xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

My Way ทางของ “ทริป” เลือกเอง-ตัดสินใจเอง-สะท้อนตัวเอง กับ “ดรีมทีม” ที่(เกือบ)ปลอดการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ป้อมพระสุเมรุ

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขึ้นเป็น “พ่อเมืองหลวง” ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร อย่างเป็นทางการ

เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประกาศรับรอง “จารย์ทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่าฯ กทม. คนที่ 17

หลังสร้างประวัติการณ์ ได้รับคะแนนเสียงมากถึง 1,386,215 คะแนนที่ชาวกรุงเทให้ เหนือกว่าคู่แข่งทุกรายมากกว่าล้านคะแนน และชนะผู้ว่าฯ กทม.ทุกคนในอดีตที่ผ่านมา จนกลายเป็นปรากฏการณ์ “ชัชชาติฟีเวอร์”

เป็นกระแสฟีเวอร์หนัก ขนาด กกต.ที่มีขั้นตอนการพิจารณาประกาศรับรอง ยังโดน “ทัวร์ลง” จนแทบอยู่ไม่ได้ นอกจากโดนก่นด่าผ่านสังคมออนไลน์แล้วยังมีโทรศัพท์ไปสอบถามที่สายด่วน กกต. 1444 เพื่อสอบถามเรื่องการรับรองผลการเลือกตั้งให้ “ชัชชาติ” เป็นผู้ว่าฯ กทม. จนสายแทบไหม้

ยิ่งไปกว่านั้น หลังชนะเลือกตั้ง “ชัชชาติ” ยังคงเลี้ยงกระแส และเพิ่มกระแส ผ่านการลงพื้นที่แบบไม่พัก สมกับมอตโต้ “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ตามแคมเปญที่เคยใช้ช่วงแรกที่ประกาศตัวลงชิงชัยผู้ว่าฯ กทม.อีกด้วย สอดแทรกไปด้วยวิสัยทัศน์ และภาษากายที่นำมาซึ่งเสียงชื่นชมที่เพิ่มมากขึ้นทุกขณะ

ทุกความเคลื่อนไหวล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นตัวตนของ “ชัชชาติ” ที่นำมาซึ่งเสียงชื่นชมในระดับ “อวยไส้แตก”

จนแทบไม่น่าเชื่อว่า เมื่อครั้งย่างกรายเข้าสู่การเมืองใหม่ๆ “ชัชชาติ” ผู้นี้เคยติดโผ “รัฐมนตรีโลกลืม” สมัยเป็น รมช.คมนาคม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนมามีชื่อติดตลอดหลังเกิดไวรัล ใส่ชุดวิ่ง เดินเท้าเปล่า ถือถุงแกง เข้าไปใส่บาตร ที่วัดบูรพาราม จ.สุรินทร์ จนได้รับสมญานาม “รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี”

เพราะมาวันนี้ “ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” กลับกลายเป็นนักการเมือง-ผู้บริหารในอุดมคติของประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยเฉพาะเมื่อวันที่เข้ารับหน้าที่ผู้ว่าฯ กทม.ที่ศาลาว่าการ กทม. เสาชิงช้า ที่ได้ประกาศหลักการทำงานกับ “เพื่อน” ข้าราชการ กทม.ว่าให้เป็น “เพื่อนร่วมงาน” ไม่ใช่ “เจ้านาย-ลูกน้อง”

“ต้องบอกก่อนว่าผมไม่ใช่นาย อย่าเรียกว่านาย เรียกผมว่าอาจารย์ ผมไม่ได้มาเป็นนาย แต่เป็นเพื่อนร่วมงาน” กลายเป็นถ้อยคำที่ถูกถ่ายทอดออกไปอย่างกว้างขวาง

นอกจากนี้ยังตั้ง “5 กฎเหล็ก” ที่ทลายขนบ “ราชการแบบไทยๆ” อย่างราบคาม กล่าวคือ

1.ส่วนตัวเป็นคนตื่นเช้า แต่ข้าราชการไม่ต้องตื่นเช้าแทน ทุกคนมีภารกิจต้องไปทำ มีลูกต้องไปส่ง มีภรรยาต้องไปรับ ก็ทำไปตามเดิม บางทีผู้ว่าฯ มา 6 โมงเช้า ก็ไม่ต้องกังวล

2.มีอะไรขอให้พูดคุยกัน หากผู้ว่าฯ ทำอะไรไม่เหมาะ บอกได้ “ทุกคนมีอะไรอย่าเก็บไว้ในใจ เรื่องงานพูดกันเลย เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย หาข้อยุติ แล้วก็เดินหน้าทำงานให้ประชาชน”

3.ความโปร่งใสสุจริตมาเป็นอันดับหนึ่ง “ผมจะไม่ทนกับการทุจริตคอร์รัปชัน ตอนนี้ก็เริ่มมีการแอบอ้างชื่อผมแล้ว ไม่มีนะครับ ถ้าใครแอบอ้างให้แจ้งทีมงาน"

4.เวลาไปลงพื้นที่ ไม่ต้องมาเยอะ เอาเฉพาะคนที่จำเป็น “ถ้ามาเยอะ ผมจะถามว่ามาทำไม ต้องตอบให้ได้ หรือเวลาไปไหนไม่ได้บอกพวกเรา ไม่ใช่ไปจับผิดอะไร แต่เกรงใจ อยากไปคุยกับประชาชนจริง ๆ” และ “เวลาไปไหนขอให้เรียบง่าย จำนวนน้อย ๆ เวลาลงพื้นที่ อย่าทำความเดือดร้อนให้ประชาชน”

และ 5.ห้ามทำป้ายมีชื่อชัชชาติ หรือขึ้นรูปผู้ว่าฯ เพราะไม่ต้องการประชาสัมพันธ์ตัวเอง เนื่องจากมาทำงานในฐานะผู้มารับใช้ประชาชน ในนามของ กทม.

พร้อมทั้งยังมีการวางโรดแมพการทำงานวันจันทร์-ศุกร์ วันราชการจะทำงานร่วมกับข้าราชการที่ศาลาว่าการ กทม.เสาชิงช้า เป็นหลัก ส่วนวันหยุด เสาร์-อาทิตย์ จะลงพื้นที่เพื่อรับทราบปัญหา และติดตามโครงการต่างๆ ใน กทม.


ไม่เพียงแต่ความโดดเด่นเฉพาะตัวเท่านั้น เมื่อเปิดตัวและเซ็นแต่งตั้ง 18 ทีมงานบริหาร กทม. “หรือ “ดรีมทีมชัชชาติ” ออกมา ก็ล้วนแล้วแต่ได้รับคำชื่นชม เป็นศูนย์รวมบุคคลที่มีึความรู้ความสามารถ ผสมผสานความหลากหลาย และกล้าหาญที่จะใช้คนรุ่นเก่า-ใหม่ร่วมกัน โดยรองผู้ว่าฯกทม.รายหนึ่งมีอายุเพียง 33 ปีเท่านั้น

โดย 18 ดรีมทีมชัชชาติ ประกอบด้วย 4 รองผู้ว่าฯ กทม. 1.รศ.ดร.วิศณุ ทรัพย์สมพล, 2. นายจักกพันธุ์ ผิวงาม, 3. ผศ.ดร.ทวิดา กมลเวช และ 4. นายศานนท์ หวังสร้างบุญ

9 คณะที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม. 1.นายต่อศักดิ์ โชติมงคล ประธานที่ปรึกษา, 2. ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์, 3. พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก, 4. พล.อ.ท.นพ.อนุตตร จิตตินันทน์, 5. พล.ต.อ.อดิศร์ งามจิตสุขศรี, 6. นางวิลาวัลย์ ธรรมชาติ, 7. นายอรรถเศรษฐ์ เพชรมีศรี, 8. นายภาณุมาศ สุขอัมพร และ 9. นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์

1 เลขานุการผู้ว่าฯ กทม. คือ นายภิมุข สิมะโรจน์

และ 4 ผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ประกอบด้วย 1.นายเอกวรัญญู อัมระปาล (ควบโฆษก กทม.) , 2. น.ส.ศนิ จิวจินดา, 3. นายจิรัฏฐ์ ม้าไว และ 4. สิทธิชัย อรัณยกานนท์

หลายเสียงพูดไปถึงว่าหน้าตา “ดรีมทีมชัชชาติ” ดูดีกว่าคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบันเสียอีก

เมื่อเจาะโปรไฟล์ของแต่ละรายแล้วก็ต้องบอกว่า “ไม่ธรรมดา” ไล่ตั้งแต่ 4 รองผู้ว่าฯกทม.ที่ถูกขนานนามว่าเป็น “จุฬาฯคอนเนกชัน” โดยมี 3 รายที่จบและรับราชการที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ส่วนอีก 1 รายมาจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

ประกอบด้วย “วิศณุ ทรัพย์สมพล” รองผู้ว่าฯ ดูแลด้านโครงสร้างพื้นฐาน การจราจร เป็นอดีตรองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์ฯ และอาจารย์ภาควิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ และเคยเป็นกรรมการอิสระ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) และกรรมการอิสระ บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)

“จักกพันธุ์ ผิวงาม” รองผู้ว่าฯ ดูแลด้านการเงิน การคลัง เป็นอดีตรองปลัด กทม. และอดีตรองผู้ว่าฯกทม.ในสมัย พล.ต.อ.อัศวิน โดย “จักกพันธุ์” จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาโทจากจุฬาลงกรณ์ฯ เป็นลูกหม้อ กทม.

ก่อนแต่งตั้งไม่กี่วัน “ชัชชาติ” ยกให้เป็น “เพชรของ กทม.” ว่า “ท่านจักกพันธุ์ เป็นคนดีมากๆ และเวลาตีสี่ ผมก็ตื่นเช้า สามารถคุยกับท่านจักกพันธุ์ได้ทุกเช้า เพราะท่านตัวคนเดียวไม่มีครอบครัว อีกทั้งท่านยังโปร่งใส ซื่อสัตย์สุจริต ซึ่งข้าราชการทุกคนพูดเหมือนกันว่า ท่านจักกพันธุ์ เป็นเพชรของ กทม. คนหนึ่งในกลุ่มที่ได้มีการพิจารณา เพราะเราต้องการคนเข้าใจงาน เราไม่มีเวลาฮันนีมูน”

ความโปร่งใสของ “จักกพันธุ์” พิสูจน์จากเมื่อครั้งที่ได้ยื่นหนังสือลาออกจากรองผู้ว่าฯกทม.สมัย พล.ต.อ.อัศวิน เมื่อวันที่ 22 ก.ค.65 สาเหตุมาจากการถูกกดดันให้ลงนามอนุมัติ (แทนผู้ว่าฯ) ผลการประกวดราคา ดำเนินโครงการเตาเผาขยะ 2 แห่งคือ หนองแขมและอ่อนนุช วงเงินรวม 1.3 หมื่นล้านบาทที่ถูกภาคเอกชนร้องเรียนว่า มีการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนบางราย

ซึ่งปัจจุบัน โครงการเตาเผาขยะของ กทม.ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) รวมทั้งโรงขยะที่อ่อนนุช เพิ่งถูกศาลปกครองสั่งระงับการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ในช่วงหาเสียงผู้ว่าฯ กทม.นี่เอง

“ทวิดา กมลเวชช” รองผู้ว่าฯ ดูแลด้านภัยพิบัติและสาธารณสุข อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอาจารย์ประจำสาขาบริหารรัฐกิจ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งแต่ปี 2541 เป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการภัยพิบัติ ทั้งไทยและองค์กรระหว่างประเทศทั่วโลก จนได้ชื่อว่าเป็น “เจ้าแม่ภัยพิบัติ” เป็นที่ปรึกษาทางด้านการจัดการภัยพิบัติและภาวะฉุกเฉิน ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ประเทศไทย ที่ปรึกษาอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมทั้งมีส่วนร่วมกับการแก้ไขปัญหามหาอุทกภัยเมื่อปี 2554 ด้วย

“ทวิดา” เป็นบุตรสาาวของ “ทวีศักดิ์ กมลเวชช” ที่เคยเป็นผู้อำนวยการเขตพญาไท และเป็น ส.ก.เขตบางพลัด พรรคประชาธิปัตย์ ปี 2544 โดยในยุค พล.ต.อ.อัศวิน “ทวีศักดิ์” ก็ได้เป็นที่ปรึกษาผู้ทรงคุณวุฒิของผู้ว่าฯ กทม. ทำให้ “ทวิดา” มีความคุ้นเคยกับการทำงานใน กทม.เป็นอย่างดี โดยเคยเป็นคณะทำงานที่ปรึกษาในหลายชุด อาทิ คณะอนุกรรมการสำนักงานข้าราชการ กทม. ตั้งแต่ปี 2562

และรองผู้ว่าฯ คนสุดท้าย “ศานนท์ หวังสร้างบุญ” ที่สร้างความฮือฮาด้วยวัยเพียง 33 ปี ได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านการศึกษาและพัฒนาสังคม จบการศึกษาจากภาควิชาวิศวกรรมอุตสาหการคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ฯ และเคยเป็นอดีตนายกสโมสรนิสิตจุฬาลงกรณ์ฯ พ.ศ.2553

ก่อนหน้านี้มีบทบาทในการทำกิจกรรมเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างโดยเฉพาะการต่อสู้ของคนในชุมชนชาวรากหญ้าและคนจนเมือง อาทิ ชุมชนป้อมมหากาฬ ที่ถูกไล่เพื่อสร้างสวนสาธารณะในช่วงรัฐบาล คสช. เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง SATARANA (สาธารณะ) เครือข่ายภาคประชาสังคมที่ทำงานเรื่องการพัฒนาเมือง และเป็นหนึ่งในทีมกลุ่มเมล์เดย์ (Mayday) ผู้ออกแบบปรับปรุงป้ายหยุดรถเมล์รูปแบบใหม่

ขณะที่เลขานุการ “เดอะเอ้” ภิมุข สิมะโรจน์ จบระดับปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ลาดกระบัง และระดับปริญญาโท บริหารธุรกิจ Michigan State University สหรัฐอเมริกา และรัฐประศาสนศาสตร์ รัฐศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นอดีต ส.ส.กทม. เขตบางพลัด 2 สมัย พรรคไทยรักไทย เป็นบุตรชายคนโตของ "มงคล สิมะโรจน์" อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. เคยเป็นผู้อำนวยการองค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมป์ เคยรับตำแหน่งอดีตรองหัวหน้าพรรคกล้า

ส่วน “คณะกุนซือ” ที่ปรึกษาผู้ว่าฯ กทม.ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน ที่นำโดย “ต่อศักดิ์ โชติมงคล” เจ้าของสมญา “อากง” เป็นอดีตผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ และรุ่นพี่วิศกรรมศาสตร์ ของ “ชัชชาติ” ได้รับการยกย่องว่าเป็นเบื้องหลังความสำเร็จในการเลือกตั้งที่ผ่านมาตัวจริง

ธีรภัทร เจริญสุข ทีมงานหาเสียงของนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กชื่อ Theerapat Charoensuk ถึง “อากง” ไว้ว่า "อากงต่อ หน้ากลม ผมขาว หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เหมือนอาแปะทั่วไปที่เห็นได้ตามสวนลุม เหมือนอากงที่นั่งจิบน้ำชาแถวเยาวราช แต่นี่แหละคือคนทำงานตัวจริง แห่งวิศวะ จุฬาฯ ผู้สร้างโรงงานยาสูบให้ยิ่งใหญ่ ขยายโรงงานไปยังอยุธยา พลิกตัวเลขขาดทุนในยุคซบเซาเป็นกำไร ส่งเข้าคลังชาติมากมายนับหลายพันล้าน

เป็นผู้ตัดสินใจมอบที่ดินสวนเบญจกิติจากโรงงานยาสูบ ให้กรุงเทพมหานคร นำมาสร้างเป็นสวนสาธารณะในปัจจุบัน และเป็นทั้งนักธุรกิจ ผู้บริหารงานภาครัฐ และนักการทูตโดยไม่อิงขั้วข้างการเมืองใดๆ สาเหตุที่ต่อศักดิ์ลุกขึ้นมาลุยการเมืองท้องถิ่น เพราะเห็นแล้วว่าชัชชาติรุ่นน้องวิศวะผู้นี้ คือคนที่อากงรอคอยมากว่า 50 ปี เป็นคนที่มีความตั้งใจมุ่งมั่นแน่วแน่ ที่จะทำงานเมือง รับใช้ประชาชน"

นอกจากนี้ยังมี “บิ๊กแป๊ะ” พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตนักเรียกเตรียมทหาร (ตท.14) เคยเป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ดำรงตำแหน่งได้เพียง 8 เดือน รัฐบาลก็ถูกรัฐประหาร พร้อมถูกปลดทันที จากนั้นโลว์โปรไฟล์ ไม่เกี่ยวข้องทางการเมือง จนไปสมัครเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) แต่ถูกตีตกในชั้น ส.ว.


และขาดไม่ได้ “ดอกเตอร์ยุ้ย” เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเสนาดีเวลลอปเมนท์ จัดเป็นหญิงแกร่งในวงการอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย จบปริญญาตรี บัญชีจุฬาลงกรณ์ฯ และจบปริญญาเอก จากสหรัฐอเมริกา ด้วยวัยเพียง 25 ปี เป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ เมื่ออายุ 28 ปี ด้วยความที่เป็นศิษย์น้องของ “ชัชชาติ” จึงถูกดึงตัวมาช่วยในทีมยุทธศาสตร์ และนโยบาย ถือเป็นทีมงานเพียงไม่กี่คนที่ออกหน้า จนคาดหวังเป็นหนึ่งในรองผู้ว่าฯ กทม. แต่ปรากฎว่า “ด็อกเตอร์ยุ้ย” ปฏิเสธ และขออยู่เบื้องหลังช่วยดูเรื่องนโยบายแทน

เอาเข้าจริงทั้ง 18 คนในทีมชัชชาติ เรียกว่า “เกือบ” ปลอดการเมือง ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “บิ๊กเพื่อไทย” พยายามต่อรองขอเก้าอี้รองผู้ว่าฯกทม.ด้วย แต่ “ชัชชาติ” เซย์โน

คงจะมีเพียง “มาดามใหญ่” วิลาวัลย์ ธรรมชาติ อดีต ส.ก.เขตจตุจักร ที่กว้างขวางคอนเนกชันการเมือง เป็นลูกหม้อพรรคเพื่อไทย และต่อสายตรงถึง “คนแดนไกล” ได้

รวมไปถึง ศนิ จิวจินดา ที่เป็นอดีตผู้จัดการสถาบันเยาวชนเพื่อไทย ของพรรคเพื่อไทย ที่เพิ่งถูกเปิดเผยว่า เคยถูกคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) ใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง พร้อมกับพวกรวม 13 ราย รวม 291.17 ล้านบาท เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 2564 กรณีสร้างราคาหุ้น “เกียรติธนา ขนส่ง” หรือ KIAT ซึ่งงานนี้ “ชัชชาติ” ถึงกับต้องออกมายืนยันและรับประกันด้วยตัวเองว่า “น.ส.ศนิ โดนสั่งปรับเท่านั้น ไม่ได้ถูกดำเนินคดีอาญา ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นความผิดพลาดและเข้าใจผิดในการร่วมลงทุนซื้อขายหุ้น ได้มีการตรวจสอบประวัติของทีมงานเรียบร้อยแล้ว ซึ่ง น.ส.ศนิ ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าฯ กทม. ไม่ได้เข้าไปเกี่ยวกับเรื่องเงิน แต่มีหน้าที่ประสานงานเท่านั้น จึงมั่นใจว่าทำงานได้อย่างแน่นอน”

ที่ว่าเป็นตัวอย่างของดรีมทีมชัชชาติ ที่ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ถือว่ามีความรู้ความสามารถ และเป็นความหวังให้กับคนกรุงในการแก้ไขปัญหาเร่งด่วน หรือการขับเคลื่อน 214 นโยบายของ “ผู้ว่าฯชัชชาติ”

อีกทั้งยังสะท้อนว่า พลานุภาพของ 1,386,215 เสียง ที่เปรียบเป็น “มติมหาชน” เป็นเกราะกำลังชั้นดีที่ป้องกันไม่ให้ “ฝ่ายการเมือง” เข้ามาแทรกแซง และ “ชัชชาติ” สามารถตั้งคน-ลุยงานได้ตามสไตล์ของตัวเอง.





กำลังโหลดความคิดเห็น