ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “ถ้ามีโอกาสก็ทำต่อไป ไม่มีโอกาสก็กลับบ้านนอน”
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กล่าวไว้เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565
ประโยคดังกล่าวถือว่าน่าสนใจยิ่งสำหรับ “บิ๊กตู่” ผู้เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยคนปัจจุบัน เพราะสามารถ “ถอดรหัส” และ “ตีความ” ในทางการเมืองได้อย่างน่าสนใจในหลากหลายแง่มุม มุมหนึ่งก็มองได้ว่า “บิ๊กตู่” ยืนยันที่จะเล่นการเมืองต่อไปและกำลังขอ “โอกาส” จากประชาชนไทย ขณะที่อีกมุมหนึ่งก็มองได้เช่นกันว่า เป็น “การออกตัว” ตั้งแต่ไก่โห่ เสมือนหนึ่งไม่มั่นใจในชะตากรรมทางการเมืองของตัวเอง
การที่ “บิ๊กตู่” กล่าวเช่นนั้น ความจริงก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเป็นที่รับรู้กันว่าคะแนนนิยมของเขาไม่เหมือนก่อนและนับวันจะจางหายไปเรื่อยๆ โดยหนึ่งในดัชนีชี้วัดก็คือ “นิด้าโพลล์” ที่เพิ่งเปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “การสำรวจคะแนนนิยมทางการเมือง รายไตรมาส ครั้งที่ 1/2565” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 10-15 มีนาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมานี้นี่เอง
โดยอันดับ 1 ร้อยละ 27.62 ระบุว่า ยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้ อันดับ 2 ร้อยละ 13.42 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) อันดับ 3 ร้อยละ 12.67 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อันดับ 4 ร้อยละ 12.53 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อันดับ 5 ร้อยละ 8.22 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์
แต่ที่น่าสนใจไม่ก็คือ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่หลุดไปอยู่ในอันดับที่ 10 ตามหลัง “ลูกหม้อเก่า” อย่าง “นายกรณ์ จาติกวณิช” หัวหน้าพรรคกล้าอีกต่างหาก
กล่าวสำหรับ “บิ๊กตู่” เองนั้น แม้ดูเหมือนจะมั่นใจในตัวเองว่ายังคงมี “ผู้สนับสนุน” อยู่ไม่น้อย ทว่า การประกาศ “ถ้าไม่มีโอกาสก็กลับบ้านนอน” น่าจะซ่อนนัยอยู่ไม่น้อย เพราะเชื่อว่า คงไม่ได้ยึดโยงกับผลโพลที่ออกมามากนัก หากแต่อาจจะเป็นการส่งสัญญาณถึง “ใครบางคน” ว่า ถ้ายังเป็นอยู่อย่างนี้ ก็อาจถึงเวลาต้องม้วนเสื่อกลับบ้านไปพร้อมๆ กัน ส่วนคนๆ นั้นคงหนีไม่พ้น “พี่ป้อม” เป็นแน่แท้
ทั้งนี้ “พี่ป้อม” ของ “น้องตู่” ก็สวนทันควันถึงผลสำรวจของนิด้าโพลล์ว่า “ไม่ตกๆ ยังไปได้ ไม่คิดว่าคะแนนตกลง” แม้ ณ เวลานี้ ฟากรัฐบาลจะมีภาพลักษณ์ของความขัดแย้งชนิดที่ยากจะประสาน ระหว่างพรรคการเมือง 3 พรรคคือ พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติและพรรคเศรษฐกิจไทย
อย่างไรก็ดี นัยที่ไม่อาจมองข้ามได้ก็คือ ก่อนที่จะมีการเปิดตัว “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ในวันที่ 30 มีนาคม “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ก็ยังคงยืนยันถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “น้องตู่” โดยให้สัมภาษณ์ชัดถ้อยชัดคำว่า “นายกฯ จะไปไหนล่ะ ก็อยู่กับผมนี่แหละ” พร้อมอธิบายด้วยว่า “พรรคพลังประชารัฐมีสาขาเยอะแยะไปหมด” หรือแปลไทยเป็นไทยว่า แม้จะมีพรรคใหม่เกิดขึ้น แต่ก็ยังคงเป็นแนวร่วมเดียวกันในการที่จะสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า
การประกาศดังกล่าวเป็นที่น่าสงสัยว่า มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรหรือไม่ เพราะว่ากันตามจริง ถ้าไม่มี “บิ๊กตู่” สักคน “บิ๊กป้อม” จะทำงานการเมืองต่อไปได้อย่างไร
หรือว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีอะไรบางอย่างที่ทำให้ “บิ๊กป้อม” ต้องประกาศเยี่ยงนั้น ซึ่งถ้าวิเคราะห์กันตามตรงก็น่าจะเชื่อมโยงกับ 2 เงื่อนปมสำคัญ
เงื่อนปมแรกคือการบุกไปตรวจค้นเครือข่ายขายหวย “มังกรฟ้า-กองสลากพลัส” ที่สังคมมองว่าเป็นเพียงแค่ “เกม” สร้างแรงกดดันไปที่ “มือขวาลุงป้อม” ที่รู้ๆ กันอยู่ว่า ทำมาหากินกับเรื่องนี้ รวมถึง “เสือแดง” ที่มีข่าวว่า กำลังจะถูกตรวจสอบในเร็ววัน
เงื่อนปมที่สองคือมีกระแสข่าวหนาหูว่า “สปอนเซอร์” หรือ “นายทุน” ที่เคยสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐจะไม่ให้การสนับสนุนอีกต่อไปด้วยมองไม่เห็นว่า พรรคนี้จะไปต่อได้อย่างไรถ้าไม่มี “บิ๊กตู่” ดังนั้น “บิ๊กป้อม” จึงไม่มีทางเลือกและจำต้องประกาศว่า “นายกฯ ตู่” อยู่กับตัวเอง ไม่เช่นนั้น นายทุนอาจย้ายสลับขั้วไปอยู่ฝ่ายตรงข้ามกันเลยทีเดียว
แต่ในระหว่างที่สถานการณ์การเมืองฟากรัฐบาลยังลูกผีลูกคนว่าจะเอาอย่างไรกับ “พลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ เศรษฐกิจไทย” เหมือนว่า ความพยายามในการสร้าง “กลไกทางการเมือง” เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและน่าจะเป็นการสกัดกั้น “ปรากฏการณ์แลนด์สไลด์” ได้พอสมควรก็คือ “กฎกติกาในการเลือกตั้ง” ที่มีบทสรุปจากคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ฉบับที่…) พ.ศ… จำนวน 49 คน เมื่อวันที่ 30 มีนาคมที่ผ่านมาว่าจะใช้สูตรไหน
ข้อถกเถียงเรื่องว่าจะใช้ “บัตรใบเดียว” หรือ “บัตรสองใบ” ไม่ได้เป็นประเด็น เพราะมีบทสรุปแล้วว่าจะใช้ “บัตรสองใบ”
แต่ที่เถียงกันหนักคือจะใช้ “บัตรสองใบ คนละเบอร์” หรือ “บัตรสองใบ เบอร์เดียวกัน” ซึ่งความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย โดย “ฝ่ายค้าน” เห็นชอบร่วมกันว่าจะใช้ “บัตรสองใบ เบอร์เดียวกัน” ขณะที่ “ฝ่ายรัฐบาล” เห็นว่า ควรใช้ “บัตรสองใบ คนละเบอร์”
และเมื่อวันที่ 30 มีนาคม กมธ.ชุดนี้ก็มีมติเห็นชอบให้ใช้บัตรเลือกตั้งคนละหมายเลข 32 เสียง เห็นด้วยให้ใช้หมายเลขเดียวกัน 14 เสียง และงดออกเสียง 1 เสียง
โดยเสียงกมธ.ฝ่ายรัฐบาลแพ็กกันอย่างเดียวแน่น 32 เสียง จากส.ว. 14 เสียง ครม. 7 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 5 เสียง พรรคภูมิใจไทย 3 เสียง พรรคประชาธิปัตย์ 1 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 1 เสียง และพรรคเศรษฐกิจไทย 1 เสียง
ส่วนกมธ.ฝ่ายค้าน 14 เสียง ประกอบด้วยพรรคเพื่อไทย 8 เสียง พรรคก้าวไกล 3 เสียง พรรคเสรีรวมไทย 1 เสียง รวมถึงเสียงกมธ.จากพรรคประชาธิปัตย์ที่แบ่งมาให้ 2 เสียง
ถ้าดูมติที่ออกมาจะเห็น “ความผิดปกติ” เกิดขึ้นกับ “พรรคประชาธิปัตย์” เพราะเปลี่ยนใจย้ายข้างไปอยู่ “ฝ่ายบัตร 2 ใบ คนละเบอร์” 1 เสียง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ นายสาธิต ปิตุเตชะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ชุดนี้ ออกมาแถลงมติที่ประชุมของพรรคชัดเจนว่า “ที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) มีมติให้แก้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เป็นหมายเลขเดียวกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อต้องการให้พรรคการเมืองมีความเข้มแข็ง”
แต่ผลที่ออกมาไม่เป็นไปตามมติของพรรค ซึ่งก็เดาได้ว่า เป็นงานถนัดของพรรคนี้ที่ชอบ “แทงกั๊ก” และไม่ต้องการแตกหักเนื่องจากตนเองเป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพล่งออกมาทันทีว่า “น่าจะกลัวแลนด์สไลด์จากพรรคเพื่อไทย”
กติกา “บัตรสองใบ คนละเบอร์” จะสามารถหยุดแลนด์สไลด์ได้หรือไม่ ไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆ คือน่าจะมีประโยชน์กับ “ฟากรัฐบาล” มากกว่า “ฟากฝ่ายค้าน” แม้ว่าจะยังไม่รู้ว่าจะมากแค่ไหนก็ตามทีดังที่นายสาธิตแห่งพรรคประชาธิปัตย์อธิบายเอาไว้เมื่อตอนที่ ปชป.มีมติให้ใช้ “บัตรสองใบ เบอร์เดียวกัน” ว่า “พรรค ปชป.เคยมีประสบการณ์ว่าถ้าแต่ละเขตเลือกตั้งผู้สมัคร ส.ส. กับหมายเลขพรรคคนละเบอร์กัน เวลาลงพื้นที่จะสร้างความสับสนให้ผู้เลือกและผู้รณรงค์หาเสียง เราพบว่าบางกรณี ส.ส.หาเสียงให้แต่ตัวเอง แต่ไม่ยอมหาเสียงให้พรรค”
ดังนั้น ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่า แนวร่วมฝ่ายค้านจะระดมสมองแก้เกมนี้กันต่อไปอย่างไร แต่ในชั้นนี้ถือว่าเป็นชัยชนะใน “ยกแรก” ของฝ่ายรัฐบาลเท่านั้น เพราะยังไม่จบ ต้องนำร่างเข้าไปพิจารณาในที่ประชุมรัฐสภาอีกครั้ง
สำหรับประเด็นสำคัญที่จะต้องจับตาไม่แพ้กันคือเรื่อง “สูตรคำนวณ ส.ส.” ว่าจะลงเอยในลักษณะไหน เพราะยังมีความเห็นยังต่างกัน ระหว่างหารด้วย 500 คนหรือ 100 คน ซึ่งสุดท้ายกกต.จะต้องเป็นผู้พิจารณา และจะเห็นว่าอย่างไร ขัดหรือไม่ขัดกับร่างของกกต.
อย่างไรก็ดี ดูทรงแล้ว ไม่มีใครกล้ารับประกันได้ว่า จะสามารถช่วยพยุง “บิ๊กตู่” ในช่วงขาลงได้มากน้อยขนาดไหนตราบใดที่ “พี่น้อง 3 ป.” ยังไม่สามารถแสดงให้เห็นว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน.