คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
จีนเป็นหนึ่งในไม่กี่ชาติในโลกที่การแต่งงานของชายหญิงเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงอยู่เสมอ เริ่มตั้งแต่ในอดีตกาลที่การแต่งงานที่มักเป็นไปโดยการคลุมถุงชน การคลุมถุงชนนี้คนรุ่นใหม่อาจไม่รู้ว่าเป็นอย่างไร เพราะคนรุ่นใหม่จะแต่งหรือไม่แต่งงานกับใคร ล้วนเป็นไปด้วยการกำหนดใจตนเองทั้งสิ้น แต่จะมีบ้างที่จะมีข่าวว่าชายหรือหญิงมีปัญหาความรักเมื่อครอบครัวไม่เห็นด้วย
สำหรับจีนแล้วการแต่งงานแบบคลุมถุงชนในอดีตนับเป็นปัญหาที่หนักมาก ด้วยมีหนุ่มสาวหลายคู่ต้องผิดหวังในความรัก ว่าคนที่ตนรักนั้นกลับไม่ได้แต่งแล้วอยู่กินด้วยกัน หากต้องแต่งกับคนที่ตนไม่รู้จัก หรือเคยรู้จักแต่ไม่เคยนึกรักนึกชอบแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายบางคนที่ตนแต่งด้วยไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำไป ทุกอย่างถูกจัดการกันเองโดยผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่าย หนุ่มสาวไม่มีสิทธ์รู้หรือมีส่วนร่วม
หากใครที่เคยดูหนังจีนย้อนยุคแล้ว คงจะเคยเห็นพิธีแต่งงานกันบ้างว่า เจ้าสาวจะมีผ้าคลุมศีรษะปิดบังใบหน้าเอาไว้ไม่ให้ใครเห็น และเมื่อเจ้าสาวถูกส่งตัวเข้าเรือนหอแล้ว เจ้าบ่าวซึ่งอยู่กันสองต่อสองกับเจ้าสาวก็จะเปิดผ้าคลุมหน้าให้เลิกขึ้น เพื่อยลโฉมเจ้าสาวของตน
ตอนที่เลิกผ้าคลุมหน้าขึ้นนี้นับว่าสำคัญมาก เพราะบทหนังจะเขียนไปหลายแนวแบบให้คนดูได้ลุ้นไปด้วย เช่น พอเลิกผ้าคลุมขึ้นมาก็จะเห็นหน้าเจ้าสาวว่างามหรือไม่ ในกรณีนี้แสดงว่าทั้งสองไม่เคยรู้จักกัน พอเห็นหน้ากันแล้วก็อาจพอใจหรือไม่พอใจก็ได้ แต่ถึงไม่พอใจก็ต้องอยู่กินด้วยกัน ในแบบที่พูดกันว่า อยู่ๆ กันไปเดี๋ยวก็รักกันเอง
หรือเลิกผ้าคลุมขึ้นมาด้วยความแน่ใจว่าคือคนที่ตนรักอยู่แต่เดิม ถ้าเป็นกรณีนี้เรื่องก็จะจบแบบสุขนาฏกรรม แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องก็จะบานปลายกลายเป็นโศกนาฏกรรม เพราะทั้งคู่เหมือนถูกผู้ใหญ่หลอกให้แต่งงานกัน โดยทำให้เชื่อว่าตนกำลังแต่งกับคนที่ตนรัก ทั้งๆ ที่เป็นใครก็ไม่รู้หรือไม่ก็เป็นคนที่ตนรังเกียจเป็นทุนเดิม อย่างหลังนี้ถือว่าเจ็บปวดมาก เพราะนอกจากจะโดนแล้วก็ยังเหมือนกับโดนกระทืบซ้ำอีกด้วย
ว่าที่จริงแล้วตัวอย่างที่ยกมานั้นล้วนสร้างจากเรื่องจริงทั้งสิ้น และก็เพราะเหตุนั้นจีนจึงมีวรรณกรรมหรือนิทานที่บอกเล่าเรื่องราวความรักของหนุ่มสาว ที่ผูกเรื่องให้แต่งงานแบบคลุมถุงชนอยู่มากมาย ซึ่งมีทั้งที่จบแบบสุขนาฏกรรมและโศกนาฏกรรม
การแต่งงานแบบคลุมถุงชนของจีนในอดีตจึงเป็นเรื่องที่ปวดร้าวใจของคนหนุ่มสาว และเมื่อจีนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ที่วัฒนธรรมตะวันตกได้เข้ามาในจีนแล้วระยะหนึ่ง งานวรรณกรรมร่วมสมัยของจีนจำนวนหนึ่งจึงบอกเล่าความรักของหนุ่มสาว ที่เชื่อมโยงกับการแต่งงานแบบคลุมถุงชนดังกล่าวในเชิงวิพากษ์ และแสดงออกซึ่งน้ำเสียงที่ต่อต้านประเพณีแบบนี้ โดยเฉพาะกับคนหนุ่มสาวที่มีการศึกษาในยุคนั้น ที่ต่างหวังที่จะมีคนรักที่ตนเลือก ไม่ใช่กับใครก็ได้ที่บุพการีเลือกให้ แล้วบังคับให้ยอมรับด้วยการอ้างอิงความกตัญญูเป็นที่ตั้ง
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่แปลกที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ยกเลิกการแต่งงานแบบคลุมถุงชนทันทีที่ยึดอำนาจได้ หากใครฝ่าฝืนจะถูกลงโทษ การยกเลิกครั้งนี้จึงเท่ากับปลดปล่อยการแต่งงานให้เป็นไปอย่างเสรี เป็นไปดังใจกำหนดของคู่รักคนหนุ่มคนสาว แต่กระนั้น การแต่งงานแบบคลุมถุงชนก็ถูกแทนที่ด้วยอีกประเพณีหนึ่ง นั่นคือ การดูตัว
การดูตัวนี้ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง โดยในเบื้องต้นนั้นได้ชี้ให้เห็นว่า ฝ่ายชายคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานเลี้ยงดูบุพการีด้วยความกตัญญู จนไม่มีเวลาที่จะไปคบเพื่อนผู้หญิง ส่วนฝ่ายหญิงก็ขลุกอยู่กับการเรียนรู้งานบ้าน ไม่มีโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตากับโลกภายนอก ที่จะให้รู้จักหรือมีเพื่อนผู้ชายจึงมีน้อย
ด้วยช่องว่างตรงนี้ที่ทำให้เกิดแม่สื่อแม่ชักขึ้นมาเป็นอาชีพ แม่สื่อนี้จะรู้ดี (พูดให้ดูดีก็คือมีข้อมูล) ว่ามีใครที่ไหนที่ยังโสดอยู่บ้าง และครอบครัวไหนมีสมาชิกที่อยู่ในวัยที่พึงจะแต่งงานได้แล้ว ถึงตอนนั้นแม่สื่อก็จะถูกหัวหน้าครอบครัวนั้นๆ ให้ช่วยหาคู่ครองให้กับคนโสดในครอบครัวของตน จากนั้นแม่สื่อก็จะทำหน้าที่ประสานให้ทั้งสองฝ่ายได้เจอกันในที่ใดที่หนึ่งแล้วแต่จะตกลงกัน การเจอกันนี้จะเป็นไปในแบบสองต่อสองเพื่อให้คนทั้งสองได้พูดคุยกัน หากการพูดคุยเป็นที่พอใจกันทั้งสองฝ่าย การแต่งงานก็จะเกิดขึ้น ตัวแม่สื่อจะได้ค่าตอบแทนค่อนข้างดี แต่ถ้าไม่ก็จะได้ค่าตอบแทนที่ต่ำลงมา
จะเห็นได้ว่า วิธีแบบนี้แม้จะดีกว่าคลุมถุงชน แต่ก็เป็นวิธีที่ไม่สู้จะเป็นธรรมชาติ เพราะต่างฝ่ายต่างต้องมาเผชิญหน้ากันโดยต่างก็รู้กันดีว่าเพื่ออะไร และแม้จะเป็นความจริงที่ฝ่ายหญิงมีสิทธิ์ที่จะปฏิเสธฝ่ายชายก็ได้หากคุยหรือเห็นหน้าแล้วไม่พอใจ แต่เอาเข้าจริงแล้วความพอใจหรือไม่พอใจมักจะมาจากฝ่ายชายเป็นหลัก ฝ่ายหญิงจึงค่อนข้างเสียเปรียบถ้าหากถูกฝ่ายชายปฏิเสธ
พูดถึงการดูตัวแล้วผมเคยมีประสบการณ์ตรง คือตอนเด็กนั้นได้มีการดูตัวกันขึ้นที่บ้านผม ผมซึ่งยังเด็กไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรยังคงนั่งอยู่ในบ้านที่หนุ่มสาวดูตัวกัน ผมจึงได้รู้ได้เห็นได้ยินเหตุการณ์ทั้งหมด ว่าหนุ่มสาวคู่นั้นคุย (ภาษาจีนกลาง) อะไรกันบ้าง ซึ่งฝ่ายชายเป็นฝ่ายชวนคุยเป็นหลัก ส่วนฝ่ายหญิงก็ตอบด้วยดีและด้วยความเขินอายตามประสาหญิง เมื่อดูตัวเป็นที่พอใจแล้วทั้งสองฝ่ายก็แยกย้ายกันไป
แต่เรื่องมาโป๊ะแตกก็ตอนที่ผู้ใหญ่รู้ว่าผมยังอยู่ในบ้านและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด ผมจึงโดนดุเป็นชุด แต่ผู้ใหญ่ก็คงรู้ว่าผมไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ผมจึงไม่โดนตีหรือตบกะโหลก แต่ที่ผมขำก็คือ พอดุเสร็จผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็รุมกันถามผมว่า ทั้งคู่คุยอะไรกันบ้าง ผมก็เล่าให้ฟังหมดเท่าที่รู้เห็น
อย่างไรก็ตาม ทั้งสองคนไม่ได้แต่งงานกัน จนทุกคนอำผมว่าเป็นเพราะผมไปนั่งดูทั้งคู่คุยกัน ทำให้ทั้งคู่พูดคุยได้ไม่เต็มที่ การดูตัวจึงไม่เต็มที่ การแต่งงานจึงไม่เกิดขึ้น
ทุกวันนี้การดูตัวในไทยไม่ได้พบเห็นมานานแล้ว แต่ในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงมีอยู่และได้พัฒนาไปมาก โดยคนที่มีบทบาทสูงไม่ใช่แม่สื่อ แต่เป็นบุพการีของฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย ที่ต่างมาชุมนุมกันในสวนสาธารณะเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลลูกชายลูกสาวของตน การแลกเปลี่ยนนี้ค่อนข้างเปิดกว้าง หากเป็นที่พอใจ ทั้งสองฝ่ายจะนำความไปแจ้งแก่ลูกของตน และถ้าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี การแต่งงานก็เกิดขึ้น
การดูตัวแบบนี้เป็นการดูตัวทางอ้อม และเกิดขึ้นด้วยความทุกข์ใจของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ ที่เห็นว่าลูกของตนโตเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้วยังไม่แต่งงาน จนเกรงกันว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไปก็อาจจะไม่มีผู้สืบสกุล ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับครอบครัวจีน ส่วนข้างหนุ่มสาวก็ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินให้มากเข้าไว้ โดยเฉพาะฝ่ายหญิงที่มีหน้าที่การงานดีจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตที่มีอิสระสูง แถมยังเป็นฝ่ายเลือกผู้ชายมากกว่าให้ผู้ชายเป็นฝ่ายเลือกตน ความทุกข์ของบุพการีจึงเกิดด้วยเหตุนี้
การแต่งงานหรือไม่แต่งงานของชาวจีนทุกวันนี้แยกไม่ออกจากการพัฒนาเศรษฐกิจของจีนจากที่ผ่านมา การพัฒนาในลักษณ์นี้จึงส่งผลสะเทือนต่อกรอบความคิดเดิมในเรื่องการมีครอบครัว ผลสะเทือนนี้ใช่จะมีเพียงทัศนะเรื่องการแต่งงานเท่านั้น หากยังมีไปถึงเรื่องอื่นๆ อีกด้วย เช่น ค่านิยมใหม่ๆ ทางสังคมจำนวนประชากร ฯลฯ ซึ่งล้วนเป็นประเด็นที่น่าศึกษาทั้งสิ้น