกล้าไหลออก เรียกว่าท้าทาย ความเข้มขลังของยี่ห้อ “ชินวัตร” อยู่พอสมควร
อาจจะมีเหตุแทรกซ้อนให้ต้องลุ้นกับวาระ 8 ปีนายกฯ ในช่วงปลายเดือน ส.ค. ซึ่งหากดูความเคลื่อนไหวของฝ่ายการเมือง-นักเลือกตั้ง ที่ดูไม่เร่งร้อนเตรียมตีวเลือกตั้ง ก็เชื่อได้ว่า “นายกฯ ตู่” จะผ่านไปได้อีกเช่นกัน
ตามรูปการณ์เช่นนี้เท่ากับว่า อายุรัฐบาลที่จะอยู่ยาวไปจน “ครบเทอม” หรืออย่างน้อยก็ให้เสร็จภารกิจสำคัญอย่างการเป็นเจ้าภาพประชุมเอเปค ช่วงปลายปีไปเสียก่อน คงไม่ใช่เรื่องยาก
นาทีนี้หากจะกล่าวถึงปัจจัยที่ “ตามรังควาน” ให้ “ลุงตู่” ไม่สบายอกสบายใจ คงไม่พ้นกระแส “ชัชชาติฟีเวอร์” ทั้งจากชัยชนะอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดของ “จารย์ทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ที่คว้ามากกว่า 1.3 ล้านเสียง ทิ้งห่างคู่แข่งอย่าไม่เห็นฝุ่น
ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ภายหลังการเลือกตั้ง แม้จะไม่มีการประกาศรับรองอย่างเป็นทางการ “ชัชชาติ” ก็เดินหน้าลงพื้นที่ตามคอนเซปต์ “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” พร้อมมีเครือข่ายตีปิ๊บให้แบบเช้า-สาย-บ่าย-เย็น กินรวบพื้นที่สื่อทั้งออฟไลน์-ออนไลน์ จนกระแสดรามาดังๆ ยังต้องตกกระป๋อง หรือจะใช้คำว่า ยึดแผงหรือยึดทุกแพลตฟอร์มก็คงไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริง
หรือแม้จะถูกจ้องจับผิดว่า เป็นขบวนการจัดตั้ง จน “โอเวอร์พีอาร์” แต่ก็มี “ติ่ง” ที่ชื่นชมและปกป้องโดยตลอด รวมไปถึงการแสดงออก-ภาษากาย-คำพูดต่างๆ ของ “ชัชชาติ” อยู่ในระดับที่คนทั่วไปทั้งชื่นชอบ หรือไม่ชื่นชอบ รับได้
เลี่ยงไม่พ้นที่ “ลุงตู่” ที่นั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศมาอย่างยาวนาน จะถูกเปรียบเทียบในทุกมิติ ทั้งภาวะผู้นำ-วิสัยทัศน์-การแสดงออก แม้ตัว “ชัชชาติ” เองก็ออกตัวไว้ก่อนแล้วดับประเด็นการเปรียบเทียบกับนายกฯ ว่า ผู้ว่าฯ กทม.เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชา ถือว่าเป็น “คนละชั้น” เทียบกันไม่ได้
แต่ใครฟัง-ใครดู ก็ชี้ไปในทางเดียวกันว่า “นายกฯ ตู่” ต่างหากที่เทียบ “ผู้ว่าฯ ทริป” ไม่ได้
กลายเป็นประเด็นเข้าไปใหญ่เมื่อ “ชัชชาติ” เน้นการทำงานแบบมีไลฟ์สดควบคู่ไปทุกภารกิจ บังเอิญหรือตั้งใจไม่อาจทราบได้ เมื่อ “บิ๊กตู่” มีภารกิจลงพื้นที่เปิดท่าเรือท่าช้าง-สาทร เมื่อวันพุธที่ 8 มิถุนาย 2565 ที่ผ่านมา “ทีมงานผู้หวังดี” ก็เลยจัดแจงไลฟ์สดภารกิจนายกฯผ่านเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้าบ้าง
ปรากฎได้เสียงตอบรับอย่างล้นหลาม เมื่อมีผู้เข้าไปแสดงความคิดเห็น (คอมเมนท์) ผ่านเฟซบุ๊กไทยคู่ฟ้าอย่างล้นหลามหลายพันราย แต่ล้วนแล้วเข้าไปวิพากษ์วิจารณ์ “เชิงลบ” โดยมองว่า เป็นการไลฟ์สดว่าเลียนแบบ “ชัชชาติ” แถมยังใช้คำเจ็บแสบอีกต่างหากว่า “งานก็อปฯ เซิ่นเจิ้น”
ทว่า ในความเลียนแบบก็เกิดความแตกต่าง เมื่อภารกิจของนายกฯ กลับมีพิธีการเยิ้นเย้อ ต่างจากภารกิจของผู้ว่าฯ กทม.ที่ให้นโยบายไว้ว่า เน้นความเรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตอง
ยิ่งไปกว่านั้นยังมีการเปรียบเทียบ 8 ปีของนายกฯ กับ 8 วันของผู้ว่าฯ ให้เห็นความแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการแสดงออกต่อประชาชนในการรับฟังปัญหาหรือความคิดเห็น โดย “ชัชชาติ” จะเป็นไปในรูปแบบรับฟัง พร้อมไถ่ถามปัญหา และแนวทางที่เสนอให้แก้ไข ขณะที่ “นายกฯ ตู่” จะไปในเชิงอบรมสั่งสอนประชาชนมากกว่า ตามลักษณะของ “ผู้บังคับบัญชา”
รวมทั้งการปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ “ชัชชาติ” สร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่รับตำแหน่ง ด้วยการประกาศหลักการทำงานกับ “เพื่อน” ข้าราชการ กทม.ว่าให้เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ไม่ใช่ “เจ้านาย-ลูกน้อง” ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้เห็นจาก “พล.อ.ประยุทธ์”
ด้วยบุคลิกความเป็นตัวตนของ “บิ๊กตู่” ที่เติบโตมาจากนายทหารตลอดชีวิต ที่พิสูจน์แล้วว่า 8 ปีหรือนานกว่านี้ก็ปรับที่ตัว “บิ๊กตู่” ไม่ได้ ขณะที่ “ชัชชาติ” แม้จะมาทางสายวิชาการ แต่ก็แจ้งเกิดทางการเมืองด้วย “การตลาด” ผ่านรูปไวรัล ใส่ชุดวิ่ง เดินเท้าเปล่า ถือถุงแกง เข้าไปใส่บาตร ที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ จนได้รับสมญานาม “รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี”
รวมทั้ง 2 ปีเศษก่อนมาประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ก็ใช้กลยุทธ์ “พีอาร์” จนชื่อฮิตติดตลาด แม้จะห่างการเมืองไปนานก็ตาม เสริมเติมแต่งจนวันนี้ “ผู้ว่าฯชัชชาติ” กลับกลายเป็นนักการเมือง-ผู้บริหารในอุดมคติของประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ดังนั้นการที่เห็นว่า “ชัชชาติ” ทำแล้วได้แต้ม-ได้กระแส แล้วไปจับมาใส่ตัว “พล.อ.ประยุทธ์” แบบไม่ปรับให้เหมาะหรือเข้ากับบุคลิก “นักแสดง” ในทางการตลาดก็เรียกว่า “คิดสั้น”
ไม่ต่างจากช่วงก่อนการเลือกตั้งปี 2562 ที่มีทีมงานจับ “บิ๊กตู่” มาแอ็กท่าทำหน้าปั้นจิ้มปั้นเจ๋อ ทำแคมเปญส่งไลน์สวัสดี 7 วัน 7 สี จนถูกล้อเลียนมาถึงวันนี้
หากเป็นเอกชน คงสั่งโละทิ้งให้หมด พวกทีมงาน-ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์ หรือแป็นสมัยโบราณคงมีต้องสั่งเฆี่ยประจานให้สมกับความล้มเหลวที่เกิดขึ้น
ต้องทำใจยอมรับให้ได้ว่าช่วงนี้เป็น “ฮันมูนพีเรียด” ช่วงเวลาของ “ชัชชาติ” จริงๆ ตามภาษิตน้ำเชี่ยวก็อย่าเพิ่งริเอาเรือไปขวาง หรืออย่าคิดลงไปแข่งในเกมที่ไม่ถนัด
ส่วนตัว “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ต้องทำใจยอมรับว่า ขณะนี้อยู่ในช่วง “ขาลง” ตามธรรมดาของคนอยู่มานาน ท่ามกลางวิกฤตที่ประดังประเดเข้ามาไม่หยุดหย่อน แล้ววางยุทธศาสตร์ปั้นตัวเองใหม่ ในฐานะที่จบโรงเรียนเสนาธิการ และมี “ฝ่าย เสธ.” รายล้อมตัวคงคิดหาทางได้ไม่ยาก ที่ไม่ใช่ไปลอกเลียนแบบใคร
หรือก่อนอื่นต้องตั้งหลักจัดระเบียบ แต่งตัวเองให้เรียบร้อยว่า จะเอาอย่างไรในทางการเมือง “ไปต่อ” หรือ “พอแค่นี้” หากจะไปต่อต้องเริ่มวางตัวแล้วว่าจะอยู่ในสถานะไหนในทางการเมือง
จะเป็นแค่นายกฯ ที่รอคนมาเชิญไปเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคการเมือง หรือจะเป็นหัวหน้าพรรค เป็นสมาชิกพรรคการเมือง ที่ลงพื้นที่หาเสียงได้แบบไม่เคอะเขิน
เคลียร์คัมตัดจบความสัมพันธ์ “พี่น้อง 3 ป.” ที่ป่าวประกาศว่าตัดกันไม่ขาดให้ชัดเจนว่า ใครเหมาะอยู่ในจุดไหน ใครทำหน้าที่อะไร ไม่ใช่ว่ามีกระแสข่าว “น้องตู่” จะมาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แล้วก็ทำให้ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เจ้าของเก้าอี้หวาดระแวง
อย่าลืมว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าเป็น “เดิมพันสำคัญ” ของทั้ง 3 ป. ที่รวมไปถึง “พี่ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ด้วยหากพลิกขั้วอำนาจขึ้นมา สิ่งที่ทำมาตลอด 8 ปีมีหรือที่จะถูกหยิบขึ้นมา “เช็กบิล” ในภายหลัง หลายเรื่องขณะนี้ก็อยู่ในชั้นคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เมื่อขั้วอำนาจเปลี่ยน สถานการณ์ก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย
ต้องไม่ลืมอีกว่า 3 ปีกว่าภายหลังการเลือกตั้งมานี้ “พล.อ.ประยุทธ์” ลงมาคลุกฝุ่นในฐานะนักการเมืองเต็มตัวนานแล้ว ไม่ใช่ “หัวหน้า คสช.” ที่ต้องให้คนไปอัญเชิญมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกแล้ว
สถานการณ์การเมืองดูผ่อนคลายลงไปพอสมควร ยังมีเวลาเหลือเฟือให้ “ลุงตู่” ได้คิด วิเคราะห์ เพื่อวางสถานะที่เหมาะสมในการทำการเมืองต่อไปของตัวเอง โดยที่ “พี่ใหญ่-พี่รอง” ก็ต้องเห็นควรและคล่อยตาม
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ช่วยย้อนไปอ่านด้านบนให้ชัดๆ อีกครั้ง นั่นคือโละทิ้ง “ทีมงาน-ที่ปรึกษาด้านการประชาสัมพันธ์” ให้หมด เพราะคะแนนที่ได้ยังไม่ผ่าน “เกณฑ์มาตรฐาน” อัน “พึงมี” แถมถ้าจะบอกกันแบบไม่ไว้หน้าว่า “สอบตก” ก็คงไม่มีใครเถียง
อะไรที่ไม่ใช่ก็อย่าไปฝืน เพราะเห็นผลลัพธ์ที่ออกมาแล้ว.