ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ผู้เสียหายปาเข้าไปร่วม 20 รายเข้าให้แล้ว
สำหรับ “เหยื่อ” ของ “รองหัวหน้าพรรคใหญ่” ที่ขณะนี้ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาในคดีอนาจารฯ และข่มขืน รวมแล้ว 13 คดี
สำหรับ “ผู้เสียหาย” ที่ออกมาให้ข้อมูลและแจ้งความดำเนินคดีแล้ว 18 ราย แบ่งเป็นพื้นที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) 15 ราย ได้แก่ สน.ลุมพินี 14 ราย และ สน.ห้วยขวาง 1 ราย ผู้เสียหายใน จ.เชียงใหม่ 1 ราย, จ.เพชรบุรี 1 ราย และต่างประเทศอีก 1 ราย
แม้จะยังไม่สามารถชี้ว่า “ปริญญ์ พานิชภักดิ์”- “ถูกหรือผิด” ด้วยเป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม แต่เรื่องนี้เป็น “เรื่องใหญ่” เป็นคดีคุกคามทางเพศที่ร้ายแรง อีกทั้งผู้ถูกกล่าวหาเป็นถึงรองหัวหน้าพรรค และอีกหลายตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งยังเป็นที่ปรึกษารองนายกฯ เสียด้วย
สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีคำถามไปต้นสังกัดเก่าอย่าง “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ถึงความรับผิดชอบที่ปล่อยให้ “ภัยสังคม” อยู่ในพรรค แถมผลักดันให้มีตำแหน่งใหญ่โตทั้งที่ล่วงรู้ถึง “พฤติกรรม” มาก่อน
ทำให้ท่าทีช่วงเกิดเรื่องใหม่ของ “ค่ายสะตอ” ถือว่า “น่ารังเกียจ” ไม่ต่างจากผู้กระทำผิดเสียเอง เพราะมองได้ว่าไม่รับผิดชอบต่อสังคม และประเทศชาติ
ไม่ว่าจะรายของ “ราเมศ รัตนะเชวง” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามย้ำว่า เรื่องนี้เป็น “เรื่องส่วนตัว” ซึ่งจะผิดหรือไม่ก็ว่ากันไปตามกระบวนการยุติธรรม พรรคจะไม่ไปก้าวล่วง และสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการให้เต็มที่
“คนคือตัวปัญหาเป็นผู้ก่อการ หากไปกล่าวหาพรรคก็ไม่เป็นธรรมต่อพรรคการเมืองนั้นๆ และจะไม่เป็นธรรมต่อคนดีคนที่ตั้งใจทำงานที่อยู่ในพรรคด้วย” โฆษกค่ายสะตอว่าไว้
ทำนองเดียวกับ “เสี่ยอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการะทรวงพาณิชย์ ที่ “ช่วงแรก” หลัง “เรื่องแดง” ไปแล้วถึง 3 วัน จึงออกมาให้สัมภาษณ์เพียงว่า ให้เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม และยืนยันว่า ไม่ปกป้องคนที่ทำความผิด และไม่แทรกแซงในกระบวนการยุติธรรมใดๆ ทั้งสิ้น เท่านั้น
หากเรื่องพรรค์นี้เป็นเพียง “เรื่องส่วนตัว” จริง คงไม่ถูกบัญญัติไว้ว่าเป็น “อาญาแผ่นดิน” ที่ยอมความไม่ได้
ต่างจาก “ลูกพรรค” ที่เป็น “ฝ่ายหญิง” ที่เข้าใจหัวอกของผู้เสียหาย และดูจะมี “มโนสำนึก” มากกว่า “หัวหน้า-โฆษก”
ทั้ง รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้แถลงครั้งหนึ่งว่า พรรคประชาธิปัตย์เข้าใจในความรู้สึกทั้งของผู้เสียหายและสังคม พรรคสนับสนุนให้ผู้เสียหายจากการคุกคามหรือล่วงละเมิด ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งรัดดำเนินการ เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมได้เดินหน้าโดยเร็ว
หรือ พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่โพสต์เฟซบุ๊กตอนหนึ่งว่า “ในฐานะกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ดิฉันขอโทษพี่น้องประชาชน และผู้สนับสนุนพรรคต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น”
กลับกัน “หัวหน้าอู๊ด” หายหน้าหายตาไปถึง 2 วันเต็ม กว่าจะตั้งหลักได้ แล้วลากคณะกรรมการบริหารพรรค ออกมาเรียงหน้าแถลง “เสียใจอย่างสุดซึ้ง และกราบขอโทษต่อทุกสิ่งที่เกิดขึ้น” ต่อสังคมและประชาชน
พ่วงด้วยการลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการ 2 ชุดที่เกี่ยวเรื่อง “เพศ-สตรี” ในรัฐบาล คือ ประธานคณะกรรมการส่งเสริมความเท่าเทียมระหว่างเพศ และประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และนโยบายสตรีแห่งชาติ
ตลอดจน “ล้อมคอก” โดยการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้เข้าร่วมงานกับพรรค และสืบสวนเรื่องคาวฉาวโฉ่ที่มีการแฉในไลน์กลุ่มพรรค
เดิมที “จุรินทร์” เองคงหวังว่าเมื่อตัด “เนื้อร้าย” โดย “ตัวต้นเหตุ” ลาออกจากทุกตำแหน่งในพรรคประชาธิปัตย์แล้วเรื่องจะซาลง กลับกันความรับผิดชอบที่ “ไม่เพียงพอ” ยิ่งทำให้เรื่องลุกลามบานปลายไปกันใหญ่
จนเกิดกระแสกดดันทั้งจากสังคมภายนอก และภายในพรรค ที่ถาโถมเข้าใส่ “ค่ายสีฟ้า” ทำให้ “หัวหน้าอู๊ด” ต้องออกมาแถลงขอโทษต่อสังคม มากกว่า “สำนึกความรับผิดชอบ” ที่ควรแสดงออกมาตั้งแต่ต้น
อีกทั้งความรับผิดชอบเพียงลาออกจากตำแหน่งประธานคณะกรรมการ 2 ชุด ที่สังคมไม่เคยล่วงรู้ว่ามีอยู่ ก็ถือว่า “หน่อมแน้ม” กว่าเรื่องที่เกิดขึ้น
กระแสในพรรคเองถึงกับทนไม่ได้กับท่าทีของ “หัวหน้าพรรค” เมื่อมีการเปิดประเด็นในกลุ่มไลน์พรรคจาก “ศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์” ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ได้แชร์ข้อความของ “ลูกนัท” ธนัท ธนากิจอำนวย อดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นสามีของหนึ่งในผู้เสียหาย ที่ได้โพสต์เฟซบุ๊ก
เรียกร้องให้ตรวจสอบจริยธรรมกรรมการบริหารพรรค ที่สนับสนุนให้ “ปริญญ์” เข้ามาเป็นรองหัวหน้าพรรค
ทว่า “จุรินทร์” ส่งข้อความถามกลับว่า “แปลว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยครับ” ก่อนที่อีกฝ่ายจะตอบกลับว่า “ไม่มีความเห็นค่ะท่าน”
จากนั้นก็เป็นคิวของ “เจ๊ติ่ง” มัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข กรรมการบริหารพรรค และที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นเด็กในมุ้ง “เสี่ยอู๊ด” ที่ไม่เพียงออกมาปกป้องหัวหน้าพรรคด้วยการตั้งคำถามกลับไปว่า “พฤติกรรมของคนๆ หนึ่งจะต้องตรวจสอบทั้งกรรมการบริหารพรรคหรือ”
แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ “เจ๊ติ่ง” ยังถือโอกาสลากไส้คนในพรรคที่อยู่ขั้วตรงข้ามของหัวหน้าว่า มีทั้งเป็น ชู้ กับเมียชาวบ้าน และเป็น กิ๊ก กับเป็นสามีคนอื่น ถึงขนาดเอาเสื้อไปแขวนไว้บนรถของผัวคนอื่น
งานนี้เลยไฟลุกกันทั้งพรรค เพราะสะท้อนของ “ความเน่าเฟะ” ในพรรคเก่าแก่ที่คุยเขื่องว่าเป็นเสาหลักการเมืองไทยมาโดยตลอด
ไม่เพียงเท่านั้น “จุรินทร์” ยังโดนขยายความคำสารภาพที่ว่า
“ในฐานะหัวหน้าพรรคมีส่วนสำคัญในการนำนายปริญญ์เข้าพรรค” อีกด้วย โดย “เสี่ยคึก” เทพไท เสนพงศ์ อดีต ส.ส.ฝีปากกล้า ที่แม้มีจุดยืนเคียงข้าง “จุรินทร์” และ “ปริญญ์” ได้ออกมาชำแหละเบื้องหลังการเข้าสู่ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ของ “ปริญญ์” เพื่อขจัด “หอกข้างแคร่” อย่าง “เสี่ยดอน” กรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง จนต้องลาออกจากพรรคไป
โดยชี้ชัดถึงกระบวนการที่ “หัวหน้าอู๊ด” สนับสนุนให้ “ปริญญ์” เข้าตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค ทั้งที่ “ไม่มีคุณสมบัติ” ละเอียดยิบ
ตั้งแต่การที่ “ปริญญ์” เป็น “บุคคลภายนอก” เพิ่งสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไม่ถึง 5 ปี และยังไม่เคยเป็นกรรมการบริหารพรรค กรรมการสาขาพรรค ส.ส. รัฐมนตรี หรือสมาชิกสภาท้องถิ่นในนามพรรคมาก่อน ตามข้อบังคับพรรค “ปริญญ์” หมดสิทธิ์ลุ้นเป็นกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์
แต่ “จุรินทร์” ในฐานะหัวหน้าพรรค ได้ใช้สิทธิ์หัวหน้าพรรคเสนอให้ที่ประชุมใหญ่มีมติยกเว้นคุณสมบัติเพื่อให้ “ปริญญ์” เป็นรองหัวหน้าพรรคได้
เปรียบเสมือน “ล็อกสเปก” ตำแหน่งรองหัวหน้าพรรค จากโควตาของหัวหน้าพรรค
ทั้งที่สมาชิกพรรคจำนวนหนึ่งที่รู้ประวัติของ “ปริญญ์” มาก่อน ได้ให้ข้อมูล-ท้วงติงเกี่ยวกับตัว “ปริญญ์” ต่อ “จุรินทร์” แล้ว แต่ก็ยังยืนกรานที่จะใช้สิทธิ์หัวหน้าพรรคเสนอชื่อ “ปริญญ์” เป็นรองหัวหน้าพรรค
โดยวาง “ปริญญ์” เป็นรองหัวหน้าพรรค เพื่อทำภารกิจเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย เพียงเพื่อกดทับบทบาท “กรณ์” ที่เป็นคู่แข่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรคกับตัวเอง และยังเป็นอดีตหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ สมัย “เฮียมาร์ค” อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรค
งานนี้ตัว “ปริญญ์” คงดับอนาถในทางการเมืองเป็นที่เรียบร้อย ส่วน “จุรินทร์” ที่ภาวะผู้นำต่ำก็พลอย “เน่า” ไปด้วย ขณะที่ “ค่ายสะตอ” ที่ภาพลักษณ์ตกต่ำอยู่แล้ว ก็ยิ่งติดลบหนักไปอีก
แล้วยังไม่รวมเรื่องฉาวที่ “เจ๊ติ่ง” แฉทิ้งไว้อีก แบบไม่มีมูล หมาไม่ขี้แน่นอน
ดูท่าอนาคตพรรคเก่าแก่ที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ถูกขนานนามว่า “พรรคแมลงสาบ” จะไปต่อยาก ทั้งที่เพิ่งกระชุ่มกระชวยจากชัยชนะเลือกตั้งซ่อม 2 เขตที่ภาคใต้มาไม่นาน
และคาดหวังว่าสนามเลือกตั้ง กทม. ที่เคยวาง “ปริญญ์” ไว้เป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งพอสมควร ในการจะกู้ชื่อพรรคหลังจากที่ต้องสูญพันธ์ุในพื้นที่เมืองหลวงในการเลือกตั้งปี 2562 กลับมาให้ได้
ก่อนเกิดเรื่อง รายของ “พี่เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณภักดี ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม.ของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ยังถีบตัวไม่ขึ้น ไม่มีแนวโน้มที่จะไล่ตาม “เฮียทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครเต็งหนึ่งที่นำอยู่หลายช่วงตัวได้ทันอยู่แล้ว
หรือกระทั่ง “เสี่ยวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง อดีตผู้ว่าฯกทม. ที่ลงสมัครในนามอิสระ ที่คะแนนนิยมไม่ได้ดีเด่ ผลโพลยังเหนือกว่า “พี่เอ้” ด้วยซ้ำ
ในอารมณ์ว่า คนไม่มอง “ค่ายสะตอ” เป็นทางเลือกอีกต่อไป
ยิ่งพอเกิดเรื่อง “ปริญญ์” ขึ้นมา ก็ยิ่งทำให้เชื่อว่าผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. และ ส.ก.ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ คงออกมาแบบดูไม่ได้
ถึงวันนั้น “จุรินทร์” อาจต้องแสดงสปิริตแบบ “สองเด้ง” พิจารณาตัวเองจากหัวหน้าพรรค รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคทั้งชุดด้วย ทั้งความพ่ายแพ้ย่อยยับในสนาม กทม. และเรื่องฉาวของ “ปริญญ์” ที่ยังรอความรับผิดชอบที่สมน้ำสมเนื้ออยู่
และอาจจะส่งผลไปถึงการเมืองภาพใหญ่ ที่ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้กับ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย มาโดยตลอด แม้ในการเลือกตั้ง 2562 จะประสบความล้มเหลวก็ตาม
ตามรูปการณ์ที่เลือกตั้งรอบหน้าก็ยังเป็นการเมือง “สองขั้ว” ที่ฟากหนึ่งมีตัวยืนเป็นพรรคเพื่อไทย ขณะที่ขั้วตรงข้ามเดิมมีพรรคประชาธิปัตย์เป็นตัวหลัก คงต้องหลีกให้พรรคอื่นขึ้นมาฟัดกับ “ระบอบทักษิณ” แทน
ชั่วโมงนี้อาจจะหวังยากกับ “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ แกนนำรัฐบาลในขณะนี้ เพราะปัญหาภายในที่ครุกรุ่นมาอย่างต่อเนื่อง แม้ก๊วนของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า จะถูกขับออกไปจากพรรคแล้วก็ตาม
เพราะยังมีคำถามถึงความชัดเจนของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค ที่มีต่อตัว “น้องตู่” แม้จะยืนกรานว่า “พลังประชารัฐ” จะยังเป็นพรรคหลักในการสนับสนุน “บิ๊กตู่” เป็นแคนดิเดตนายกฯรอบหน้า แต่กลับปล่อย “ธรรมนัส” แตกไลน์ขยายสาขา ที่ดูจะไม่เอื้อต่อกติกาบัตร 2 ใบ
แล้วยังมีเสียงซุบซิบ “ดีลลับ” ของ “บิ๊กป้อม” กับขั้วตรงข้ามโยงกับทริปมหาสงกรานต์ที่ “ลุงป้อม” จับเครื่องไปพักผ่อนแถบยุโรป ที่อาจมีนัดพิเศษไปพบกับ “บางคน”
อีกทั้งภาพลักษณ์ของพรรคพลังประชารัฐ ก็อยู่ในสภาพ “ป่นปี้” ไม่ต่างจากพรรคประชาธิปัตย์เท่าไร ด้วยผลงานของบุคลากรในสังกัด ไม่ว่าจะเป็น สิระ เจนจาคะ - ปารีณา ไกรคุปต์
หรือล่าสุดกับ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ที่เพิ่งลาออกจากกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี รับผิดชอบกรณีคลิปหลุด 15 ล้านไป แม้ “เสกสกล” จะลาออกจากพรรคพลังประชารัฐไปแล้วก็ตาม แต่ภาพจำก็ยังชัดเจนว่า เคยเป็นคนของพรรคมาก่อน
ในเมื่อโจทย์ว่า ยังต้องมีพรรคการเมืองที่มาต่อสู้กับ “ระบอบทักษิณ” อยู่ แล้วเกิดเรื่องเน่าๆกับ พรรคประชาธิปัตย์ หรือพรรคพลังประชารัฐที่ไม่เป๊ะเหมือนปี 2562
ทำให้สปอตไลท์การเมืองจำต้องสาดส่องหาพรรคการเมืองที่ยืนตรงข้ามขั้วทักษิณขึ้นมาแทนที่
ที่แคยมีกระแสอย่าง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ที่ตั้งไข่อยู่ ก็ต้องมาพังไปกับ “แรมโบ้” ในฐานะผู้ก่อการไปด้วย ส่วน “พรรคไทยสร้างสรรค์” ที่พะยี่ห้อ “เสี่ยตั้น” ณัฐฏพล ทีปสุวรรณ อดีตแกนนำ กปปส. และอดีต รมว.ศึกษาธิการ ก็ดูท่าจะขุนไม่ขึ้น
เป็นจังหวะที่ “ค่ายสี่กุมาร” พรรคสร้างอนาคตไทย เริ่มขับเคลื่อนเต็มกำลัง กับการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 จัดวางทัพขุนพลตัวจริง เตรียมพร้อมสู่การเลือกตั้งครั้งหน้า
ทั้ง อุตตม สาวนายน ในตำแหน่งหัวหน้าพรรค สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค และกรรมการบริหารพรรคที่มีดีกรี อาทิ วิเชียร ชวลิต, นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ, สุพล ฟองงาม, สันติ กีระนันท์ รวมไปถึง “เสี่ยปุ้ม” สุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตคนของขั้วทักษิณ
พร้อมทั้งประกาศชัดเจนแล้วว่า จะเสนอชื่อ “เฮียกวง” สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกฯหลายสมัย เป็นแคนดิเดตนายกฯอันดับ 1 ของพรรคสร้างอนาคตไทย
น่าสนใจไม่น้อยกับการตัดสินใจครั้งนี้ของ “จอมยุทธ์กวง” ที่ถือเป็นการตอบรับ “บทนำ” เป็นครั้งแรกก็ว่าได้ เพราะที่ผ่านมา “สมคิด” รับบท “พระรอง” มาโดยตลอด
ถึงขนาด “สุรนันทน์” ที่ยอมรับว่ายังรักและเคารพ “เฮียโทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯอยู่ ยังประกาศว่า หากนายกฯไม่ชื่อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” ประเทศไปไม่รอดแน่
ถือเป็นจังหวะจัดทัพขุนพลของพรรคสร้างอนาคตไทยที่ลงตัว สวนทางกับพรรคอื่นๆในขั้วเดียวกันที่ดูจะมีปัญหากันทั่วหน้า
เมื่อพรรคอื่นติดหล่ม ก็ขับให้ความเคลื่อนไหวของ “สร้างอนาคตไทย” โดดเด่นขึ้นมาไม่น้อย.