ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
มีเงินใช้ผีโม่แป้ง เป็นสำนวนจีนที่ไทยเรารู้จักและใช้กันอยู่เสมอ ความหมายของคำนี้ก็คือ หากใช้เงินเป็นเครื่องล่อใจ ก็สามารถว่าจ้างคนทุกคนให้ทำงานต่างๆ ที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ว่าจ้างได้ ไม่ว่าผู้รับจ้างจะเต็มใจหรือรู้สึกผิดหรือไม่ก็ตาม
ที่ว่าเป็นสำนวนจีนเพราะคำว่า "โม่” ชี้ให้เห็นกิริยาของบุคคลที่กำลังทำการบดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยทำผ่านเครื่องมือชนิดหนึ่งที่เรียกว่า เครื่องโม่แป้ง ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ชาวจีนใช้สำหรับทำอาหารหรือของกินบางบางประเภท
เครื่องโม่แป้งนี้ทำจากหินมีรูปร่างเป็นแผ่นหนากลมประกบกันสองส่วน โดยส่วนฐานจะถูกเซาะให้เป็นร่องรอบวงที่เทลาดลงเล็กน้อย แล้วข้างหนึ่งของร่องนี้จะถูกเซาะเป็นปากเพื่อให้สิ่งที่ถูกโม่ไหลออกได้ อีกส่วนหนึ่งเป็นส่วนที่อยู่ด้านบนที่ตั้งทับส่วนฐานขึ้นไป ส่วนนี้จะเล็กกว่าส่วนฐาน และด้านบนจะถูกเซาะให้เว้าเป็นแอ่งตื้นๆ แล้วตรงกลางจะถูกเจาะเป็นรูที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางกว้างกว่าหนึ่งนิ้ว โดยตรงขอบจะมีแท่งไม้ปักอย่างมั่นคง แท่งไม้นี้คือมือจับใช้สำหรับจับให้ส่วนด้านบนนี้หมุนไปได้
เวลาใช้เครื่องโม่นั้น ผู้ใช้จะใส่วัตถุดิบที่ต้องการจะโม่ลงไปในรูตรงกลางด้านบน วัตถุดิบนี้จะแช่อยู่ในน้ำ ดังนั้น เวลาตักวัตถุดิบนี้เพื่อหยอดลงรูจะมีน้ำปิ่มๆ อยู่ด้วย น้ำนี้จะมากเกินไปก็ไม่ได้ น้อยเกินไปก็ไม่ดี เพราะถ้ามากเกินไปแล้ว วัตถุดิบที่ถูกบดเป็นเนื้อแป้งจะเหลวเกินไปจนใช้ไม่ได้ แต่ถ้าน้อยเกินไปเนื้อแป้งก็จะหยาบหรือไม่เนียน
ส่วนวิธีโม่นั้นก็คือ เมื่อหยอดวัตถุดิบลงในรูปแล้ว คนที่โม่ก็จะจับแท่งไม้แล้วหมุน ตอนที่หมุนไปวัตถุดิบที่อยู่ในรูจะค่อยเบียดตัวลงไปที่ฐานด้านล่าง และน้ำที่หล่อเลี้ยงจะดันให้วัตถุดิบนั้นเบียดแทรกเข้าไปในรอยต่อของหินสองก้อนบนล่าง เมื่อเครื่องโม่ถูกหมุนไปเรื่อยๆ วัตถุดิบก็จะถูกบดและค่อยๆ ซึมไหลออกมาจากรอยต่อที่ว่า คือกลายเป็นเนื้อแป้งที่ข้นเหลว แล้วไหลลงร่องไปออกปากทาง โดยด้านล่างจะมีภาชนะรองรับแป้งเหลวนั้นเอาไว้
สมมติว่าวัตถุดิบนั้นคือข้าวเหนียว สิ่งที่ซึมออกมาก็จะเป็นเนื้อแป้งข้าวเหนียวที่มีเนื้อเนียนละเอียด คล้ายๆ กับเวลาที่เราผสมแป้งมันกับน้ำแล้วตีให้ข้นเหลว เนื้อแป้งที่ข้นเหลวนี้เองที่จะถูกนำไปทำเป็นขนมหรือของกินชนิดต่างๆ ตามวัตถุประสงค์ของคนที่โม่
ที่สู้เขียนสาธยายมานี้ก็เผื่อว่าคนรุ่นใหม่จะสนใจใคร่รู้ ว่าในอดีตนั้นคนเขาทำอาหารหรือขนมบางชนิดกันอย่างไร เพราะเดี๋ยวนี้การใช้เครื่องโม่แบบนี้ได้ลดน้อยถอยลงไปมากแล้ว มีแต่ใช้เครื่องโม่หรือเครื่องบดไฟฟ้าที่สะดวกรวดเร็วกว่า แถมยังไม่กินแรงเหมือนกับที่ใช้เครื่องโม่ ที่คิดถึงทีไรเป็นรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาทันที
คือในสมัยเด็กนั้น ที่บ้านมีเครื่องโม่ขนาดใหญ่มาก เวลาโม่ไม่ได้ใช้มือจับแท่งไม้แล้วนั่งหมุนดังที่กล่าวไปข้างต้น แต่เครื่องโม่ขนาดใหญ่นี้เขาจะทำมือจับเป็นแท่งไม้ยาวราวสองฟุตยื่นออกจากด้านข้าง แท่งไม้นี้มีขนาดพอเหมาะให้มือที่กำได้พอดี และมีเชือกผูกโยงขึ้นไปติดกับขื่อหรืออะไรอื่นที่อยู่ด้านบน เชือกนี้จะเป็นตัวช่วยในการหมุนเครื่องโม่ ขณะที่โม่ต้องมีคนคอยช่วยหยอดวัตถุดิบลงรู ส่วนคนที่โม่ก็โม่ไปสถานเดียว
ที่ว่ารู้สึกเหนื่อยก็เพราะว่า สำหรับเด็กแล้วเครื่องโม่เป็นอะไรที่หนักมาก ซึ่งไม่ต่างกับการผลักก้อนหินหนักๆ ไปข้างหน้า หมุนได้ไม่กี่ทีมือไม้เกร็งไปหมด แต่เข้าใจว่าที่ผู้ใหญ่ให้เด็กหมุนนั้นคงต้องการสอนให้เด็กคุ้นชินแต่เนิ่นๆ พอโตเป็นผู้ใหญ่จะได้ทำเป็นและไม่เหนื่อย
นอกจากจะสาธยายเพื่อให้คนรุ่นใหม่ได้รู้จักแล้ว อีกด้านหนึ่งก็เพื่อต้องการให้รู้ว่า การโม่แป้งนั้นถือเป็นงานที่ต้องใช้แรงและเวลามาก ยิ่งทำมาก แรงที่ใช้ก็ยิ่งมาก เช่น ถ้าจะทำเต้าหู้แล้ว วัตถุดิบที่ใช้ก็คือถั่วเหลือง (ที่แช่อยู่ในน้ำ) เวลาทำก็ต้องทำมากเพราะเอาไปขาย และคงไม่มีบ้านไหนทำเต้าหู้ไว้กินเองให้เปลืองแรง สู้ซื้อกินไม่ได้ ทั้งถูกกว่าและสะดวกกว่า เป็นต้น
การที่การโม่แป้งต้องใช้แรงมากนี้ หากไม่ใช่เพราะเป็นอาชีพหรือเนื่องในโอกาสพิเศษแล้ว คงไม่มีใครทำในเวลาปกติเป็นแน่ และเพราะเป็นงานที่ต้องใช้แรงมาก ถ้าจ้างคนอื่นมาโม่แทนได้ก็จะจ้าง
เพราะฉะนั้น สำนวนที่ว่า “มีเงินใช้ผีโม่แป้ง” จึงเกิดขึ้น แต่สำนวนนี้ก็มีที่มาเหมือนกัน
ในที่นี้ขอยกเอาคำบอกเล่าที่ปรากฏในเว็บไซต์ของราชบัณฑิตมาถ่ายทอดต่ออีกโสดหนึ่ง ที่เล่าว่า มีผีผอมอดอยากตนหนึ่งได้รับคำแนะนำจากผีที่ตายไปก่อนว่า ถ้าเที่ยวหลอกหลอนมนุษย์ ก็จะได้ของเซ่นไหว้ดี ๆ
ผีผอมตนนั้นจึงรีบทำตาม แต่เป็นเพราะอารามผลีผลามจึงเข้าไปในบ้านของชายยากจน เมื่อเข้าไป เห็นในครัวมีแต่โม่หินตั้งอยู่ มีแป้งที่โม่ค้างอยู่ จึงจับโม่หินนั้นโม่แป้งไปเรื่อยๆ เพื่อให้เจ้าของบ้านกลัวเสียง ฝ่ายเจ้าของบ้านกลับคิดว่าสวรรค์เห็นใจตนที่ยากจนเข็ญใจ จึงส่งผีมาโม่แป้งให้ เรื่องนี้ภายหลังได้เล่ากันต่อๆ มา จนกระทั่งผิดเพี้ยนเกิดเป็นสำนวนในภายหลังว่า มีเงินใช้ผีโม่แป้ง
เรื่องเล่าจบลงเพียงเท่านั้น เราจึงไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจ่ายเงินให้ผีตนนั้นหรือไม่ แต่ดูแล้วน่าจะจ่ายมากกว่าไม่จ่าย ไม่เช่นนั้นสำนวนที่ว่าคงไม่เกิดขึ้น เพียงแต่อาจจ่ายในรูปของอาหาร คล้ายเป็นเครื่องเซ่นอะไรทำนองนั้น
คำว่า มีเงินใช้ผีโม่แป้ง นี้มาจากคำจีนคำว่า โหย่วเฉียนเหนิงสื่อกุ่ยทุยม่อ (有钱能使鬼推磨) และเรื่องเล่าข้างต้นก็เป็นเรื่องเล่าจากจีน ดังนั้น คำคำนี้จึงใช้กันเป็นปกติในจีน แล้วไทยเราก็รับเอาคำนี้มาใช้บ้าง เพราะไทยเรามีชาวจีนเข้ามาอาศัยอยู่มาก จึงง่ายที่จะรับเอาอะไรจากจีนมาใช้ไปด้วย
แต่สังเกตไหมว่า การใช้ของไทยเราไม่ค่อยใช้ในเชิงส่วนตัวกับใครมากนัก เวลาจะใช้ให้ใครทำอะไรให้หากไม่ไหว้วานก็จะว่าจ้างกันตรงๆ แต่กับนักการเมืองแล้วสำนวนนี้จะถูกนำมาใช้กันมาก และใช้มานานหลายสิบปีแล้ว โดยเฉพาะในช่วงสิบกว่าปีมานี้สำนวนนี้จะถูกใช้กันมากเป็นพิเศษ เพราะมีการใช้เงินซื้อนักการเมืองกันอย่างแพร่หลาย
แน่นอนว่า พรรคที่ถูกวิจารณ์ในเรื่องนี้คือพรรคการเมืองขนาดใหญ่พรรคหนึ่ง ที่เจ้าของพรรคเป็นมหาเศรษฐี กล่าวกันว่า นอกจากนักการเมืองเหล่านี้จะได้เงินเดือนจากตำแหน่งที่ตนดำรงอยู่แล้ว ก็ยังได้จากเจ้าของพรรคต่างหากอีกด้วย ยกเว้นแต่ในช่วงที่ไม่มีสภาผู้แทนราษฎรเท่านั้น
นอกจากนี้ หากเจ้าของพรรคต้องการให้กฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งผ่านสภาด้วยแล้ว ก็จะจ่ายให้อีกเป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้นักการเมืองเหล่านี้ยกมือให้กฎหมายผ่านสภาไปได้ จนเรียกได้ว่า เจ้าของพรรคต้องการอะไรก็สามารถใช้เงินซื้อนักการเมืองเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย
จนกลายเป็นที่มาของการนำสำนวน “มีเงินใช้ผีโม่แป้ง” มาใช้กับนักการเมืองเหล่านี้
การใช้ดังกล่าวจึงมีความเหมาะสมยิ่ง เพราะนอกจากเจ้าของพรรคจะรู้ดีว่านักการเมืองเหล่านี้สามารถใช้เงินซื้อได้แล้ว ตัวนักการเมืองก็แสดงให้เห็นด้วยว่าตนเองก็ต้องการเงิน จนถึงขนาดที่เจ้าของพรรคเอาลูกตัวเองมากุมพรรค นักการเมืองเหล่านี้ก็ยอมจนไร้ศักดิ์ศรี
จึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า หากเจ้าของพรรคนี้เกิดตายไปในวันหนึ่ง พรรคนี้ก็คงแตกเป็นแน่แท้ และผีพวกนี้ก็คงเร่ร่อนไปหานายใหม่ที่มีเงินจ้างให้ “โม่แป้ง” ต่อไป