ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - น่าสนใจกับก้าวย่างของ “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร ลูกสาวคนเล็กของ “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่วันนี้เข้าสู่การเมืองอย่างเต็มตัว ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย
กับการเลือกจัดอีเว้นท์ครอบครัวเพื่อไทย สมุทรปราการ บ้านหลังใหญ่ หัวใจดวงเดิม ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียลเวิลด์ สำโรง จ.สมุทรปราการ
โดยวันนั้น “อุ๊งอิ๊ง” ส่งสัญญาณไม่อ้อมค้อม เชิญชวนให้ “คนเสื้อแดง” กลับมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทย
“พี่น้องเสื้อแดง กลับบ้านเรากันค่ะ กลับมาครอบครัวของเรา ครอบครัวเพื่อไทย ร่วมกับพรรคเพื่อไทย เปลี่ยนประเทศ ประเทศชาติจะกลับมาเจริญอีกครั้ง…” นายหญิงคนใหม่ค่ายเพื่อไทย ประกาศไว้ในวันนั้น
เอาเข้าจริง พรรคเพื่อไทย เองก็ตั้งลำบ่ายหน้ากลับมาระดมพลคนเสื้อแดงมาระยะหนึ่งแล้ว หลังจากเมื่อช่วงเดือน ต.ค.64 ได้มีการโละ “ธีม” เก่าของพรรคทั้งหมด
เดิมทีจะใช้โลโก้พรรคเพื่อไทย และฟอนต์สีขาว มีข้อความต่อท้ายว่า “หัวใจคือประชาชน” บนแบ็กกราวด์หลายสีที่มีสีม่วงเป็นส่วนผสมหลัก มาเป็น “พรรคเพื่อไทย เพื่อชีวิตใหม่ประชาชน” เป็นฟอนต์สีขาวบนพื้นสีแดงสด โดยก่อนหน้าก็มีการเปิดแคมเปญ “พรุ่งนี้ เพื่อไทย” ที่เป็นลายมือของ “ทักษิณ” บนแบล็กกราวด์สีแดงสดมาแล้วเช่นกัน
การเปลี่ยนธีมพรรคครั้งนั้น ก็เพื่อปูพื้นงานประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยช่วงปลายเดือน ต.ค.ปีเดียวกัน ซึ่งหากจำกันได้ก็เป็นวันแกรนด์โอเพนนิ่งเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย ก่อนที่จะสถาปนาให้เป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย อีกตำแหน่งในภายหลัง
ไม่นานจากนั้น ก็ได้คิกออฟแคมเปญ “ครอบครัวเพื่อไทย แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน” ออกมา เป็นแคมเปญที่ฟังคุ้นหู เพราะไปพ้องกับการชุมนุมของ “คนเสื้อแดง” กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เมื่อปี 2553 ที่ใช้สโลแกนว่า “นปช. แดงทั้งแผ่นดิน” มาก่อน
คล้ายกับว่า มีการถอดบทเรียนว่า แนวร่วมคนเสื้อแดงขณะนี้ไม่ได้สนับสนุนพรรคเพื่อไทยเต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนในอดีต ดูได้จากการที่พรรคเพื่อไทยสูญพันธุ์ใน “เมืองปากน้ำ” สมุทรปราการ ที่ถือเป็น “หัวเมืองเสื้อแดง” ในการเลือกตั้งปี 2562
ซึ่งก็เป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องจัดคิวให้ “อุ๊งอิ๊ง” มาที่ จ.สมุทรปราการ เป็นจังหวัดแรกของภาคกลาง และส่งสัญญาณให้คนเสื้อแดงกลับมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยที่นี่เป็นครั้งแรกเช่นกัน
อีกทั้ง “ทักษิณ” อาจรู้ตัวแล้วว่า เคยทิ้งขว้างคนเสื้อแดงมาก่อน โดยเฉพาะในการเลือกตั้งปี 2562 ที่เลือกใช้ยุทธศาสตร์ “แตกแบงก์พัน” จนแกนนำคนเสื้อแดง แทบไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทย
โดย “เสี่ยเต้น” ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ - “เสี่ยแก้ว” ก่อแก้ว พิกุลทอง - “หมอเหวง” นพ.เหวง โตจิรการ ถูกอัปเปหิไปอยู่พรรคไทยรักษาชาติ ที่เป็น “พรรคสาขา” แทบทั้งหมด แต่เกิด “อุบัติเหตุ” จนผิดแผนเสียก่อน ทำให้ “แกนนำแดง” ไม่ได้เข้าสภาฯ
หรือ “เสี่ยตู่” จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ที่หมดสิทธิ์ลงเลือกตั้ง ก็แยกวงไปตั้งสาขาเองที่ พรรคเพื่อชาติ และได้ ส.ส.เข้าสภาฯ 5 ที่นั่ง แต่ก็แทบไม่มี “เด็กเสี่ยตู่” เลย
มาวันนี้ “ทักษิณ” อาจคิดว่า หากต้องการกลับมายึดคืนอำนาจรัฐ ก็ต้องให้คนเสื้อแดงมารวมกันเป็นปึกแผ่นที่พรรคเพื่อไทย เหมือนสมัยเลือกตั้งปี 2554 ที่เป็นช่วงที่ขบวนการคนเสื้อแดง “พีค” ที่สุด และพรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงถึง 15.7 ล้านเสียง ส่ง “น้องปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ในเวลาเพียงเดือนเศษ
ดังนั้นหากต้องการให้ “ลูกอิ๊ง” ขึ้นเป็นนายกฯ เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐมาอยู่ในมือ ก็จำเป็นต้องรื้อฟื้นวันคืนเก่าๆกลับมา โดยเก็บเกี่ยวคนเสื้อแดงกลับมาสนับสนุนพรรคเพื่อไทยให้มากที่สุด
อย่างที่ “แพทองธาร” พูดเองบนเวทีที่ปากน้ำวันก่อนว่า “ครอบครัวเพื่อไทยเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่พรรคเพื่อไทยออกแบบมา บันไดขั้นแรกคือแลนสไลด์ ซึ่งพรรคจะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายไม่ได้ ถ้าพี่น้องเสื้อแดงไม่ร่วม และพี่น้องไม่อยู่เคียงข้างพรรคเพื่อไทย”
ตามรูปการณ์ที่ในวันนี้ “คนเสื้อแดง” แตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทางสองทาง คู่หู “ตู่-เต้น” ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตกรรมการผู้ช่วยนายกฯ ที่แปรพักตร์มาซบ “ขั้วทหาร” ก็ทลายเครือข่ายเสื้อแดงจนแทบต่อกันไม่ติด
แถมแนวรบด้านประชาธิปไตย พรรคเพื่อไทยก็ยังเป็นรองพรรคก้าวไกล ที่มี คณะกก้าวหน้า โดย “ธนาธร” ขับเคลื่อนอยู่อย่างเห็นได้ชัด
จึงจำเป็นต้องใช้ “อุ๊งอิ๊ง” ในฐานะตัวแทนของ “พ่อษิณ” มากวาดต้อนคนเสื้อแดง ประหนึ่งขึ้นมาเป็น “หัวหน้าเสื้อแดง” คนใหม่ เทกโอเวอร์ทั้งเครือข่ายแทนที่ “จตุพร” ที่ยังคาอยู่บนตำแหน่งประธาน นปช. แต่ใจไม่ได้อยู่กับ “ระบอบทักษิณ” นานแล้ว
ดังที่ “ประธานตู่” ออกมาทักเตือน “หลานอิ๊ง” ว่า บทเรียนมีไว้ให้แก้ อย่าไปเปิดประตูให้กับการรัฐประหาร ทุกเหตุการณ์ย่อมมีบทเรียน อย่าไปติดกับดักติดบ่วง แต่ละบทเรียนมีไว้ให้แก้ไข ไม่ใช่ทำผิดพลาดซ้ำอีก ส่วนการดึงคนเสื้อแดงกลับพรรคเพื่อไทยนั้นก็เป็นสิทธิเสรีภาพของคนเสื้อแดงว่าจะตัดสินใจกันอย่างไร ตามหลักประชาธิปไตย
ส่วน “ณัฐวุฒิ” วันนี้ก็ยังไม่ตัดสินใจทางการเมือง แม้ว่า “เสี่ยอ๋อย” จาตุรนต์ ฉายแสง ที่เคยร่วมกันตั้งพรรคเส้นทางใหม่ ซมซานกลับพรรคเพื่อไทยไปล่วงหน้าแล้วก็ตาม
น่าจับตาไม่น้อยการขยับเข้ายึดเครือข่ายคนเสื้อแดงโดย “ลูกอิ๊ง” ครั้งนี้ จะสร้างความรู้สึกทางบวกหรือลบ กับแกนนำเสื้อแดง
เพราะที่ผ่านมาขบวนการเสื้อแดง ได้รับการสนับสนุน และอยู่ภายใต้ “ระบอบทักษิณ” ก็จริง แต่ก็มีความพยายามสร้างอำนาจต่อรองของตัวเอง โดยเฉพาะช่วงรัฐบาลยิ่งลักษณ์
ที่มีการต่อรองตั้งแต่ลำดับบัญชีรายชื่อก่อนการเลือกตั้ง หรือการต่อรองตำแหน่งในรัฐบาล และในสภาฯ จนมีข่าวความขัดแย้งของ “ส.ส.เสื้อแดง” กับ “ส.ส.เพื่อไทย” บ่อยครั้ง
เพราะภายใน “แกนนำเสื้อแดง-ส.ส.เสื้อแดง” เองก็มีความเชื่อกันอยู่ว่า “ถูกหลอกใช้” จนต้องตกระกำลำบาก ขึ้นศาล-ติดตารางกันเป็นว่าเล่น
อย่างไรก็ดีก็มองได้อีกแง่ว่า ที่พรรคเพื่อไทยต้องมากวาดต้อนคนเสื้อแดงกลับมาสนับสนุนพรรค ไม่ใช่เรื่องคะแนนเสียง ด้วยมีข้อบ่งชี้ให้เห็นว่า “มวลชนคนเสื้อแดง” ไม่ได้มีพลังเป็นกลุ่มก้อนเหมือนเก่าก่อน ดูได้จาก พรรคเพื่อชาติ ที่ชูธง “พรรคเสื้อแดง” แม้ดูเหมือนประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง และได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ มา 5 คน ก็มาจากคะแนนเพียง 4 แสนกว่าคะแนนเท่านั้น
ผิดกับ “ค่ายสีส้ม” พรรคอนาคตใหม่ ก่อนแปลงร่างมาเป็นพรรคก้าวไกลในตอนนี้ ที่ “ทักษิณ” มองว่า คนเสื้อแดงบางส่วนปันใจให้กับ “เสี่ยเอก” ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่จุดยืนในการต่อสู้ชัดเจนกว่าพรรคเพื่อไทย จนถูกขโมยคะแนนไปในการเลือกตั้งปี 2562 ที่พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนทั้งประเทศมากกว่า 4 ล้านคะแนนเสียง
อีกทั้งในการเลือกตั้งท้องถิ่น ตลอดจนสนาม กทม. ก็ดูเหมือนว่ากระแสยอมรับ “ก้าวไกล-ก้าวหน้า” ไม่ลดน้อยลง แม้ว่าตัวหลักอย่าง “ธนาธรและคณะ” จะถูกตัดสิทธิ์ทาง
การเมืองไปนานแล้วก็ตาม โดยเฉพาะสนาม กทม.ที่ใช้แบรนด์พรรคก้าวไกล ที่ผู้สมัคร ส.ก.ค่ายสีส้ม คะแนนมาดีเหลือเชื่อ จนฝ่ายเพื่อไทยแก้เกมไม่ตก
สาเหตุที่มีน้ำหนักมากกว่า จึงน่าจะเป็นการทวงคืนตำแหน่ง “มวยหลักฝ่ายประชาธิปไตย” จาก “ก๊วนธนาธร” เพื่อลดกระแสความร้อนแรงในฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลประยุทธ์มากกว่า
แต่ก็ยังใช้หลักติดแบบ “เถ้าแก่” ฉาบเคลือบ “ลูกเถ้าแก่” ที่วันนี้ถือว่าเป็น “ละอ่อนทางการเมือง” ติดภาพความเป็น “ลูกคุณหนู” ใช้ทางลัดเข้ามามีส่วนร่วมกับประชาธิปไตย โดยการดันให้เป็น “หัวหน้าเสื้อแดง” ทั้งที่ไม่เคยมีส่วนร่วม
คล้ายกับการข้ามหัวหงอก-หัวแก่ในพรรคเพื่อไทย ขึ้นเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย เพื่อแต่งตัวเป็นแคนดิเดตนายกฯ โดยที่สายเชลียร์ในพรรคก็ต้องออกมาอวยส่งว่าเหมาะสมเป็นอย่างยิ่งอย่างไรอย่างนั้น
จริงอยู่ การทำให้เกิดความยอมรับ “ลูกเถ้าแก่” ภายใน “บริษัทเถ้าแก่” อาจง่ายตามระบบบริษัทจำกัด ต่างจากในขบวนการเสื้อแดง ที่มีการต่อสู้มาอย่างยาวนาน ก็น่าจับตาว่า “อุ๊งอิ๊ง” จะได้รับการยอมรับขนาดไหน
ในทางกลับกัน การที่ “ทักษิณ” ผลักให้ “ลูกอิ๊ง” ลงมาเล่นในเกมคนเสื้อแดง ที่ถือเป็นคู่ขัดแย้งสำคัญในสังคมไทย ก็ถือว่าเสี่ยงพอสมควร ด้วยว่า “การเมืองสีเสื้อ” ก็ยังไม่จางลงแต่อย่างใด
เห็นจะๆ กับปัญหาในพรรคเพื่อไทย ครั้งเปิดตัว บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ อดีต ส.ส.นครราชสีมา พรรคไทยรักไทย-พลังประชาชน-ภูมิใจไทย และอดีต รมช.มหาดไทย ในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จนเกิดกระแสต่อต้านอย่างหนัก
คนในพรรค-แฟนคลับ ประสานเสียงโห่ระงม โทษฐานที่ “บุญจง” เป็น “คนทรยศ” ร่วมแปรพักตร์ไปกับกลุ่ม “เพื่อนเนวิน” ที่แปลงร่างเป็น “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย สนับสนุนให้ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ ที่เป็นรัฐบาลที่ต่อสู้กับคนเสื้อแดง ที่สุด “บุญจง” ต้องตัดสินใจถอนตัว
ทั้งกรณีปลุกคนเสื้อแดง หรือกรณี “บุญจง” ตอกย้ำว่า “พรรคเพื่อไทย บาย โทนี่” ภายใต้การนำของ “อุ๊งอิ๊ง” ยังสลัดไม่หลุดกับสงครามสีเสื้อ และไม่ใช่คำตอบของโจทย์สลายความขัดแย้งในประเทศ
จนอาจกลายเป็น “จุดสลบ” ที่ทำให้ “ลูกทักษิณ” ไปไม่ถึงฝั่งฝัน และไม่สามารถไต่บันไดขั้นต่อไปเพื่อพา “พ่อษิณ” กลับบ้านได้.