xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ช่อง 5 -ท็อปนิวส์” แค่ละครตบจูบ “ทีมต้อย” ได้ไปต่อ - “บิ๊กตี๋” สังเวยอารมณ์ “ลุง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  กลายเป็นข่าวใหญ่โต เมื่อ “ทีมท็อปนิวส์” ประกาศ “แยกทาง” กับ “ช่อง 5” สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) หลังจากเซ็นสัญญาเข้ามาผลิตรายการข่าวเมื่อช่วงต้นปี 2565 ที่ผ่านมา ก่อนประกาศถอนตัวนับตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.65 เป็นต้นไป สิริรวมเวลายังไม่ถึง 3 เดือนดี 

ทว่า ยังไม่ทันไรทุกอย่างก็คลี่คลายและกลายเป็นว่า “ทีมท็อปนิวส์” จะกลับมาผลิตรายการข่าวที่ช่อง 5 ต่อ จนผู้คนสงสัยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่  “ละครตบจูบ”  ที่มีผลมาจากความไม่พอใจของ  “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จน  “ผอ.ตี๋” พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ต้องตัดสินใจลาออกจากเก้าอี้ เพราะไม่เช่นนั้น เรื่องอาจจะลามไปถึงเพื่อนร่วมรุ่นคือ  “บิ๊กบี้-พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้”  ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)

 อย่างไรก็ตาม จงอย่าแปลกใจที่เหตุการณ์ลงเอยแบบนี้ เพราะก็รู้กันอยู่เต็มอีกว่า “ทีมท็อปนิวส์” กับ “ลุงตู่” นั้น ไม่ต่างอะไรจากคอหอยกับลูกกระเดือกที่ทำงานร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่อาจมีไม่เข้าใจกันบ้าง ที่สำคัญคือ การถอนทีมออกไปจริงๆ ก็ไม่เป็นดีกับทั้งสองฝ่ายด้วยต่างพึ่งพาอาศัยกันมาโดยตลอด ดังนั้น โปรดอย่าถามว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น 
ทั้งนี้ “ต้นเหตุ” แห่งความขัดแย้งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 มี.ค.65 ในระหว่างรายการข่าว “เที่ยง ททบ.5” ที่ดำเนินรายการโดย “เจ๊ปอง” อัญชะลี ไพรีรัก และ “พิม” กิตติมา ธารารัตนกุล  ได้มีการนำเสนอข่าวสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ปรากฏว่าถูก “ตัดสัญญาณ” เข้าโฆษณา โปรโมตรายการของทางสถานีแบบกะทันหัน ประมาณ 8 นาที ก่อนจะตัดเข้ามายังรายการปกติเวลา 12.59 น.

ระหว่างนั้น “ทีมท็อปนิวส์” ที่ดำเนินการโดย บริษัท กาแลคซี่ มัลติมีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ GMC ซึ่งจัดรายการสดที่สตูดิโอท็อปนิวส์ ภายในโครงการธนาซิตี้ ถ.บางนา-ตราด กม.14 ต.บางโฉลง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ แล้วส่งสัญญาณผ่านอินเทอร์เน็ตระบบ Live U ไปยัง ททบ.5 สนามเป้า คิดว่า  “สัญญาณขัดข้อง” จึงพยายามเกี่ยวสัญญาณใหม่ ก่อนจะรู้ว่าถูกตัดสัญญาณกลางอากาศ

เมื่อรู้เช่นนั้นแล้ว บริษัท กาแลคซี่ฯ จึงแจ้งไปยัง “ผอ.ตี๋” พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์  กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 ว่า ขอถอนตัวจากการร่วมผลิตข่าวทั้งหมด โดยมีผลในวันที่ 31 มี.ค.65 เป็นต้นไป จากเดิมที่สัญญาร่วมผลิตรายการข่าวกับ ททบ.5 เป็นเวลา 1 ปี

เป็นเหตุให้  “บิ๊กบี้” พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)ในฐานะประธานคณะกรรมการบริหาร (บอร์ด) สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ได้มีคำสั่งให้ “พล.อ.รังษี” พ้นจากหน้าที่กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5 โดยให้ “บิ๊กเหน่ง” พล.ท.วิสันติ สระศรีดา เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก ทำหน้าที่แทน ตั้งแต่วันที่ 7 เม.ย.เป็นต้นไป

อย่างไรก็ดี “พล.อ.รังษี” ก็ได้เปิดใจว่า ไม่ใช่การถูกปลด เพราะเป็นผู้ทำหนังสือขออนุมัติพ้นตำแหน่ง ผอ.ททบ.5 กับ ผบ.ทบ.เอง ด้วยเหตุผลและความจำเป็นส่วนตัว

ส่วนมูลเหตุการพ้นจากตำแหน่งเกี่ยวกับการนำเสนอข่าวสถานการณ์สู้รบรัสเซีย-ยูเครน หรือไม่ หรือกดดันจากผู้บังคับบัญชาหรือไม่นั้น “พล.อ.รังษี” แบ่งรับแบ่งสู้ไว้ว่า “เป็นเรื่องของสื่อที่ต้องไปหาข้อมูลเอาเอง ผมไม่อยากพูดอะไร เพราะเป็นคู่กรณี การพูดถึงบุคคลที่สาม เดี๋ยวทัวร์จะลง พูดไป ก็ไม่ดีกับใครทั้งสิ้น”

“ผมขอย้ำว่า อย่าใช้คำว่าปลด เพราะไม่แฟร์กับเพื่อนผม (พล.อ.ณรงค์พันธ์)” พล.อ.รังษี กล่าวย้ำไว้

 ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันว่า พล.อ.รังษี หรือ “บิ๊กตี๋” นั้นเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหารรุ่น 22 (ตท.22) รุ่นเดียวกับ “บิ๊กบี้-พล.อ.ณรงค์พันธ์” อีกทั้งมีความนิทสนมกันถึงขั้นเป็น “เพื่อนรัก” กันเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ “เพื่อนตี๋” ก็เพิ่งให้สัมภาษณ์ย้ำความสัมพันธ์ว่า “ผม และ ผบ.ทบ.คบกันมาตั้งแต่ปี 2522 เป็นนักเรียนเตรียมทหารด้วยกัน อยู่กันมา 43 ปี รู้ว่าท่านไม่ชอบให้ทำอะไรที่ขัดกับความจริง” 

 พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.)
ขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวหนาหูว่า งานนี้อาจมีรายการ “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” เพราะมีการอ้างอิงข้อมูลจาก “แหล่งข่าวระดับสูงในกระทรวงกลาโหม” ระบุว่า ก่อนหน้านี้ไม่นาน พล.อ.ณรงค์พันธ์ ได้ร่วมหารือกับ “นายกฯตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม และ “ทูตดอน” ดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ที่แสดงความไม่สบายใจต่อความเคลื่อนไหวของ พล.อ.รังษี ในระยะหลัง
โดย “ปฐมบท” ของเรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปรากฎภาพ “ผอ.ตี๋” ไปพบ “ทูตรัสเซีย” เผยแพร่ในสังคมออนไลน์ ซึ่งเจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์ชี้แจงว่า ได้รับเชิญจากทางสถานทูตฯในฐานะสื่อมวลชน เพื่อไปแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ในการนำเสนอข้อมูล 2 ทาง

ครั้งนั้น พล.อ.รังษี เปิดเผยด้วยว่า ได้มีการทำ “เอ็มโอยู” ความร่วมมือด้านการรับข่าวกับทางสถานทูตจีน-รัสเซีย-อิหร่าน ในการรับข่าวโดยตรงผ่านทางสถานทูตทั้ง 3 แห่ง จนมีการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า “จีน-รัสเซีย-อิหร่าน” เป็นขั้วอำนาจที่อยู่ตรงข้ามกับสหรัฐอเมริกา หัวขบวนของชาติตะวันตก

เป็นที่มาของวงสนทนาระหว่าง “นายกฯ ตู่-รองนายกฯ ดอน” และ “ผบ.บี้” โดยมีรายงานว่า นายกฯและ รมว.ต่างประเทศ แสดงความกังวล เพราะเกรงจะถูกนำไปขยายผลทางการเมืองทั้งภายในและนอกประเทศ

ทำให้เมื่อวันที่ 23 มี.ค.65 ททบ.5 จึงได้ออกหมายเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าว ความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่าง ททบ.5 กับ รัสเซีย จีน อิหร่าน ในวันที่ 24 มี.ค.65 โดย “ผอ.ตี๋” จะเป็นผู้แถลงข่าวด้วยตัวเอง

แต่หลังออกหมายเชิญไม่นาน ก็ถูก “เบรกหัวทิ่ม” ในวันเดียวกัน สื่อมวลชนได้รับการแจ้งจาก ททบ.5 ว่า ขอยกเลิกการแถลงข่าว เนื่องจาก พล.อ.รังษี ติดภารกิจต้องไปสถานทูตยูเครนประจำประเทศไทย ซึ่ง ททบ.5 ได้นำข่าวมาออกอากาศข่าวในช่วงเที่ยงของวันนั้นด้วย

มีรายงานข่าวจากกองทัพบกด้วยว่า ผบ.ทบ.ไม่สบายใจต่อกรณีเกิดขึ้น โดยได้มีการพูดคุยส่วนตัวกับ “พล.อ.รังษี” และมีคำสั่งให้ ททบ.5 ไม่ให้นำเสนอข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบระหว่างรัสเซียกับยูเครน ซึ่งส่งผลให้บรรยากาศใน ททบ.5 เริ่มอึมครึมนับแต่นั้นมา

 ตรงกับที่ “เจ๊ปอง-อัญชะลี” ออกมาเปิดเผยภายหลังว่า “ยอมรับว่ามีการห้ามทำข่าวการสู้รบรัสเซีย-ยูเครนจริงตั้งแต่เที่ยงวันศุกร์ (25 มี.ค.65) แต่เราก็ทำผิดจริง ซึ่งเพิ่งทำเมื่อวานนี้เอง (28 มี.ค.65) เพราะพอไม่ทำมันก็กระไรอยู่นะ เป็นข่าวใหญ่ ซึ่งเหตุการณ์ก็กำลังเดินหน้าไปสู่การเจรจา เราก็ทำตามหน้าที่ของเรา” 

และแม้ พล.อ.รังษี จะยืนยันว่า การไปแลกเปลี่ยนข่าวสารกับเอกอัครราชทูตรัสเซีย ตลอดจนการทำ “เอ็มโอยู” ความร่วมมือด้านการรับข่าวกับทางสถานทูตจีน-รัสเซีย-อิหร่าน นั้นได้รายงานต่อ พล.อ.ณรงค์พันธ์ ในฐานะประธานบอร์ด ททบ.5 แล้วก็ตาม

แต่รายงานข่าวจากกองทัพบกก็แจ้งว่า ไม่มีการแจ้งรายละเอียดว่าไปคุยอะไรบ้าง

 พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ อดีตกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ททบ.5
ขณะเดียวกัน “คำสั่ง” ที่ให้หยุดการเผยแพร่ข่าวสถานการณ์สู้รบรัสเซีย-ยูเครน ก็กลับถูก “ฉีกทิ้ง” ทันทีตั้งแต่วันทำการแรกในวันจันทร์ช่วงเที่ยง จนถูกการตัดสัญญาณกลางอากาศ

 ผิดธรรมเนียม “กองทัพ” อย่างร้ายแรงที่ “คำสั่งนาย” ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด 

การที่ “เอกชน” ถอนตัวจากการเป็นผู้ร่วมผลิตรายการถือว่าไม่เพียงพอต่อฐานความผิดขัด “คำสั่งนาย” และเป็น “ผอ.ตี๋” ในฐานะผู้รับผิดชอบสูงสุด ที่จำเป็นต้องแสดงสปิริตด้วย

ส่วนจะเป็นการ “ถูกปลด” หรือ “ออกเอง” ตามที่ พล.อ.รังษี กล่าวอ้างนั้นถือว่าไม่ใช่สาระสำคัญ
แม้ว่าทั้ง “นายกฯประยุทธ์” และ “ทูตดอน” โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ จะปฏิเสธว่า ไม่รู้เห็น หรือมีส่วนกดดันให้มีการปลด พล.อ.รังษี ก็ตาม

 “ผมไม่ได้พูดอะไร ก็คงเป็นเรื่องการตรวจสอบคัดกรองกันเอง เขามีคณะกรรมการกันอยู่แล้ว ผมไม่ไปยุ่งหรอก เป็นเรื่องภายในของเขา อย่าลืมว่าผมไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.จะไปสั่งเขาได้ไง เป็นเรื่องของกรรมการ เรื่องอะไรของเขา ก็ต้องพิจารณาของเขาเอง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวไว้เช่นนั้น 

 ซึ่งตามข้อเท็จจริง แม้ “ประยุทธ์” จะไม่ได้เป็น ผบ.ทบ.ตามที่อ้างก็จริง แต่ในฐานะนายกฯ พ่วง รมว.กลาโหม ย่อม “ใหญ่กว่า” ผบ.ทบ.อยู่แล้ว 


เรื่องนี้ตัวละครเอกในท้องเรื่องอย่าง “เจ๊ปอง-อัญชะลี” ก็พูดชัดว่า ทั้งนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ต่างมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยระบุไว้ว่า “การที่นายกฯ กระทรวงการต่างประเทศ หรือ ผบ.ทบ. ไม่สบายใจ แล้วกดทับไปที่ ผอ.ช่อง 5 อันนี้ทุกคนก็ไม่สบายใจ”

รวมไปถึง  “เฮียหนก” กนก รัตน์วงศ์สกุล  พิธีข่าวช่องท็อปนิวส์ ก็ได้โพสต์ข้อความเชิดชู “ผอ.ตี๋” ไว้ว่า “กราบขอบคุณ พล.อ.รังษี กิติญาณทรัพย์ ที่เมตตา และให้โอกาส ท่านเป็นนายทหาร ที่ไฮเปอร์ เป็นนักคิด วิเคราะห์ ที่ประมวลจากเหตุปัจจัยทั้งหมดแล้ว ชี้ชัดได้แม่นยำ ท่านเรียกเราไปคุยตั้งแต่ปีที่แล้ว บอกว่า เราจะเจอโควิดระบาด ระลอก 5 แน่นอน ตั้งแต่ยังไม่มีโอมิครอน ท่านนำหน้า บุกเบิกไร่กัญชา ทันทีที่ทำได้

ท่านติดต่อสถานทูตแห่งใดก็ตาม ไม่ลืมที่จะพ่วงขาย พืชผลการเกษตรของพี่น้องชาวไร่ชาวสวน ในนามของประเทศ มิใช่แค่ตัวสถานี ท่านมีหัวการค้า ตามประสาลูกหลานคนจีน มีองค์ความรู้ ครอบคลุมทุกเรื่อง นอกเหนือจากเรื่องการทหาร คุยเรื่องประวัติศาสตร์ เทคโนโลยี การสื่อสาร หรือของสะสม คุยได้หมด คุยสนุกเข้าใจง่าย ดังที่พวกผมเห็นจากในห้องทำงานของท่านที่ ททบ.5 รู้สึกเสียใจ เสียดาย ที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น”

ชี้ชัดว่า “ทีมท็อปนิวส์” ต่างถือหาง “ผอ.ตี๋” และพยายามสะท้อนว่า ถูกแทรกแซงการทำหน้าที่สื่อโดย “คำสั่งนาย” จนต้องประท้วงโดยการบอกเลิกสัญญากับทาง ททบ.5

และหากตามไปดูข่าวเกี่ยวกับ ททบ.5 ที่ช่องท็อปนิวส์ ก็จะพบว่า พิธีกรข่าวแต่ละคนต่างวิพากษ์วิจารณ์การที่ “ผอ.ตี๋” ถูก “ล้วงลูก” อย่างเผ็ดร้อน

 พล.ท.วิสันติ สระศรีดา เจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก รักษาการ ผอ.ช่อง 5
อย่างไรก็ดี ในฐานะรัฐบาลและกองทัพ ต่างก็รู้ถึงสถานะของประเทศไทย ที่ไม่ต่างจาก “อยู่กลางหว่างเขาควาย” เพราะถูก 2 ขั้วมหาอำนาจโลกกดดันให้ “เลือกข้าง” มาโดยตลอด

เมื่อ “ททบ.5” ในความดูแลของ “ผบ.ทบ.” ถูกลากเข้าไปอยู่ในเกมของมหาอำนาจ ก็ย่อมสุ่มเสี่ยงกระทบมาถึงรัฐบาลและกองทัพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นเหตุให้ “ผอ.ตี๋” ต้องถูกบูชายัญจากปมร้อนนี้

โดยมีการมองว่า การรับตัดไฟเสียแต่ต้นลม โดยการปลด หรือขอออกเอง ของ “ผอ.ตี๋” ก็เพื่อลดแรงเสียดทานที่จะมีไปถึง “ผบ.ทบ.” ในฐานะประธานบอร์ด ททบ.5 ที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่น ตท.22
ไม่ต่างจากการสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ไม่ให้บานปลายไปถึงเก้าอี้ ผบ.ทบ. ที่ระยะหลังมีกระแสข่าวว่า พล.อ.ณรงค์พันธ์ อาจนั่งในเก้าอี้ไม่ถึงเกษียณอายุราชการ

มีการเทียบเคียงกับเมื่อครั้ง “บิ๊กแดง” พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ เป็น ผบ.ทบ. ที่ต้องสั่งปลดเพื่อน ตท.20 อย่าง “บิ๊กอุ้ม” พล.ท.ราชิต อรุณรังษี เจ้ากรมสวัสดิการทหารบกในตอนนั้น ออกจาก “นายสนามมวยลุมพินี” หลังเกิด “คลัสเตอร์สนามมวย” ช่วงโควิด-19 แพร่ระบาดใหม่ๆ จนถูกกองทัพและรัฐบาลถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง

 ดอน ปรมัตถ์วินัย
ทว่า ในกรณีปลด “เพื่อนตี๋” แม้จะสามารถลดกระแส และอาจจะเซฟเก้าอี้ ผบ.ทบ.ให้กับ “เพื่อนบี้” เอาไว้ได้ แต่ก็เชื่อว่า จะยังเป็น “แผลสด” ที่รัฐบาล และกองทัพจะโดนขยี้ต่ออย่างแน่นอน โดยเฉพาะแมตซ์ขย่มรัฐบาลผ่านเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจช่วงกลางปีนี้ ที่เชื่อว่ากรณี “ททบ.5-ท็อปนิวส์” จะเป็นประเด็นสำคัญที่ฝ่ายค้านจะหยิบยกขึ้นมาชำแหละอีกหน

ย้อนไปเมื่อการอภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติตามมาตรา 152 เมื่อเดือน ก.พ.65 ที่ผ่านมา ฝ่ายค้านโดย สมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งในฐานะนายกฯ และ รมว.กลาโหม “ปล่อยปะละเลย” ให้ ททบ.5 ภายใต้กองทัพบก ดำเนินการไม่โปร่งใส ก่อให้เกิดความเสียหาย ความมั่นคงของรัฐ และสาธารณะ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ

จากกรณีให้ บริษัท แกแลคซี่ฯ หรือทีมท็อปนิวส์ เข้ามาผลิดรายการข่าวให้ ทั้งที่บริษัท แกแลคซี่ฯ เพิ่งจะทะเบียนได้เพียง 7 วัน โดยมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท รวมทั้งกลุ่มพิธีกรข่าวที่นำมาจัดรายการทางช่อง 5 นั้น ก็ต่างร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองมาก่อน อาจส่งผลถึงความไม่เป็นกลางในการนำเสนอข่าวได้

และอย่าลืมว่า มิติใหม่การเมืองไทย พ.ศ.นี้ เป้าของฝ่ายค้านอาจไม่ได้หยุดแค่ “นายกฯตู่” เท่านั้น

น่ากลัวจะมีรายการ “ฝากงาน” ขย่มเก้าอี้ ผบ.ทบ.ไปในตัวด้วย

กระนั้นก็ดี สุดท้ายทุกอย่างก็กลายเป็นแค่ “ละครตบจูบหรือละครน้ำเน่าหลังข่าว” “เพราะมีการยืนยันออกมาแล้วว่า ทุกฝ่าย “เคลียร์ใจ-จูบปาก” กันเป็นที่เรียบร้อย โดยทาง ทบ. และ ททบ. 5 ได้ออกแถลงการณ์ขออภัยที่การออกอากาศเกิดความไม่เรียบร้อยและการตัดสัญญาณ พร้อมสรุปเอาแบบ “ดื้อๆ” ว่า เพราะขัดข้องทางด้านเทคนิคในการออกอากาศและการจัดการข้อมูลข่าวสารของสถานี

ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบกได้เผยแพร่เอกสารข่าวระบุว่า ด้วยในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการนำเสนอข่าวสารและประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานของสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก ซึ่งเป็นที่สนใจของสาธารณะ นั้น ศูนย์ประชาสัมพันธ์กองทัพบก ขอเรียนว่า กองทัพบกในฐานะที่เป็นผู้กำกับดูแลสถานีโทรทัศน์กองทัพบก ต้องขออภัยต่อประชาชนและผู้ชมรายการของทางสถานีในทุกช่องทางที่ได้เกิดความไม่เรียบร้อยในกระบวนการจัดการข้อมูลข่าวสารของสถานี และการขัดข้องทางด้านเทคนิคในการออกอากาศรายการข่าว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2565

 สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม

 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ทั้งนี้ ในห้วงเวลาที่ผ่านมากองทัพบกโดยคณะกรรมการบริหารกิจการโทรทัศน์กองทัพบกได้ร่วมหารือและกำหนดแนวทางปฏิบัติที่สมดุล เป็นประโยชน์ต่อสังคม บนพื้นฐานการทำหน้าที่ของสื่อสาธารณะรวมทั้งได้กำชับให้เพิ่มความระมัดระวังในการสื่อสารและกระบวนการออกอากาศให้เกิดความเรียบร้อย กองทัพบกขอเรียนว่า สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก จะยังคงดำรงความเป็นสื่อเพื่อความมั่นคงของรัฐและความปลอดภัยสาธารณะ นำเสนอข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสังคม เคียงข้างพี่น้องประชาชนในทุกสถานการณ์

แปลไทยเป็นไทยก็คือ ท็อปนิวส์ได้ไปต่อ เพียงแต่และมีการตกลงหลักการในการเสนอข่าวกันใหม่

 “เจ๊ปอง” อัญชะลี ไพรีรัก
 ขณะที่ “บิ๊กตี๋-พล.อ.รังษี” ก็กล่าวชัดถ้อยชัดคำว่า “ผบ.ทบ. อนุมัติไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะได้กลับมาหรือไม่ เพราะมีแต่ท็อปนิวส์ที่กลับมาทำให้ช่อง 5 ตามเดิม”

แต่ถ้าจะให้ฟันธงคงต้องบอกว่า โอกาสที่ไม่ได้ไปต่อมีอยู่สูงเพราะอาจต้องรับกรรมไปเพียงลำพังนะขอรับเจ้านายยยยยยย.

ส่วนคนอยู่นอกวงอย่างเราๆ ท่านๆ ก็ได้แต่ร้องดังๆ ว่า “เอ๊า” 





กำลังโหลดความคิดเห็น