xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ถึงเวลา “ชัชชาติ” หมดเวลา “3 ป.”??

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดด้วย 1,386,215 คะแนน หรือ 51.85% ของผู้ออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งของ “เดอะทริป” - ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในการเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) กลายเป็นปรากฎการณ์ที่สะเทือนไปถึง “การเมืองใหญ่” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคะแนนผู้ชนะอย่าง “ชัชชาติ” ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม.คนที่ 17 ที่ลงในนามอิสระและได้รับฉันทามติจากคนกรุงด้วยคะแนนสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ทิ้งห่างคู่แข่งแบบไม่เห็นฝุ่น

ตั้งแต่ “พี่เอ้” - สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ 254,647 คะแนน “เฮียโรจน์” - วิโรจน์ ลักขณาอดิศร จากพรรคก้าวไกล ที่ได้ 253,851 คะแนน “พี่จั้ม” - สกลธี ภัททิยกุล” ที่ลงในนามอิสระ ที่ได้ 230,455 คะแนน หรือ “บิ๊กวิน” - พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯกทม.จากการแต่งตั้ง ที่ลงในนามอิสระ ที่ได้ 214,692 คะแนน

โดยที่ไม่มีคู่เทียบรายใดมีคะแนนโดดขึ้นมาแม้แต่รายเดียว แง่หนึ่งก็สะท้อนความโดดเด่นของตัว “ชัชชาติ” เอง อีกแง่ก็สะท้อนถึงภาพ “คนไม่เอารัฐบาล” และความผิดพลาดในยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของ “ฝ่ายผู้แพ้”

ก่อนการเลือกตั้งมีการจัดหมวดหมู่ 7 ตัวเต็งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ไว้เป็น 2 ฝ่าย คือ “ฝ่ายก้าวหน้า” หรือกลุ่มไม่เอารัฐบาล มี “ชัชชาติ-วิโรจน์” และ “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี จากพรรคไทยสร้างไทย ที่ได้ 73,826 คะแนน เข้ามาเป็นที่ 7

ส่วนอีกกลุ่มถูกจัดเป็น “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ประกอบด้วย “สุชัชวีร์-สกลธี-อัศวิน” และถ้านับรวมไปถึง “เจ๊รส” รสนา โตสิตระกูล ที่ได้ 79,009 คะแนน มาเป็นอันดับ 6

ปรากฏว่าคะแนนของ “ฝ่ายก้าวหน้า” รวมกันได้มากถึง 64% ขณะที่ “ฝ่ายอนุรักษ์นิยม” ได้ไปเพียง 29% เท่านั้น แพ้ไปถึงเท่าตัว

ในส่วนผลการเลือกตั้งสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 50 เขต ปรากฎว่า พรรคเพื่อไทยได้ 20 เขต พรรคก้าวไกล 14 เขต พรรคประชาธิปัตย์ 9 เขต กลุ่มรักษ์กรุงเทพ 3 เขต พรรคไทยสร้างไทย 2 เขต และพรรคพลังประชารัฐ 2 เขต

ยิ่งเมื่อเจาะลงไปที่คะแนน ส.ก. ก็ยิ่งสะท้อนถึงความโดดเด่นของ “ชัชชาติ” ที่ไม่ได้ส่งผู้สมัคร ส.ก. แต่กลับกวาดคะแนนของพรรค-กลุ่มอื่นมาไว้ที่ตัวเองได้ทั้งหมด เพราะผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ที่ส่ง ส.ก.ด้วยทุกพรรค-กลุ่ม มีคะแนนน้อยกว่าคะแนนรวม ส.ก.ของพรรค-กลุ่มตัวเอง

ไม่เพียงเท่านั้นยังมีสมมติฐานที่ว่าคะแนนจาก “ปีกอนุรักษ์นิยม” พอสมควรที่ลงคะแนนให้ “ชัชชาติ” อีกด้วย

เท่ากับว่า การลงคะแนนเชิงยุทธศาสตร์ “ไม่เลือกเรา เขามาแน่” ของฝั่งอนุรักษ์นิยมที่โหมกันในช่วงโค้งสุดท้าย นอกเหนือจากไม่ได้ผลแล้ว ยังส่งให้คะแนน “ชัชชาติ” สูงสุดในประวัติการณ์ด้วย ทั้งที่ก่อนเลือกตั้งมีการประเมินว่า คะแนนจะกระจายไปที่ผู้สมัครที่มีชื่อหลายคน จนผู้ชนะได้คะแนนไม่ถึงล้านเสียง

ทั้งยังนำมาซึ่งปรากฎการณ์ “สลิ่มเสียงแตก” จนทำให้คะแนนผู้ว่าฯ กทม.กระจัดกระจาย เห็นได้จากคะแนนของ “สุชัชวีร์-สกลธี-อัศวิน” กระจุกตัวอยู่ที่ราว 2 แสนเสียงกว่าคะแนนเท่านั้น ไม่มีใครโดดขึ้นมาในปีกอนุรักษ์นิยม อีกทั้งยังเป็นเหตุให้ ส.ก.ถูก “เพื่อไทย-ก้าวไกล-ไทยสร้างไทย” กวาดไปเกินครึ่ง โดยหลายเขตผู้สมัคร ส.ก.พลังประชารัฐ-รักษ์กรุงเทพ ตัดคะแนนกันเองอย่างเห็นได้ชัด

ผลการเลือกตั้งสนามเมืองกรุงที่เพิ่งผ่านพ้นไป ย่อมนำมาซึ่งการตีความภูมิทัศน์ทางการเมืองในปัจจุบัน ที่เห็นตรงกันทุกฝักฝ่ายว่า เป็นเพราะกระแสเบื่อหน่ายรัฐบาล ที่ต่อท่ออำนาจมาจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ซ้ำร้ายวันเลือกตั้งยังเจาะจงเลือกให้ตรงกับวันครบรอบ 8 ปี รัฐประหาร 22 พ.ค.2557 โดย คสช.เสียด้วย ผู้ชนะอย่าง “ชัชชาติ” ผู้อยู่ในเหตุการณ์วันนั้น ก็ได้ทีประกาศถ้อยแถลงว่า “วันนี้เป็นวันที่มีความหมายสำหรับผม เพราะว่า 8 ปีที่แล้วเกิดรัฐประหาร ผมอยู่ในเหตุการณ์ ผมก็ถูกคลุมหัว มัดมือ ตอนนี้ล่ะ นาทีนี้เลย ผมถูกนำตัวไปที่ไหนยังไม่รู้ แต่เขาคลุมหัวไป ตอนกลับเขาก็คลุมหัวกลับ 7 วัน…”

ไม่แปลกที่ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่รีบออกมาโหนกระแส “ชัชชาติแลนด์สไลด์” ฉวยจังหวะขย่มรัฐบาล ทั้งยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาด บวกกับศรัทธาที่เสื่อมทรุดตกต่ำว่า

“เป็นเพราะประชาชนสะท้อนให้เห็นถึงการที่เขาอยู่กับความทุกข์ยากมานาน เป็นผลมาจากการชัตดาวน์กรุงเทพฯ เขาก็ตัดสินใจเลือกแนวทางฝ่ายประชาธิปไตยที่จะมาแก้ปัญหาให้เขา ที่น่าจะเข้าใจปัญหาของเขามากกว่า วันนี้เราเห็นคะแนนชัดเจน ส.ก. เพื่อไทย กับก้าวไกลรวมกันเกินครึ่ง แล้วก็ชัชชาติคนเดียวชนะฝ่ายที่สนับสนุนทหารอยู่เยอะ พอมารวมกันแล้ว ชัดเจน บอกให้ผู้มีอำนาจบริหารบ้านเมืองทุกวันนี้ให้รู้ว่าประชาชนไม่มีความสุขเลย”

มั่นใจว่ากระแสจะจะลามไปถึงศึกเลือกตั้งใหญ่ ที่ฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทยจะ “แลนด์สไลด์” ไม่ต่างจาก “ชัชชาติ” ที่เป็นอดีตคนของพรรค

 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์
เชื่อว่า “ฝ่ายอำนาจ” สัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายที่ว่านี้เช่นกัน โดยเฉพาะความล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงของ “พล.ต.อ.อัศวิน” อดีตผู้ว่าฯ กทม.ที่แต่งตั้งโดย คสช. ซึ่งถือว่ามีความพร้อมมากที่สุดในการเลือกตั้งครั้งนี้

โดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่แม้คำพูดจะไม่ให้ความสลักสำคัญกับผลการเลือกตั้ง แต่ก็เจือความหงุดหงิดในระดับเข้มข้นอยู่ไม่น้อย “กทม.เป็นจังหวัดหนึ่งในประเทศไทยเท่านั้นเอง ก็เป็นความคิดเห็น ความชอบพอของประชาชน ก็ว่ากันไป ตามกลไกของประชาธิปไตย …ไม่สะท้อนอะไรทั้งนั้น ไม่สะท้อนอะไรกับผม ซึ่งพรรคที่สนับสนุนรัฐบาลผม พรรคพลังประชารัฐก็ไม่ได้ส่งลงสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ”

หากไม่ถึงขั้น “หลอกตัวเอง” ก็คงต้องการรักษาฟอร์มผ่านสื่อเท่านั้น เพราะเห็นๆ อยู่ว่า เป็นความล้มเหลวของฝ่ายรัฐบาล ผ่าน “พล.ต.อ.อัศวิน” ที่เป็นสัญลักษณ์ของ คสช.

รวมถึง “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่มี “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าพรรค และเป็นแกนนำรัฐบาลในตอนนี้ ที่ตกต่ำอย่างชัดเจน ทั้งที่ครั้งเลือกตั้งปี 2562 เป็นแชมป์เมืองหลวง คว้ามาได้ถึง 12 ที่นั่ง ส.ส. แต่กลับได้ ส.ก.เพียง 2 ที่นั่ง เรียกว่าต่อเนื่องจากความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในสนามเลือกตั้งซ่อมที่หลักสี่-จตุจักรจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

นอกเหนือจากคะแนนเลือกตั้งที่สะท้อนต่อกระแส “ขั้วการเมือง” แล้ว ยังสามารถวิเคราะห์ไปได้ถึง “สเปกผู้นำ” ที่ประชาชนอยากให้มาเป็น “ผู้บริหารบ้านเมือง” ด้วย

ไม่เพียงแต่ “พล.ต.อ.อัศวิน” จะเป็นเสมือนตัวแทน คสช.เท่านั้น ยังอาจพูดได้ว่าเป็นตัวแทนของ “พล.อ.ประยุทธ์” ก็ว่าได้ ในฐานะที่เป็นข้าราชการในระดับ “นายพล” มาเช่นกัน อีกทั้งยังแทบสไตล์การพูดจายังแทบถอดแบบกันมา โอ้อวดว่ามีผลงานเยอะแยะ แต่ผู้คนกลับไม่สนใจ

เห็นชัดจากความภาคภูมิใจกับผลงานปรับภูมิทัศน์ “คลองโอ่งอ่าง” ที่ถูกนำมาล้อเลียนกันสนุกปาก ซึ่งบ่อยครั้งที่ “นายกฯตู่” ก็มักนำผลงานนี้มาอวด และเป็นสถานที่โปรดยามไปลงพื้นที่พบปะประชาชนด้วย ซึ่งล่าสุดถูกวิเคราะห์ว่า เป็นการส่งสัญญาณเชียร์ “พล.ต.อ.อัศวิน” อีกด้วย

ต่างจาก “ชัชชาติ” ที่วางคาแรกเตอร์ในฐานะ “คนทำงาน” ไว้อย่างชัดเจน กับสโลแกน “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ที่ใช้มาตั้งแต่เปิดตัวลงผู้ว่าฯ กทม. บวกกับภาพลักษณ์เข้าถึงง่าย ติดดิน เป็นธรรมชาติ อันเป็นภาพติดตาจากสมัยที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีรูปถ่าย “ชัชชาติ” เดินเท้าเปล่า ใส่ชุดวิ่ง ถือถุงแกง เพื่อไปใส่บาตรที่วัดในระหว่างลงพื้นที่ จ.สุรินทร์

กลายไวรัล “รัฐมนตรีที่แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” เป็นภาพจำ และโด่งดังบนโลกออนไลน์มาจนถึงทุกวันนี้

ที่สำคัญไปกว่านั้น “ชัชชาติ” และทีมยังไม่เสียเวลาจัดขบวนแห่ขอบคุณประชาชนอย่างที่ นักเลือกตั้งนิยมทำ แต่เลือกตีปิ๊บเลี้ยงกระแส ตอกย้ำภาพ “คนทำงาน” และการประกาศเป็น “ผู้ว่าฯ ของทุกคน” ตั้งแต่หลังได้รับชัยชนะอย่างถล่มทลายทันที

จัดคิวลงพื้นที่ลุยงานต่อเนื่องตั้งแต่เช้าวันแรก แม้จะยังไม่มีการประกาศรับรองผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการก็ตาม

“ไม่มีช่วงฮันนีมูน … ไม่มีเวลาไปทดลองงาน วันแรกต้องทำงานทันที” คือคำพูดที่ “ชัชชาติ” ย้ำตลอด

ตั้งแต่เช้าตรู่แรกก็จัดคิวไปวิ่งออกกำลังกายที่สวนลุมพินี ก่อนลงสำรวจการระบายน้ำที่คลองลาดพร้าว โดยมี “วิโรจน์” อดีตคู่แข่ง พร้อมด้วยว่าที่ ส.ก.หลายเขต ร่วมคณะด้วย โดย “ชัชชาติ” บอกว่า ตั้งใจจะเชิญ ส.ก.ลงพื้นที่ทุกครั้ง เพื่อ "สร้างการเมืองใหม่" ที่แม้อยู่คนละพรรค แต่ก็ร่วมมือกันได้

ก่อนที่จะไปลงพื้นที่ชุมชนคลองเตย โดยมี “เฮียต่าย” ว่าที่ ส.ก.เขตคลองเตย กลุ่มรักษ์กรุงเทพ ร่วมลงพื้นที่ด้วย วางกิมมิกว่า เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางผู้ว่าฯ กทม. เพราะเคยเปิดตัวแคมเปญ “Better Bangkok” ที่ตรอกโรงหมู ชุมชนคลองเตย เมื่อช่วงปลายปี 2562

อีกวันข้ามไปที่ฝั่งธนบุรี เพื่อสำรวจสภาพการจราจรในขณะที่มีการก่อสร้างอุโมงค์รัชดา-ราชพฤกษ์ ซึ่ง กทม.เป็นเจ้าของโครงการ แต่พบว่ามีการขยายสัญญาอย่างต่อเนื่อง ล่าช้ามากว่า 600 วัน ส่งผลให้เกิดปัญหาการจราจรติดขัดเรื้อรัง โดยมีว่าที่ ส.ก.เขตธนบุรี พรรคเพื่อไทย และ ว่าที่ ส.ก. เขตบางกอกใหญ่ พรรคประชาธิปัตย์ รวมไปถึง วิลาศ จันทรพิทักษ์ อดีต ส.ส.ประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่ด้วย

เช้าต่อมา “ชัชชาติ” ไปที่สวนบางกอกใหญ่ ตามคำเชิญของ ว่าที่ ส.ก.เขตบางกอกใหญ่ และชาวชุมชนในพื้นที่ให้มารับทราบปัญหาความเดือดร้อนของชาวบ้านในพื้นที่ที่ต้องการให้มีการปรับปรุงสวนสาธารณะที่ชำรุดทรุดโทรมและขยายพื้นที่สาธารณะสำหรับประชาชน ในการลงพื้นที่ครั้งนี้ โดยได้ได้ร่วมวิ่งออกกำลังกาย และเต้นแอโรบิกกับชาวบ้านด้วย

ก่อนที่จะไปลงพื้นที่เขตดอนเมือง ไปติดตามการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซาก ภายในหมู่บ้านปิ่นเงิน ซอยช่องอากาศอุทิศ 16 ร่วมกับ ว่า ส.ก.เขตดอนเมือง จากพรรคเพื่อไทย และเย็นวันเดียวกันมีนัดไปไหว้พระทำบุญที่เขตสายไหม ร่วมกับ “ศิธา” อดีตคู่แข่งอีกราย และว่าที่ ส.ก.สายไหม ของพรรคไทยสร้างไทย

ไม่เพียงแต่ในระดับพื้นที่ “ชัชชาติ” ยังรับลูก สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่มอบหมายให้กรมราชทัณฑ์ทำหนังสือถึงผู้ว่าฯ กทม.คนใหม่ ขอนำนักโทษช่วยขุดลอกท่อช่วงหน้าฝน เพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้ผู้ต้องขังได้มีงานทำด้วย

แล้วยังเก็บรายละเอียดเล็กน้อย แต่ได้กระแสเชิงบวกต่อเนื่อง ทั้งการถ่ายภาพร่วมกับพนักงานเก็บขยะ กทม. พร้อมแคปชั่นที่ว่า “แวะทักทาย เพื่อนร่วมงานในอนาคตครับ”

รวมไปถึงดรามาถูกรถแท็กซี่เทเมื่อคืนวันเลือกตั้ง จนคนเข้าใจผิดว่า แท็กซี่ปฏิเสธผู้โดยสาร จนถูกกรมขนส่งทางบกเรียกสอบสวน ก็ส่งทีมงานไปตามตัวจนเจอ เพื่อขอโทษ พร้อมขายนโยบายอาสาสมัครเทคโนโลยี (อสท.) ที่หาเสียงไว้

เรียกว่าทุกความเคลื่อนไหวของ “ชัชชาติ” สามารถผูกโยงกับ 214 นโยบายที่หาเสียงไว้ อีกทั้งยังเป็นการประสานความร่วมมือกับฝ่ายการเมืองต่างๆ ไว้ล่วงหน้า จนถูกยกให้ว่าเป็น “การเมืองสร้างสรรค์” อย่างแท้จริง

ที่สำคัญคือ เป็นภาพลักษณ์ที่ถูกใจสังคมไทยซึ่งเดินทางมาถึงจุดต้องการ “ผู้นำ” ในลักษณะของ “คนทำงาน” และสลัดภาพของ “นักการเมืองเดิมๆ” ได้อย่างลงตัว ด้วยภาพของ “ชัชชาติ”นั้นไม่ได้สุดโต่งหรือสุดขั้วไปทางใดทางหนึ่ง ไม่ใช่ภาพของนักการเมืองจ๋า หากแต่สะท้อนถึงความตั้งใจและความมุ่งมั่นที่เปิดตัวในเก้าอี้ตัวนี้มาแรมปี

 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ
และที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นเอาไว้ก็คือ เมื่อชนะเลือกตั้ง “ชัชชาติ” ก็ประกาศทันทีว่าพร้อมทำงานกับทุกฝ่าย เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ว่าฯ ของทุกคนไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดังที่เขาแสดงออกให้เห็นในการลงพื้นที่ร่วมกับทุกฝ่าย พร้อมทั้งตอบรับการข้อเสนอต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามาจากทุกทิศทุกทางดังที่ยกตัวอย่างข้างต้น

ส่วนภาพความขัดแย้งในอดีต ในวันที่เขาถูกจับตัว “ชัชชาติ” ก็พูดเอาไว้ชัดเจนว่า “....ผมไม่ได้ยึดติด หรือ เกลียด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและเราก็ให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น คือความทรงจำที่เตือนใจเรา ว่าเมื่อไหร่ที่ประชาชนทะเลาะ เกลียด ซึ่งกันและกัน สุดท้ายแล้วจะมีกลุ่มคนที่มาได้ผลประโยชน์ ไม่มีประโยชน์เลย เราเห็นต่างกันได้ แต่อย่าสร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน นี่คือบทเรียนที่สำคัญ”

ทั้งนี้ ในขณะที่ “ชัชชาติ” เดินหน้าโกยแต้มทุกวัน แม้พ้นการเลือกตั้งแล้ว ตัดกลับมาที่ “พล.อ.ประยุทธ์” ที่ดูเหมือนจะเสียแต้มทุกวันเช่นกัน ล่าสุดไปพูดในระหว่างเป็นประธานในพิธีเปิดสัมมนาวิชาการระดับชาติ เรื่องความปลอดภัยทางถนน ครั้งที่ 15 ในหัวข้อ “ทศวรรษใหม่ วิถีใหม่ ขับขี่ปลอดภัยต้องมาก่อน” เกี่ยวกับปัญหาการจราจรติดขัดว่า

“รถมันติด อุบัติเหตุก็น้อย ไม่ตาย อย่างน้อยก็ไม่ตาย รถวิ่งเร็วไม่ได้ แต่บางพื้นที่บ้านเรา ถนนไปดูสิครับเทียบกับถนนบ้านอื่น ถือว่าดีมากนะ ขับกันสบายโล่งแจ้ง แต่ความเร็วไม่เบรกกันสักคน เพราะฉะนั้นทุกอย่าง จิตสำนึก ถึงคนอื่น”

จนถูกนำมาล้อเลียนถึงหลักคิดของ “ผู้นำประเทศ” ที่ “วิสัยทัศน์” เทียบไม่ได้กับ “ว่าที่ผู้ว่าฯ ชัชชาติ” แม้แต่น้อย

ไม่ใช่แค่คะแนนเสียง แต่ทุกๆ แอกชันของ “ชัชชาติ” เป็นการขย่มเก้าอี้นายกฯ และเขย่า “ระบอบประยุทธ์” ที่มีภาพลักษณ์ต่างกันอย่างสิ้นเชิง อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังรู้คะแนนเลือกตั้ง “ชัชชาติ” ก็เคยกล่าวถึง “พล.อ.ประยุทธ์” ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า “ผู้ว่าฯ กทม.ได้คะแนนเสียงมากกว่านายกฯ อีกนะ แต่เราไม่ได้ท้าทาย เราเอาประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ได้คุยเรื่องอารมณ์หรือทะเลาะกัน ไม่มี ประชาชนเลือกเรามาเราก็เอาเหตุผล”

ปรากฎการณ์ “ชัชชาติ” เหมือนเร่งปฏิกิริยานับถอยหลัง “ระบอบประยุทธ์” ว่าใกล้ “หมดเวลา” ไปทุกขณะ

อีกไม่ถึง 1 ปี อายุของสภาฯชุดนี้จะครบ 4 ปี ในวันที่ 23 มี.ค.66 ส่งผลให้ต้องมีการเลือกตั้งใหญ่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ไม่ว่าจะชิงตัดสินใจยุบสภา หรือรอเวลาจนครบเทอม หากยังไม่มี “จุดเปลี่ยน” แบบฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย โอกาสที่ “ลุงตู่ และพี่น้อง 3 ป.” จะกลับมาต่อท่ออำนาจก็เป็นไปได้ยาก เพราะเห็นชัดว่า “ฉันทามติ” เลือก “ผู้นำ” แบบ “ชัชชาติ” มากกว่า

จนอาจพูดได้ว่า ถึงเวลาผู้นำแบบ “ชัชชาติ” หมดเวลาผู้นำแบบ “พล.อ.ประยุทธ์”

อนาคตอันใกล้ “พล.อ.ประยุทธ์-ชัชชาติ” อาจไม่ได้ลงแข่งกันโดยตรง แต่ “ระบอบประยุทธ์” อาจพังทลายด้วยน้ำมืออันทรงพลังของ “ชัชชาติ” ที่สร้างความแตกต่างให้ประชาชนเห็นก็เป็นได้

จริงอยู่ แม้ “ระบบบ้านใหญ่” จะยังทรงพลังเหมือนดังที่แสดงออกกับการเลือกตั้ง “นายกเมืองพัทยา” แต่เชื่อเถอะว่า ไม่ง่ายที่จะดำเนินไปในทุกที่ แล้วตัว “บ้านใหญ่” เอง ก็ต้องคิดเช่นกันว่า ถ้ายังร่วมหอลงโรงกับ “ระบอบประยุทธ์” ที่อ่อนแรงลงทุกที จะทำให้พวกเขาตกขบวนได้ และสุดท้ายพวกเขาก็จะเดินหน้าไปสู่ “การย้ายค่าย”

และแน่นอน พรรคที่กระทบเต็มๆ คือ “พลังประชารัฐ” ที่มี “บิ๊กป้อม” เป็นหัวหน้า

ที่สำคัญคือดูเหมือนว่า “พี่น้อง 3 ป.” จะยังไม่ตระหนักเพียงพอว่า เวลาของตนเองเหลือน้อยลงทุกที และยังคงเล่นเกมการเมืองอยู่เหมือนเดิมต่อ ดังจะเห็นได้จากการสัประยุทธ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” กับ “พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา” ที่พรรคเศรษฐกิจไทย ซึ่งสังคมกำลังเฝ้าจับตาว่า แตกหักกันจริงเพื่อย้ายค่ายไปซบ “นายใหญ่ดูไบ” หรือเกมสับขาหลอกเพื่อช่วงชิงอำนาจระหว่าง “พี่ป้อม-น้องตู่”

ส่วนสุดท้ายแล้ว ผู้ว่าฯ ที่ได้สมญาว่า “แข็งแกร่งที่สุดในปฐพี” อย่าง “ชัชชาติ” จะรักษาจุดยืนและนำพาสถานการณ์ของประเทศไปสู่บรรยากาศของ “การปรองดอง-สมานฉันท์” ได้หรือไม่ คงต้องอาศัย “เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์” และดูกันยาวๆ เท่านั้น.




กำลังโหลดความคิดเห็น