xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เมื่อจีนจะทำโควิดให้เท่ากับศูนย์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ศูนย์นิทรรศการนานาชาติแห่งใหม่ ในเขตผู่ตง นครเซี่ยงไฮ้ ถูกเปลี่ยนเป็นศูนย์กักตัวผู้ป่วยโควิดชั่วคราว ถือเป็นศูนย์กักตัวผู้ป่วยโควิดใหญ่สุดของเซี่ยงไฮ้ (แฟ้มภาพซินหัว)
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

ตั้งแต่อดีตนานมาแล้วที่วันดีคืนดีจีนมักลุกขึ้นมาทำอะไรที่ชาวโลกคาดไม่ถึง เรื่องที่คาดไม่ถึงนี้แบ่งได้หลายประเภท เช่น ประเภทเล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ ประเภทอะไรก็ได้ขอให้เป็นที่สุดในโลกเป็นพอ หรือประเภทเรื่องกินเรื่องใหญ่ ตำรับอาหารจีนจึงพิสดารพันลึก ฯลฯ

และเรื่องโควิด-19 ก็เป็นเรื่องล่าสุด ทั้งที่เวลาผ่านมาสองปีและกำลังย่างเข้าสู่ปีที่สามในปีนี้ จีนก็ประกาศว่าจะจัดการโควิดในประเทศของตนให้เท่ากับศูนย์ อันสวนทางกับชาวโลกซึ่งกำลังทำให้โควิดเป็นโรคประจำถิ่น และจะอยู่ร่วมกับโรคนี้ต่อไปเหมือนกับที่อยู่กับไข้หวัดในทุกวันนี้


การที่จีนทำอะไรที่คาดไม่ถึงนี้หากเป็นอดีตแล้วก็พอเข้าใจได้ เพราะเรื่องที่จีนทำในอดีตนั้นไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้หากตั้งใจทำจริงๆ อย่างเช่นกำแพงเมืองจีนหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกนั้น หากใครได้ไปเห็นแล้วก็ต้องยอมใจจีนจริงๆ ว่ามีความวิริยะอุตสาหะเอามากๆ เพียงแค่นึกภาพว่าจะต้องสกัดหินให้เป็นอิฐขนาดใหญ่เพื่อใช้ก่อกำแพงก็เหนื่อยแล้ว เพราะไม่ใช่แค่ก้อนสองก้อน หากแต่นับเป็นล้านก้อน (?)

เท่านั้นยังไม่พอ เราต้องนึกถึงภาพที่แรงงานจีนจะต้องขนแบกอิฐเหล่านั้นขึ้นภูเขาที่สูงชันไม่รู้กี่ร้อยกี่พันลูก ว่าแต่ละคนจากที่มีอยู่นับแสนคนนั้นจะต้องแบกหนักแค่ไหน อย่างตอนขาขึ้นนั้นคงขาสั่นคอสั่นเอาการ ทั้งนี้ยังไม่นับอากาศที่หนาวเหน็บกับลมที่พัดแรงบนภูเขาที่ยิ่งสูงก็ยิ่งหนาว จนทำเอาใบหูเย็นยะเยียบราวกับจะแตกเป็นเสี่ยงให้ได้ และก็ไม่น่าแปลกใจที่บันทึกจะระบุว่า แรงงานที่ถูกเกณฑ์ไปสร้างกำแพงยักษ์นี้จะตายกันเป็นเบือ

ขนาดผมซึ่งเป็นคนรุ่นปัจจุบันที่ได้ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนตอนหนุ่มๆ นั้น ลำพังแค่เดินขึ้นแบบสบายๆ (เพราะคนโบราณสร้างไว้ดีแล้วด้วยความยากลำบากและแลกด้วยชีวิต) ยังหน้ามืดแทบลมจับตาย และนั่นเองที่ทำให้ผมคิดถึงคนที่สร้างว่าจะทุกข์ทรมานแค่ไหน

แต่คราวนี้เป็นเรื่องโควิดซึ่งเป็นโรคร้าย คนละเรื่องกับกำแพงเมืองจีน ถึงแม้ตอนนี้โรคจะไม่ก่อผลรุนแรงเหมือนเมื่อสองปีก่อนแล้วก็ตาม แต่ด้วยความที่ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นโรคระบาด จีนก็ยังประกาศจะทำให้การระบาดของโรคเท่ากับศูนย์ ตั้งแต่ที่จีนประกาศจนถึงขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้ ผมก็ยังไม่เข้าใจว่า จีนเอาเกณฑ์อะไรมาตั้งเป้าว่าจะทำให้โรคหายไปจากจีนจนเท่ากับศูนย์?

เรื่องนี้เองที่ทำให้ผมย้อนกลับไปถึงอดีตดังที่กล่าวไปข้างต้น และเมื่อคิดดูให้ดีๆ แล้วก็พบว่า เรื่องไม่คาดคิดที่จีนทำนั้นส่วนใหญ่แล้วมักมาจากความคิดของตัวผู้นำหรือจักรพรรดิ โดยเมื่อคิดที่จะทำแล้วจักรพรรดิก็จะมอบหมายให้ขุนนางคนใดคนหนึ่งไปทำ ทำได้ไม่ได้ไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้าไม่ได้โอกาสตายหรือเสียอนาคตก็มีสูง ส่วนราษฎรที่เป็นคนเล็กคนน้อยนั้นก็มีผลงานที่คาดไม่ถึงเช่นกัน แต่โดยมากแล้วมักเป็นสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมเสียมากกว่า

เรื่องโควิดเท่ากับศูนย์ก็เหมือนกันที่เป็นความคิดของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน แม้ข่าวจะไม่ได้ระบุชื่อบุคคลตรงๆ แต่ก็เป็นที่รู้กันว่าเรื่องแบบนี้คงไม่ได้ลอยลงมาจากฟ้าโดยไม่มีคนสั่งแน่ๆ แต่ที่ว่าเป็นความคิดของผู้นำซึ่งก็คือ สีจิ้นผิง นั้น ผมไม่แน่ใจนักว่าท่านสั่งการแต่เพียงผู้เดียว หรือท่านเป็นผู้เสนอแล้วเป็นมติของคณะกรรมการกลางพรรคฯ

พูดถึงเรื่องนี้แล้วคงต้องย้อนกลับไปเมื่อแรกที่เกิดโรคนี้ที่เมืองอู่ฮั่นในปี 2020 ที่แพทย์คนหนึ่งค้นพบว่าจะมีการระบาดของโรคนี้พร้อมกับแจ้งเตือนให้เตรียมพร้อม แต่แพทย์คนนี้กลับถูกตักเตือนจากผู้นำพรรคในท้องถิ่นจนเรื่องเงียบไป ต่อมาเมื่อปรากฏว่าโรคนี้ได้ระบาดจริงทุกอย่างก็สายไป แพทย์คนนั้นเสียชีวิตจากโควิด และได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นการทดแทนจากที่เคยถูกตักเตือน ถึงแม้จะไม่สามารถเรียกคืนชีวิตให้กลับมาได้ก็ตามที

หลังจากนั้นมาตรการต่างๆ ในการต่อต้านโควิดก็ทยอยกันออกมา ซึ่งถือเป็นการรักษาหน้าหรือแก้หน้าของพรรคฯ ที่เสียไปแล้วจากที่ไปลงโทษแพทย์คนนั้น ยิ่งชาวจีนที่มีวัฒนธรรมรักหน้าตัวเองด้วยแล้ว เรื่องนี้จึงถือเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนมาตรการหรือนโยบายต่างๆ เกี่ยวกับโควิดนั้น จะเห็นได้ถึงความเข้มข้นที่มากกว่าที่หลายประเทศทำกัน

จนในที่สุดจีนก็เลือกที่จะทำให้โควิดเท่ากับศูนย์

ด้วยเหตุนั้น เราจึงเห็นจีนทำอะไรต่างๆ นานาที่เกี่ยวกับโควิดอย่างเด็ดขาด ใครฝ่าฝืนจะถูกลงโทษด้วยบทลงโทษที่หนักกว่าบทลงโทษของชาติอื่น ผู้นำท้องถิ่นคนไหนที่แก้ปัญหาได้ไม่ดีหรือไม่สำเร็จก็จะถูกลงโทษด้วยการปลดออก หรือถูกโยกย้ายให้ไปอยู่ในตำแหน่งที่แย่ลงกว่าเดิม ส่วนในระดับชาตินั้น มาตรการที่เข้มข้นสูงสุดก็คือ การล็อกดาวน์

ขณะที่ผมกำลังเขียนบทความนี้อยู่นั้น (5 เมษายน 2022) เมืองที่กำลังถูกล็อกดาวน์คือเซี่ยงไฮ้ แต่เนื่องจากเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญหลายด้าน ทางการจีนจึงแบ่งการล็อกดาวน์โดยเริ่มที่ฝั่งเมืองผู่ตง เมื่อครบกำหนดแล้วก็หันไปล็อกดาวน์ที่ฝั่งซีตงต่อไป และในขณะที่ล็อกดาวน์อยู่นั้น จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดก็ยังคงเพิ่มขึ้น ส่วนชาวเมืองก็เริ่มรู้สึกถูกกดดันจากความขาดแคลนอาหารและข้าวของเครื่องใช้ ถึงแม้ทางการท้องถิ่นจะให้ความช่วยเหลืออยู่ด้วย แต่ก็คงสู้ที่ตนเลือกเองไม่ได้

ไม่เพียงเท่านั้น มาตรการที่เด็ดขาดยังแผ่ไปถึงชาวจีนที่อยู่ต่างประเทศอีกด้วย โดยจีนใช้มาตรการสกัดกั้นไม่ให้พลเมืองของตนกลับเข้าประเทศไปได้ง่ายๆ โดยจีนได้สร้างเงื่อนไขในการกลับเข้าประเทศให้ยากเข้าไว้ แบบที่ใครอยากกลับก็คงไม่มีปัญญากลับ หรือไม่ก็รู้สึกว่าไม่อยากกลับ

เช่น ขึ้นค่าเครื่องบินจากเดิมสิบเท่า อย่างเช่นค่าเครื่องบินขาไปขาเดียวจากไทยไปจีนที่แต่เดิมจะตกอยู่ประมาณหนึ่งหมื่นบาทโดยเฉลี่ยนั้น ก็ขึ้นเป็นหนึ่งแสนบาท และเมื่อกลับไปถึงก็ต้องเข้าสู่มาตรการกักกันตัว (state quarantine) อีก 28 วัน หรือสองเท่าของการกักตัวตามเกณฑ์ที่ใช้กันทั่วโลก และโดยเจ้าตัวเป็นคนออกค่าใช้จ่ายทั้งหมด

กัลยาณมิตรรุ่นลูกของผมคนหนึ่งซึ่งเป็นเขยจีนเล่าว่า พ่อตาและแม่ยายชาวจีนของเขาได้มาเยี่ยมลูกสาวของตน (ซึ่งก็คือภรรยาของเขา) และถือโอกาสพักผ่อนในเมืองไทยไปด้วยในตัวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว แต่จนถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่สามารถกลับไปเมืองจีนได้ เพราะมาคิดสะระตะแล้วก็พบว่า ขืนกลับไปก็เหมือนได้ไม่คุ้มเสีย

ลองคิดดูง่ายๆ ว่า ค่าเครื่องบินของสองคนพ่อตาแม่ยายก็ปาเข้าไปสองแสนบาท พอไปถึงก็ต้องกักตัวอีก 28 วันซึ่งต้องออกค่าใช้จ่ายเองทั้งค่าห้อง ค่าอาหาร และค่าข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ก็ร่วมแสนบาท รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วก็ไม่ต่ำกว่าสามแสนบาท สู้อยู่เมืองไทยซึ่งมีค่าครองชีพที่ถูกกว่าต่อไปดีกว่า ที่อย่างไรเสียคงมีเงินเหลือกลับไปเมืองจีนไม่ต่ำกว่าแสนแน่ๆ

หลังจากฟังกัลยาณมิตรเล่าจบแล้ว ผมก็มานั่งคิดว่า พ่อตาแม่ยายของเขาคิดถูก และตัวเขาเองก็เต็มใจที่จะดูแล ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เหลือบ่ากว่าแรงอะไร ยิ่งทั้งสองท่านมีสุขภาพที่แข็งแรงด้วยแล้วก็ยิ่งไม่เป็นภาระ แต่พอคิดไปสักพักผมก็ฉุกคิดได้ว่า มาตรการทำให้โควิดเท่ากับศูนย์ของจีนนี้ หากว่ากันเฉพาะการตั้งเงื่อนไขให้ชาวจีนที่อยู่ต่างแดนกลับจีนได้ยากแล้ว ในอีกด้านหนึ่งก็เท่ากับว่า จีนได้ผลักภาระการดูแลพลเมืองของตนให้กับประเทศปลายทางไปโดยปริยายด้วย โดยเฉพาะหากพลเมืองคนนั้นเกิดติดโควิดขึ้นมา

ทำกันถึงขนาดนี้ผมคงได้แต่รอดูว่า แล้วจีนจะทำให้โควิดเท่ากับศูนย์ได้สำเร็จหรือไม่?




กำลังโหลดความคิดเห็น