ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดดสัปดาห์ - ไม่ทันไรก็ “วงแตก” ซะแล้ว
ปัญหาภายใน “ค่ายผู้กอง” พรรคเศรษฐกิจไทย ที่กรรมการบริหารพรรคพร้อมใจกันลาออกจากตำแหน่ง เพื่อดีด “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อปรับโครงสร้างพรรคใหม่ หลังจากที่เพิ่งประชุมใหญ่สามัญประจำปี และตั้งคณะกรรมการบริหารพรรคชุดนี้ไปเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมานี่เอง
เรียกได้ว่า หม้อข้าวยังไม่ทันดำ-นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ
ซึ่งในความเป็นจริง เป็น “พล.อ.วิชญ์” ที่ออกมาเคลื่อนไหวก่อนด้วยซ้ำ โดยระบุว่า จะลาออกจากหัวหน้าพรรค เนื่องจากความขัดแย้งภายในพรรค แต่เกิดเปลี่ยนใจ เพราะมีคนขอให้ทบทวนการตัดสินใจ
แต่ฝ่าย “ผู้กองมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย ที่รู้กันว่าเป็นเจ้าของพรรคตัวจริง กลับเลือกเดินเกม “รุกฆาต” ตีธงให้กรรมการบริหารพรรคเกินกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการบริหารพรรค ยกโขยงลาออก เพื่อเปิดทางให้ “ล้างไพ่” ใหม่
ตามรูปการณ์การปรับโครงสร้างที่ว่า ก็คงเปลี่ยนเฉพาะหัวหน้าพรรคมาเป็น “ธรรมนัส” เท่านั้น
จนมีคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่าง “พี่น้อย-น้องนัส” ที่เคยเป็นคอหอย-ลูกกระเดือก ให้สัมภาษณ์อย่างให้เกียรติซึ่งกันและกัน
จากคำให้สัมภาษณ์ล่าสุดของ “บิ๊กน้อย” ที่ว่า “การไม่ให้เกียรติ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง แม้จะในตำแหน่งอะไรก็ตาม ส่วนตัวเป็นทหารมาก่อน แม้เป็นใครต้องให้เกียรติ จุดนี้ที่คิดว่าสำคัญกับผม และทำให้ทำงานร่วมกันไม่ได้ เมื่อไม่รับฟังคนอื่น พูดถูกไม่ถูก ต้องฟัง มาตัดสินใจอะไรเป็นไปได้ หรือดีต่อส่วนรวม ไม่ใช่ไม่ฟัง แถมกีดกัน ซึ่งคิดว่าไม่ถูก … จริงๆ แล้ว มีจุดให้เราไม่เข้าใจ คือ บุคคลที่ 3 เสี้ยม ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี จนมีปัญหา บุคคลที่ 3 อันตรายที่สุด … ผมไม่มีอะไรกับใคร แต่ผมกับเลขา ไม่เข้าใจในทิศทางเดียวกัน ไปด้วยกันลำบาก สิ่งสำคัญ รับฟัง 2 ฝ่ายไปได้ แต่การรับฟังไม่มี เชื่อคนที่ 3 ซึ่งไม่น่าทำ”
ยังไม่มีการยืนยันว่า “บุคคลที่ 3” ที่ถูกพาดพิงถึงคือใคร แต่ยืนยันได้ว่า “พล.อ.วิชญ์-ร.อ.ธรรมนัส” มีปัญหากันจริง
ส่วน “ร.อ.ธรรมนัส” ก็เพิ่งออกมาให้สัมภาษณ์ โดยอ้างว่า ติดภารกิจที่ต่างประเทศ ทำให้ไม่สามารถพูดคุยทำความเข้าใจกับ “บิ๊กน้อย” ได้ทันการ ซึ่งช่วงที่กรรมการบริหารพรรคตัดสินใจลาออก ก็อยู่บนเครื่องบิน ทำให้ไม่สามารถติดต่อสื่อสารได้
ฟังผิวเผินอาจเข้าใจได้ว่า “ร.อ.ธรรมนัส” ไม่รู้เรื่อง แต่ทางการเมืองก็เป็นที่รู้กันว่าหาก “นาย” ไม่สั่ง มีหรือ 15 กรรมการบริหารพรรคจะด่วนตัดสินใจลาออกกันเอง อีกทั้งยังมีการเตรียมจัดประชุมใหญ่พรรคเศรษฐกิจไทยในวันที่ 7 มิ.ย.นี้ไว้ล่วงหน้าแล้วด้วย
ทราบกันดีว่า “พล.อ.วิชญ์-ร.อ.ธรรมนัส” คือ มือซ้าย-มือขวา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่ปล่อยตัวออกมาสร้างพรรคใหม่ที่ “ค่ายเศรษฐกิจไทย” เพื่อยุติความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ
โดยเฉพาะตัว “ร.อ.ธรรมนัส” ที่ถือว่าเป็นรายชื่อแรกในบัญชีดำของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โทษฐานที่เป็นผู้เก่อ “กบฏผู้กอง” เมื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งที่ผ่านมา จนถูกปลดออกจากตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ขณะที่ “บิ๊กน้อย” แม้จะไม่มีตำแหน่งทางการเมือง และถูกส่งเข้าไปเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารับอยู่ช่วงหนึ่ง ก็ถูกตีตราว่า “ไม่ลงรอย” กับตัวนายกฯ มาตั้งแต่สมัยยังรับราชการทหาร
เมื่อมาลงหลักปักฐานที่พรรคเศรษฐกิจไทย จึงถูกจับตามองในฐานะ “ดรีมทีมหอกข้างแคร่” ของนายกฯ สำทับด้วยการปั่นกระแสร่วมกับ “พรรคเล็ก-พรรคปัดเศษ” กดดันนายกฯมาตลอด
ทว่า “พล.อ.วิชญ์” ก็มาถูกจับได้ไล่ทันภายหลังว่า แท้จริงแล้วไม่ได้มีปัญหาคาใจอะไรกับ “นายกฯ ตู่” ตรงกันข้ามกลับแนบแน่นกันตามประสา “ก๊วนนายพล” ที่เติบโตไล่เลี่ยกันใต้ปีก “พี่ป้อม”
การมาเป็นหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย ก็มาในฐานะ “สายลับสองหน้า” ที่มาคุมเชิง “ผู้กองมนัส” มากกว่ามาก่อหวอดโค่นล้มนายกฯ อย่างที่ถูกมอง
ยิ่งเมื่อ “ร.อ.ธรรมนัส” วางท่าที “กำกวม” ในเรื่องการสนับสนุนรัฐบาล ใช้หลังพิงว่าทำงานเพื่อประโยชน์ประชาชน แม้จะถูกเค้นอย่างไรก็ไม่เคยเอ่ยชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์” ผิดกับ “พล.อ.วิชญ์” ในช่วงหลังที่หลุดคำให้สัมภาษณ์ว่า จะสนับสนุน “พล.อ.ประยุทธ์” เต็มปากเต็มคำ
กลายเป็นว่าหัวหน้า-เลขาฯ “เล่นกันคนละคีย์”
กอปรกับพื้นเพ “บิ๊กน้อย” ที่เป็นเพียงนายพลเกษียณ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการเมืองมาก่อน เป็นเพียง “เด็กนาย” ที่ถูกส่งมาคุมพรรค แต่ก็ไม่ได้ลงมาคลุกคลีตีโมงอะไรกับ ส.ส. ตลอดจนไม่มีจุดขาย ยามไปลงพื้นที่ ส่งผลให้ไม่เป็นที่ยอมรับของ ส.ส.ในพรรค
ผิดกับ “ผู้กองมนัส” ที่เสมือนเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของพรรค อีกทั้งยังเดินการเมืองชื่อติดลมบน พอที่จะเอาชื่อไปแห่หาเสียงลงพื้นที่ได้อยู่ จึงไม่แปลกที่ ส.ส.จะซูฮกเชิดชู “ร.อ.ธรรมนัส” ในฐานะ “เจ้านาย” มากกว่า โดยที่หัวหน้าพรรคเป็นเพียง “หัวโขน” ไม่ได้มีฐานหรือส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในพรรคเลย
บารมีที่โดดเด่นของ “ผู้กองธรรมนัส” ที่ชั้นยศเพียงแค่ “ร้อยเอก” ย่อมสร้างความอึดอัดใจให้กับ “นายพล” อย่าง “บิ๊กน้อย” พอสมควร กระทั่งมีเรื่องซุบซิบในวงนักเลือกตั้งว่า “ร้อยเอกเป็นเจ้านายพลเอก”
ยิ่งเมื่อหัวหน้าพรรคไม่ยอม “ตามน้ำ” กับปฏิบัติการโค่นนายกฯ แล้ว อยู่ไปก็รังแต่จะทำให้แรงเขย่าเก้าอี้นายกฯของ “ธรรมนัส” เบาลง จึงต้องงัดเกมแรงตามสไตล์
การที่ “ผู้กองมนัส” กล้าที่จะเล่นเกมอัปเปหิ แบบไม่ไว้หน้า “พี่น้อย” คนสนิทของ “นายป้อม” ออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพื่อปูทางขึ้นรั้งตำแหน่งผู้นำพรรคแทน ก็เป็นการส่งสัญญาณเข้มถึงปฏิบัติการ “ล้มบิ๊กตู่”
ตามห้วงเวลาพอดิบพอดีกับการเปิดสมัยประชุมรัฐสภา ที่ตลอด 4 เดือนเต็ม มี “ระเบิดเวลาการเมือง” รออยู่หลายลูก ตั้งแต่กฎหมายสำคัญที่รัฐบาลเป็นเจ้าของหลายฉบับ หรือร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ที่หากไม่ผ่านตความเห็นชอบจากสภาฯ ก็ส่งผลให้ “ผู้นำรัฐบาล” ต้องแสดงความรับผิดชอบ
หรือ “ศึกซักฟอก” การอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจ ครั้งสุดท้ายของ “รัฐบาลลุงตู่” ที่รออยู่
โดยเฉพาะรอบนี้หาก “ร.อ.ธรรมนัส” ขึ้นตำแหน่งหัวหน้าพรรคเองจริง บทบาทในสภาฯก็ยิ่งน่าสนใจ ท่ามกลางกระแสข่าวว่าวันนี้ “ร.อ.ธรรมนัส” ต่อติดกับ “นายห้างดูไบ” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายเก่า มาตั้งแต่เดิมเกม “กบฎผู้กอง” รอบก่อน ที่ว่ากันว่ามี “แกนนำภาคเหนือ” ในซีกพรรคเพื่อไทย หอบกระเป๋าใบโตเข้า-ออกสภาฯ ช่วย “ทีมผู้กอง” ด้วย
กระทั่งช่วงหลบไปเลียแผลที่ทวีปยุโรป ก็มีข่าวอีกเช่นกันว่า “ผู้กองมนัส” แวะจิบกาแฟแลเทือกเขาแอลป์กับ “คนแดนไกล”
จึงไม่แปลกว่าจะมีข่าว “ค่ายเศรษฐกิจไทย” กลับไปสวามิภักดิ์เป็นเครือข่าย “เถ้าแก่ดูไบ” แล้วด้วยซ้ำ
รวมทั้งยังมี “ข้อความแปร่งๆ” ของ “ผู้กองมนัส” ที่โพสต์หลังชัยชนะของ “จารย์ทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในสนามเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯกทม.) และพรรคเพื่อไทยยังได้เก้าอี้สมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) มากที่สุด ที่ว่า
“ขอแสดงความยินดีกับครอบครัวของเราที่ได้รับชัยชนะจากการเลือกตั้ง ส.ก.หลายๆ เขต และขอขอบคุณพี่น้องชาว กทม.ที่ออกมาใช้สิทธิของตัวเองเพื่อรักษาอนาคตของประเทศไทยครับ”
โฟกัสย่อมอยู่ที่คำว่า “ครอบครัวของเรา” ว่า “ร.อ.ธรรมนัส” หมายถึงใคร เพราะที่ผ่านมาเป็นที่รับรู้ว่า “ร.อ.ธรรมนัส” ให้การสนับสนุน “กลุ่มรักษ์กรุงเทพ” ภายใต้การนำของ “เฮียต่าย” สุชัย พงษ์เพียรชอบ เลขาขาธิการกลุ่มรักษ์กรุงเทพ และผู้สมัคร ส.ก.คลองเตย ที่ส่งผู้สมัคร ส.ก.เกือบครบ 50 เขต แต่ปรากฎว่ากลุ่มรักษ์กรุงเทพได้ ส.ก.เข้ามาเพียง 3 คนเท่านั้น
จำนวน 3 เขตที่ได้มา คงไม่ใช่ “ครอบครัวของเรา-หลายๆ เขต” ที่ “ธรรมนัส”ต้องการสื่ออย่างแน่นอน จนตีความได้ว่า เป็นการแสดงความยินดีกับชัยชนะของทีม ส.ก.เพื่อไทย ที่กวาดมาได้ถึง 20 เขตมากกว่า
จนอนุมานได้ว่า ใจของ “ร.อ.ธรรมนัส” กลับไปอยู่กับ “นายห้างดูไบ” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และอาจจะหักกับ “นายใหญ่ป่ารอยต่อ” แล้วด้วยซ้ำ เมื่อกล้าเขี่ย “คนสนิทลุงป้อม” ออกจากหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย
สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมทำให้เกมการเมืองในสภาฯช่วงปลายเทอม “รัฐบาลลุงตู่” ย่อมเข้มข้นมากขึ้น จากเดิมที่ “พี่ป้อม” เคยการันตีกับ “น้องตู่” ให้ว่า พรรคเศรษฐกิจไทย อยู่ฝั่งรัฐบาลแน่นอน ก็อาจจะไม่แน่เสมอไปแล้ว
หากเช็กเสียง ส.ส. ในสภาฯ ขณะนี้มีทั้งสิ้น 476 เสียง ที่สามารถแบ่งได้ชัดเจน คงเป็นฝ่ายรัฐบาล 238 เสียง ฝ่ายค้าน 208 เสียง
อีกราว 30 เสียง มี 16 เสียง ของพรรคเศรษฐกิจไทย และอีก 12 เสียง ของกลุ่ม พรรคเล็ก ที่เรียกตัวเองว่า “กลุ่ม 16” รวมไปถึงเสียงสวิงโหวตในซีกรัฐบาล
กึ่งหนึ่งของสภาฯ คือ 238 เสียง เท่ากับว่าหากฝ่ายค้านหาได้เพิ่มอีก 30 เสียงขึ้นไป ซึ่งพอดิบพอดีกับเสียงของพรรคเศรษฐกิจไทย บวกกับพรรคเล็ก ก็อาจพลิกขั้วอำนาจได้
ดังที่ครั้งหนึ่ง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย และผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ เคยออกมาหล่นความเห็นไว้ว่า 30 เสียงพรรคเล็กอยู่กับฝ่ายค้าน และเป็นตัวแปรสำคัญในการล้มรัฐบาล
จากตัวเลขที่ว่าไป ย่อมทำให้ต้นทุน ส.ส.ในมือ “ผู้กองมนัส” ขณะนี้ไม่ได้ขี้เหร่ โดยมี ส.ส.ในพรรคเศรษฐกิจไทย 16 เสียง (หยุดปฏิบัติหน้าที่ 2 เสียง) ที่สั่้งซ้ายหัน-ขวาหันได้ กับ ส.ส.พรรคเล็กที่พร้อมจะโหวตไปในทิศทางเดียวกับ “ธรรมนัส”
อีกทั้งในซีกรัฐบาลก็ยังมี “กลุ่มสวิงโหวต” ทั้งในส่วนของ “เฮียหมา” พิเชษฐ สถิรชวาล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้ากลุ่มพรรคเล็ก, “เสี่ยดล” ดล เหตระกูล ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคชาติพัฒนา และ มนูญ สิวาภิรมย์รัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเศรษฐกิจใหม่ หรือในพรรคประชาธิปัตย์ก็มีโหวตสวนอยู่เป็นประจำ 3-5 เสียง
กระทั่งในพรรคพลังประชารัฐเองก็รู้หน้า ไม่รู้ใจ ที่ยังแนบแน่นกับ “ก๊วนธรรมนัส” ก็มีไม่น้อย ขณะที่ “งูเห่า” ของ “ค่ายภูมิใจไทย” ที่ฝังตัวอยู่ในซีกฝ่ายค้านดูจะมีไม่มากเท่ากับกลุ่มสวิงโหวตที่มีอยู่
จากตัวเลข ส.ส.ในสภาฯจะเห็นได้ว่าเป็นจังหวะ “ได้-เสีย” อาจง่ายกว่าครั้งพยายามโหวตไม่ไว้วางใจนายกฯหนก่อนที่วันนั้นต้องการถึงมากกว่า 40 เสียงด้วยซ้ำ
ยิ่งในยามที่คะแนนนิยม “ลุงตู่” นับวันสาละวันเตี้ยลงๆ เรียกว่าเป็น “นาทีทอง” อันทำให้ “ธรรมนัส” สบช่องในการกลับมาผงาดอีกครั้ง เพราะรู้ดีว่า หากนายกฯยังชื่อ “ประยุทธ์” ก็ไม่มีทางที่ “ธรรมนัส” จะได้ผุดได้เกิด
อีกทั้งหากรอหลังเลือกตั้ง ก็ไม่รู้ว่าวันนั้น “ส.ส.ก๊วนธรรมนัส” จะได้กลับมามากเท่านี้หรือไม่
และหากทำสำเร็จ จาก “นักการเมืองเทาๆ” ก็อาจถึงขั้นถูกเชิดชูเป็น “วีรบุรุษ” เลยทีเดียว เช่นเดียวกับเมื่อครั้ง “กบฎผู้กอง” ที่มีเสียงเชียร์กันกระหึ่มเมืองมาแล้ว
แล้วก็ยังมี “ทฤษฎีสมคบคิด” อีกว่า เอาเข้าจริง “บิ๊กป้อม” ก็รู้เห็นกับการที่ “ร.อ.ธรรมนัส” เขี่ย “บิ๊กน้อย” ออกจากหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย เพื่อกัน “คนของตัวเอง” ออกมาไม่ให้ไปมีส่วนกับเกมโค่นนายกฯโดยตรง
แต่หากสามารถเดินเกมในสภาฯ และล้ม “ร.อ.ประยุทธ์” ได้จริง ก็มีโอกาสไม่น้อยที่จะต้องไปถึงเลือก “นายกฯนอกบัญชี” ที่แน่นอนว่า “บิ๊กป้อม” เป็นตัวเก็งเต็งหนึ่ง ที่จะได้จารึกชื่อเป็นเป็นนายกฯตัวจริง ไม่ใช่แค่รักษาการอย่างที่ผ่านมา
น่าสนใจว่า “พล.อ.ประยุทธ์” ซึ่งมีบทเรียนจากศึกซักฟอกรอบที่แล้ว จะแก้เกมได้อีกครั้งหรือไม่.