คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
หลายปีมานี้จีนให้ความใส่ใจกับเรื่องการปลูกป่าอย่างมาก ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมของจีนเอง ที่ตามเมืองใหญ่ๆ เผชิญกับมลพิษที่สูงเกินค่ามาตรฐาน PM 2.5 หลายเท่าตัว จนรัฐบาลท้องถิ่นในบางเมืองถึงกับให้ประชาชนเอ็กซเรย์ปอดปีละสองครั้งก็มี การปลูกป่าจึงเป็นการสร้างพื้นที่สีเขียว เพื่อให้ป่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างอากาศบริสุทธิ์หรือเป็นแหล่งฟอกปอดแก่คนเมือง
แต่กล่าวเฉพาะเรื่องป่ากับคนจีนในยุคคอมมิวนิสต์แล้ว ถือเป็นเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งที่เป็นบทเรียนที่ชวนให้ศึกษาอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะชาวจีนที่อยู่ในวัยกลางคนขึ้นไปจะรู้เรื่องนี้ดี และคนรุ่นนี้น่าจะเล่าให้ลูกหลานของตนได้ฟังบ้าง เวลาที่ได้ข่าวว่าทางการจีนกำลังมีโครงการปลูกป่าขึ้นในหลายพื้นที่
เรื่องที่ว่าคือ ในปี 1958 อันเป็นช่วงที่จีนกำลังใช้ นโยบายก้าวกระโดดไกล (ต้าเยี่ว์ยจิ้น, 大跃进, Great Leap Forward) นโยบายนี้มุ่งที่จะให้ภาคการผลิตต่างๆ เพิ่มผลผลิตให้ได้เท่าตัวจากแผนที่ได้วางเอาไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจห้าปี ฉบับที่ 2 (1958-1962) และโครงการที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนนำมาใช้นำร่องก็คือ การผลิตเหล็กกล้า
ตามปกติแล้วการผลิตเหล็กกล้าที่อยู่ในแผนก็คือ การผลิตจากโรงงานเท่าที่มีอยู่ในเวลานั้น และการที่โรงงานจะถลุงเหล็กได้ย่อมต้องมีแร่เหล็กมาป้อน ดังนั้น การที่จะผลิตเหล็กให้ได้เท่าตัวตามแผนที่วางเอาไว้ก็ย่อมหมายความว่า จีนจะต้องมีโรงงานถลุงเหล็กและแร่เหล็กเพิ่มขึ้นจากที่มีอยู่เท่าตัวเช่นกัน
ปัญหาคือ แล้วจีนจะไปหามาจากไหน?
และสิ่งที่จีนได้ทำไปในขณะนั้นก็คือ การรณรงค์ให้ชาวจีนช่วยกันบริจาค “เหล็ก” เท่าที่ตนมีหรือเหลือใช้ให้แก่ทางการท้องถิ่น แล้วทางการท้องถิ่นก็จะนำ “เหล็ก” บริจาคนั้นส่งต่อไปยังท้องทุ่งท้องนาเพื่อให้ชาวนาทำการถลุงให้เป็นเหล็กสำหรับใช้ประโยชน์อื่นๆ ในภาคอุตสาหกรรมต่อไป
คำถามจึงมีว่า แล้วชาวจีนจะบริจาค “เหล็ก” ได้อย่างไร และจะถลุงเหล็กได้อย่างไร?
ความจริงก็คือว่า ชาวจีนได้บริจาค “เหล็ก” ที่อยู่ในรูปต่างๆ เช่น ช้อน จาน ตะปู หรือเศษเหล็กอื่นๆ ที่ตนไม่ใช้แล้วหรือเหลือใช้ให้แก่ทางการ ว่ากันว่า บางบ้านถึงกับถอนตะปูบางตัวจากผนังบ้านเพื่อนำมาบริจาคก็มี (โดยคาตะปูบางตัวเอาไว้ให้ยึดผนังต่อไป) ส่วนเตาถลุงเหล็กก็สร้างเตาหลอมขึ้นมาในรูปของการก่ออิฐถือปูนอย่างง่ายๆ จนมีรูปร่างหน้าตาคล้ายสถูปหรือที่เผากระดาษเงินกระดาษทองที่เห็นได้ตามวัดหรือศาลเจ้าจีน
ที่สำคัญคือ การหลอมนี้ไม่ได้ใช้ถ่านหินที่ให้ความร้อนสูงกว่าและนานกว่า หากใช้ฟืนธรรมดามาเผาเพื่อหลอม การหลอมเช่นนี้จึงต้องใช้ฟืนในปริมาณที่สูงมาก
ผลก็คือ ชาวจีนในเวลานั้นต่างพร้อมใจกันเข้าป่าเพื่อตัดไม้เอามาทำเป็นฟืน การเข้าป่าตัดไม้มาทำฟืนนี้ทำกันทั่วประเทศ ด้วยเหตุนี้พื้นที่ป่าหลายแห่งจึงเหี้ยนเตียน ภูเขาที่เคยเป็นป่าครึ้มปกคลุมอยู่ก็กลายเป็นภูเขาหัวโล้น และนี่ก็คือสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ป่าในจีนสูญหายไป
ส่วนสาเหตุอีกประการหนึ่งมาจากสัมปทานการตัดไม้หลังจีนเข้าสู่ยุคปฏิรูปในปี 1978 การตัดไม้แบบนี้ไม่ผิดกฎหมายก็จริง แต่ช่วงที่จีนกำลังเร่งปฏิรูประหว่างทศวรรษ 1990 ถึงทศวรรษ 2000 ก็ทำให้พื้นที่ป่าหายไปไม่น้อยเช่นกัน
ส่วนที่บอกว่ามีเรื่องเล่านั้นมีอยู่สองเรื่อง เรื่องแรกเล่าโดยเพื่อนชาวจีนในมณฑลอวิ๋นหนัน (ยูนนาน) ตอนที่เล่านี้เรากำลังเดินขึ้นเนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่ห่างตัวเมืองคุนหมิงไม่กี่สิบกิโลเมตร เพื่อนว่า เนินที่กำลังขึ้นไปอยู่นี้คือสุสานของเจ้าผู้ปกครองเมืองโบราณที่มีอายุราว 2000 ปี ซึ่งตอนนั้นอวิ๋นหนันยังไม่ได้มีฐานะเป็นมณฑล และเจ้าผู้ปกครองก็มิได้เป็นชาวจีนฮั่น
เจ้าผู้ปกครองนี้อาจเทียบได้กับกษัตริย์ในความหมายปัจจุบัน แต่ที่ใช้ว่าเจ้าผู้ปกครองก็เพราะในเวลานั้นเมืองเก่าแห่งนี้ยังล้าหลังกว่าจีนในยุคเดียวกัน โดยเฉพาะรูปแบบการปกครองที่ยังมีลักษณะชนเผ่าดำรงอยู่ แต่ก็มีความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาการไม่น้อย เพราะสามารถผลิตเครื่องใช้สำริดได้แล้ว
ท่านเล่าต่อไปว่า สาเหตุที่นำไปสู่การค้นพบสุสานนี้ก็เพราะการตัดไม้ไปถลุงเหล็กของชาวบ้านในแถบนั้น ด้วยแต่เดิมเนินนี้ถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ และเมื่อตัดไม้จนเนินเหี้ยนโล้นแล้ว ก็มีชาวนาคนหนึ่งในแถบนั้นขึ้นไปขุดรากไม้บนเนินเพื่อจะเอาไปทำเป็นฟืน แต่ขุดไปขุดมาก็พบเครื่องใช้สำริดฝังอยู่เป็นจำนวนมาก
ชาวนาคนนั้นดีใจเหมือนได้เจอขุมทรัพย์ ว่าแล้วก็จัดการล้างเครื่องสำริดเหล่านั้นให้พอสะอาดโดยไม่คิดอะไร แล้วก็แบกเครื่องสำริดนั้นเดินเข้าเมืองคุนหมิงไปอีกหลายสิบกิโลเมตรเพื่อขาย แต่ก็ขายได้ด้วยราคาแบบขายของเก่า ชาวนาคนนี้ขนมาขายมากกว่าหนึ่งรอบ จนวันหนึ่งคุณพ่อของเพื่อนซึ่งในขณะนั้นเป็นภัณฑารักษ์ก็เดินมาพบเข้าโดยบังเอิญ พอได้เห็นเครื่องสำริดที่ว่าก็รู้ได้ทันทีว่ามันคือวัตถุโบราณ และหลังจากสอบถามชาวนาคนนั้นจนรู้รายละเอียดแล้ว ท่านก็เดินทางไปสำรวจและเดินเรื่องให้มีการบริหารจัดการสุสานแห่งนั้นทันที
แต่กว่าจะจัดการได้เครื่องสำริดดังกล่าวก็เหลืออยู่ไม่มาก เพราะชาวนาได้ขนมาขายเป็นจำนวนมากแล้ว ที่ขนไม่ได้จะเป็นเครื่องสำริดที่มีขนาดใหญ่ เช่น กลองสำริด เป็นต้น เครื่องสำริดเหล่านี้ถือเป็นชิ้นงานที่มีความประณีตงดงามและประมาณค่ามิได้ โดยส่วนหนึ่งฟังจากที่ชาวนาเล่าให้ฟังเอง ว่าตนได้ขนเครื่องใช้แบบไหนมาขายบ้าง ส่วนคนซื้อก็ไม่สามารถตามตัวได้ ข้างชาวนาเองก็มิได้ถูกดำเนินคดีแต่อย่างไร เพราะทำไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์จริงๆ (คือไม่ใช่รู้เท่าไม่ถึงการณ์แบบปัจจุบันที่สักแต่อ้าง และตำรวจก็ดันเชื่อเสียด้วย)
ทุกวันนี้ เครื่องสำริดเท่าที่ขุดค้นได้จากที่ยังเหลืออยู่ได้ถูกนำมาตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ใจกลางเมืองคุนหมิง แต่เรื่องเล่าที่จบลงแบบนี้จะว่าดีก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก เพราะจนถึงตอนที่ผมเดินขึ้นเนินไปดูเศษซากของสุสานนั้น ต้นไม้ที่ถูกตัดจนเหี้ยนก็ยังไม่ขึ้นดี มีแต่ไม้เล็กเป็นส่วนใหญ่ ซ้ำตอนขึ้นแดดก็ร้อนปานหัวแตก แท้ที่จริงแล้ว เนินนั้นไม่ใช่เนินเขา แต่เป็นเนินสุสานต่างหาก
เรื่องเล่าอีกเรื่องคือ มีสวนป่าที่เป็นเนินเขาอยู่แห่งหนึ่งที่ผมเคยเดินขึ้นไปเที่ยว (ต้องขออภัยที่มิอาจบอกชื่อสถานที่ได้เพราะข้อมูลที่เก็บไว้ได้หายไป) นั้น เล่ากันว่า แต่เดิมต้นไม้บนเนินเขานี้ก็ถูกตัดจนเหี้ยนในยุคนั้นเช่นกัน แต่สิบกว่าปีมานี้ทางรัฐบาลท้องถิ่นได้ใช้วิธีโรยเมล็ดพันธุ์ต้นไม้จากเครื่องบินลงบนเนินเขานี้ จากนั้นก็ปล่อยให้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้เติบโตไปตามธรรมชาติ
จนถึงวันที่ผมเดินขึ้นไปเที่ยวนั้น ต้นไม้ได้เติบใหญ่ขึ้นมากแล้ว ทั่วทั้งเนินเขาครึ้มไปด้วยร่มเงาจากต้นไม้เหล่านี้ นี่ก็คงเป็นวิธีหนึ่งในการปลูกป่าของจีน แต่เรื่องที่จะเล่าก็คือ ในหมู่ต้นไม้ทั้งหมดที่เห็นบนเนินนั้นมีไม้อยู่ต้นหนึ่งที่สูงใหญ่กว่าทุกต้นจนผิดสังเกต ไม้ต้นนี้เป็นไม้เพียงต้นเดียวที่ไม่ได้ถูกตัดไปทำฟืนในยุคนั้น และสาเหตุที่ไม่ถูกตัดก็เพราะว่า เป็นต้นไม้ที่ประธานเหมาเจ๋อตงได้มาอาศัยพักเหนื่อยในขณะเดินขึ้นไปเที่ยวบนเนินเขาลูกนี้
เรื่องเล่าเรื่องนี้บอกให้เรารู้ในประเด็นอะไรบ้างก็คงขึ้นอยู่กับความรู้สึกนึกคิดของแต่ละคน
อย่างไรก็ตาม นานนับสิบปีมานี้มีพื้นที่ป่าและภูเขาหลายแห่งที่เคยเหี้ยนเตียนจากนโยบายก้าวกระโดดไกลหรือสัมปทานป่าไม้ ได้มีการปลูกป่าขึ้นมาแทนที่แล้ว แต่คงใช้เวลาอีกนานกว่าต้นไม้จะโตเต็มที่ และก็ยังคงมีอีกหลายพื้นที่ที่โล่งเตียนที่ยังไม่ได้มีการปลูกป่า
ต่อไปจีนอาจเป็นประเทศที่มีการปลูกป่ามากที่สุดในโลก ถึงแม้ป่าที่ปลูกในวันนี้จะยังไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมหรือมลพิษก็ตาม ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาอีกนานหลายปี
เมื่อจีนจะปลูกป่า ป่าของจีนก็มีเรื่องเล่าที่น่าฟังและน่าคิดอยู่เหมือนกัน