ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 22 พฤษภาคม 2565 นี้ เป็นที่สนใจไม่เฉพาะแต่คนกรุงเทพฯ เท่านั้น แม้แต่คนต่างจังหวัดก็สนใจด้วย เหตุผลนอกจากจะมาจากการเว้นว่างการเลือกตั้งมานานหลายปีแล้ว อีกส่วนหนึ่งยังมาจากผู้สมัครครั้งนี้มีที่มาจากหลากหลายกลุ่มความคิด หลายพรรค หลายผู้สมัครอิสระ และหลายสถานการณ์ทางการเมือง
อย่างหลังนี้ผมหมายถึงการเมืองในระดับสากล ระดับชาติ จนถึงระดับปัจเจก ระดับหลังนี้หมายถึงการโจมตีหรือเปิดโปงเบื้องหลังของผู้สมัครบางคน หรือเกิดคดีการล่วงละเมิดทางเพศของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับผู้สมัครบางคน เป็นต้น ซึ่งเรื่องทำนองนี้ก็มีมาแทบทุกยุคทุกสมัย แต่ดูเหมือนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ดูจะอื้อฉาวมากกว่าที่ผ่านมา
จนแทบจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาของการเมืองในยามที่มีการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งที่มาพร้อมกับเรื่องอื้อฉาวต่างๆ นี้ บางคนอาจรู้สึกเบื่อการเมืองขึ้นมา ด้วยเห็นว่าเป็นเรื่องน้ำเน่าบ้าง หรือผู้สมัครไม่น่าไว้วางใจบ้าง จนทำให้ไม่อยากจะไปลงคะแนนหรือสนใจการเมืองอีกต่อไป ความรู้สึกแบบนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ แต่ขออย่าได้ถึงกับไม่ไปใช้สิทธิ์ในการลงคะแนนเลย เพราะนี่คือเรื่องที่เกิดในประเทศประชาธิปไตยแทบจะทั่วโลก ใช่แต่ในไทยเท่านั้น คือถ้ารักประชาธิปไตยจริงก็ต้องอดทนกับเรื่องแบบนี้ แล้วประชาธิปไตยจะมั่นคงขึ้นมาในวันหนึ่ง
เอาเฉพาะตัวผมคนเดียวตั้งแต่จำความได้จนถึงในวัยไม้ใกล้ฝั่งในทุกวันนี้ ผมได้พบเจอเรื่องราวเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่พิสดารเหมือนกับคนไทยหลายคน และพอจะเล่าสู่กันฟังได้บ้าง
ตอนที่ผมรู้จักการเลือกตั้งครั้งแรกนั้น ผมเรียนอยู่ชั้นประถมปลาย เวลานั้นรัฐบาลทหารที่ปกครองมายาวนาน และใช้เวลาร่างรัฐธรรมนูญมานานนับสิบปี พอร่างเสร็จประกาศใช้ก็จัดให้มีการเลือกตั้งขึ้นมา พวกเราเด็กๆ ไม่รู้ว่ามันคืออะไร หรือสำคัญอย่างไร และครูที่โรงเรียนก็คงรู้ดีว่าพวกเราเด็กๆ ไม่รู้ไม่เข้าใจ จึงได้แต่บอกนักเรียนว่า เวลาอยู่ที่บ้านให้ช่วยไปบอกพ่อแม่ให้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งด้วย แต่ถึงบอกมาอย่างนั้น พวกเราเด็กๆ ก็ไม่มีใครทำกันด้วยไม่เข้าใจว่าทำไปทำไม
เมื่อการเลือกตั้งผ่านไปเราก็พบว่า เรามีนายกรัฐมนตรียศจอมพลคนเดิม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่แย่ลงไปยิ่งกว่านั้นก็คือ พอผ่านไปไม่กี่ปี นายกรัฐมนตรีท่านนั้นก็ทำรัฐประหารยึดอำนาจตัวเอง ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น จำได้ว่า ขณะกำลังฟังเพลงโปรดจากวิทยุอยู่ดีๆ ก็มีเพลงมาร์ชของสามเหล่าทัพเข้ามาแทรกสลับกันไป เพลงที่เข้ามาแทรกแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเช่นนี้ทำเอาผมงง
นึกว่าสถานีวิทยุ “เกิดความขัดข้องทางเทคนิคบางประการ” ดังที่เคยเป็นมา แต่อีกด้านหนึ่งก็อดแปลกใจไม่ได้ ว่าเวลาขัดข้องจริงเสียงมันจะเงียบไปดื้อๆ สักพักจึงมีประกาศที่ว่าออกมา แล้วรายการก็ดำเนินต่อไปตามปกติ
หลังจากฟังเพลงมาร์ชที่ว่าไปพักใหญ่แล้วจึงได้มีเสียงประกาศการยึดอำนาจขึ้นมา ผมฟังประกาศนั้นด้วยความตื่นเต้น แต่ก็ไม่เข้าใจว่าการยึดอำนาจตนเองของนายกรัฐมนตรียศจอมพลท่านนั้นมันหมายถึงอะไร ได้แต่งงว่าคนเรายึดอำนาจตัวเองได้ด้วยหรือ
หลังจากนั้นการเมืองไทยก็ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาขึ้นในปี 2516 พอถึงปี 2518 เราก็มีการเลือกตั้ง คราวนี้ผมไม่เพียงจะเข้าใจแล้วว่าการเลือกตั้งคืออะไรหรือสำคัญอย่างไรเท่านั้น หากยังมีสำนึกทางการเมืองและมีอุดมการณ์ทางการเมืองให้ยึดถืออีกด้วย นั่นคือ อุดมการณ์สังคมนิยม
ตอนนั้นกฎหมายยังไม่ให้คนอายุ 18 ใช้สิทธิ์เลือกตั้ง ผมซึ่งอายุเท่านั้นจึงไม่มีสิทธิ์ไปลงคะแนน แต่ผมก็เฝ้าดูการเลือกตั้งด้วยความสนใจ เรียกได้ว่าข่าวการเลือกตั้งแทบทุกข่าวไม่มีทางเล็ดรอดสายตาผมไปได้ ข่าวการหาเสียงเลือกตั้งของผู้สมัครจากพรรคต่างๆ จึงอยู่ในความสนใจของผมไปด้วย
เนื่องจากคนไทยห่างเหินการเลือกตั้งมาช้านาน รัฐบาลจึงใช้วิธีต่างๆ ให้คนไทยได้มาใช้สิทธิ์ให้มากที่สุด วิธีหนึ่งคือ การกาบัตรลงคะแนนในบัตรเลือกตั้ง ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้กาได้สามแบบคือ แบบวงกลม แบบเครื่องหมายขีดถูก และแบบกากบาท โดยให้เลือกกาแบบใดแบบหนึ่งเท่านั้น
และแล้วมีอยู่วันหนึ่งผมก็อ่านไปพบข่าวชิ้นหนึ่งรายงานว่า มีผู้สมัครต่างจังหวัดคนหนึ่งไปหาเสียงกับชาวบ้านในจังหวัดของตนว่า เมื่อฟังตนกล่าวปราศรัยหาเสียงแล้วก็ให้ช่วยกันไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง โดยหากรู้สึกเฉยๆ กับสิ่งที่ตนพูดก็ให้กาเป็นวงกลมที่เป็นเลขศูนย์ ในทำนองให้คะแนนเท่ากับศูนย์ แต่ถ้าเห็นด้วยก็ให้กาเครื่องหมายขีดถูก แต่ถ้าเห็นว่าที่ตนพูดมาแย่มากๆ ก็ให้กาเครื่องหมายกากบาท
ตอนที่อ่านผมขำในความเจ้าเล่ห์ของผู้สมัครคนนั้น แต่การที่มีรายงานข่าวเช่นนี้ออกมาก็แสดงว่ามีการรู้ทันเล่ห์ของผู้สมัครคนนี้ และแน่นอนว่า ผู้สมัครคนนี้สอบตก แต่เรื่องทำนองนี้ผมเห็นว่าเป็นสีสันของการเลือกตั้งแบบหนึ่ง คือแบบที่คิดถึงทีไรก็อดขำไม่ได้ทุกทีถึงความช่างคิดของผู้สมัครคนนี้
หลังจากนั้นในปีถัดมาคือ 2519 ก็เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาขึ้น รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งก็ถูกล้มโดยคณะรัฐประหารในเย็นวันนั้น ถัดจากนั้นอีกสองสามปีก็มีการเลือกตั้งอีก คราวนี้ผมมีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกตั้งแล้ว แต่ไม่ไปใช้สิทธิ์ ซึ่งไม่ใช่ผมคนเดียว แต่เพื่อนรุ่นเดียวของผมก็ไม่ไปใช้สิทธิ์เช่นกัน ด้วยตอนนั้นพวกเราฝากความหวังไว้กับการปฏิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย คือผิดหวังกับการเมืองไทยหลัง 6 ตุลาคม
แต่ถึงจะไม่ไปใช้สิทธิ์ ผมกับเพื่อนๆ ต่างก็ติดตามการเลือกตั้งอย่างใกล้ชิด โดยทุกคนเชื่อว่าคราวนี้พรรคประชาธิปัตย์จะชนะการเลือกตั้งใน กทม.อย่างแน่นอน แต่พอผลออกมาพวกเราต่างก็ช็อคไปตามๆ กัน เมื่อปรากฏว่าพรรคประชากรไทยของสมัคร สุนทรเวช เป็นผู้ชนะโดยทิ้งให้พรรคประชาธิปัตย์ได้ ส.ส.เพียงคนเดียว นอกนั้นพรรคประชากรไทยกวาดไปหมด
ผลการเลือกตั้งที่ผิดคาดอย่างแรงในครั้งนั้นสอนให้รู้ว่า ที่พวกเราคิดว่าคน กทม.ไม่ชอบนักการเมือง “ขวาจัด” อย่างสมัคร สุนทรเวชนั้น เป็นเรื่องที่พวกเราคิดกันไปเอง และที่ว่า “ขวาจัด” นั้นก็เห็นได้จากที่สมัคร สุนทรเวชมีส่วนทั้งทางตรงและทางอ้อมในเหตุการณ์ 6 ตุลา ซึ่งอย่างไรเสียคน กทม.ย่อมรับไม่ได้กับเหตุการณ์ครั้งนั้นอย่างแน่นอน
แต่พอผลการเลือกตั้งออกมาเช่นนั้น พวกเราก็ได้บทเรียนว่า เอาเข้าจริงแล้วคน กทม.จะคิดถึงผลประโยชน์ใกล้ตัวเป็นคราวๆ ไป อุดมการณ์ทางการเมืองถือเป็นเรื่องรอง เมื่อพอใจกับพรรคประชากรไทยไประยะหนึ่ง คน กทม. ก็หันกลับเลือกพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนอีก จนครั้งหนึ่งยังได้หันกลับมาเลือกสมัคร สุนทรเวชเป็นผู้ว่าฯ กทม.อีกด้วย
ส่วนผมกับเพื่อนๆ ที่นิยมซ้ายต่างก็อกหักตามระเบียบ ท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพไม่เคยมาเยือนมาแต่วินาทีเดียว และเราก็เห็นพ้องกันตั้งแต่ตอนที่พรรคประชากรไทยชนะการเลือกตั้งในครั้งนั้นแล้วว่า พวกเราถูกคน กทม.สั่งสอนจนเข็ดขยาด
ส่วนการเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ครั้งนี้ที่มากด้วยสีสันนั้น สีสันเหล่านี้คงทำอะไรคน กทม.ได้ไม่มาก ที่น่าตื่นเต้นจึงคือ การที่ต้องคอยเดาว่าคน กทม.จะเลือกใคร โดยที่การเลือกใครนั้นบางทีอาจเท่ากับสั่งสอนใครไปด้วยก็ได้