xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ส่องสนามเมืองหลวงยกแรก “บิ๊กวิน” อิสระ-“ชัชชาติ” มีสะดุ้ง “เจ๊หน่อย” ทิ้งไพ่ “ผู้พันปุ่น” วัดเรตติ้ง “ไทยสร้างไทย”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - บรรยากาศคึกคักขึ้นทุกขณะสำหรับสนามเลือกตั้ง “ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) -นายกเมืองพัทยา”

ที่เอาแค่ความเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา หนึ่งวันก่อนประกาศกำหนดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นของกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ในวันรุ่งขึ้น 25 มีนาคมก็มีความเคลื่อนไหวกันถี่ยิบ แต่ละพรรคแต่ละกลุ่มถือฤกษ์เปิดตัว เปิดทีมงาน เปิดนโยบาย กันแบบชั่วโมงต่อชั่วโมง เช้าจรดค่ำ
 
รวมไปถึงคิวที่ “บิ๊กวิน” พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. และ “บิ๊กแป๊ะ” สนธยา คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา ที่มาจากการแต่งตั้งของ คสช.ก็ประกาศลาออกจากตำแหน่งพร้อมกัน แต่หมุดหมายไม่เหมือนกัน
 
สำหรับ “บิ๊กวิน” เป็นไปตามคาด ประกาศลงสู้ศึกเพื่อลุ้นรักษาเก้าอี้ “พ่อเมืองหลวง” ด้วยตัวเอง ส่วน “บิ๊กแป๊ะ” เลือกที่จะถอยมาบัญชาการ “ทีมเรารักษ์พัทยา” ลงแข่ง และส่ง “เสี่ยเบียร์” ปรเมศวร์ งามพิเชษฐ์ ลงรักษาเก้าอี้นายกเมืองพัทยาแทน
ฉบับนี้ต้องขอโฟกัสที่สนาม “เมืองหลวง” ทั้งผู้ว่าฯ กทม. และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) 50 เขต ที่ดูจะดุเดือดเลือดพล่านมากกว่า ในฐานะสนามซ้อมใหญ่ที่สามารถหยั่งกระแสสะท้อนไปถึงเลือกตั้งสนามใหญ่ในที่คาดว่าจะมีขึ้นอีกราว 1 ปีข้างหน้า

รอบนี้ศึกชิงเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. มี “มวยหลัก” ลงสนามแบบพร้อมหน้า ตั้งแต่ “เจ๊รส” รสนา โตสิตระกูล อดีต ส.ว.กทม. ที่ประกาศลงในนามอิสระ, “จารย์ทริป” ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ อดีต รมว.คมนาคม ที่แม้จะประกาศตัวลงในนามอิสระ แต่สลัดไม่หลุดภาพความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับ “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่ส่งผู้สมัคร ส.ก. แต่เลือกจะไม่ส่งผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.
“พี่เอ้” สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ตัวแทนจาก “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ หวังกู้ศรัทธาคนกรุง จากความพ่ายแพ้อย่างราบคาบในสนาม ส.ส.เมื่อปี 2562, “เฮียโรจน์” วิโรจน์ ลักขณาอดิศร อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ฝีปากกล้า จากพรรคก้าวไกล ที่ลงทุนทิ้งตำแหน่งผู้ทรงเกียรติมาบู๊สนาม กทม. ด้วยสโลแกนดุดัน “ผู้ว่าฯ พร้อมชน หมดเวลาซุกปัญหาไว้ใต้พรม”
 
“เสี่ยจั้ม” สกลธี ภัททิยกุล ที่ไขก๊อกลาออกจากเก้าอี้รองผู้ว่าฯกทม.มาขอสู้ศึกในนามผู้สมัครอิสระ โดยว่ากันว่ามีทั้ง พรรคพลังประชารัฐ และพรรคกล้า ที่ส่งผู้สมัคร ส.ก.ให้การสนับสนุน, “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ที่เพิ่งตัดสินใจลงสมัครในนามพรรคไทยสร้างไทยของ “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ที่แม้เปิดตัวในช่วงโค้งสุดท้าย แต่ชื่นชั้น-คอนเนคชั่นก็ทำเอาผู้สมัครบางคนถึงกับสะดุ้ง

และที่ประกาศตัวคนสุดท้าย “บิ๊กวิน” ที่เพิ่งปิดฉาก “ผู้ว่าฯ แต่งตั้ง” ด้วยระยะเวลา 5 ปี 5 เดือน 5 วัน แต่ก่อนหน้าก็ใช้ทีมงาน “รักษ์กรุงเทพ” ที่เป็นว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.กรุยทางทำพื้นที่ไปมานานแล้ว

โพลหลายสำนักยังยกให้ “ชัชชาติ” มาแรงทิ้งห่างคู่แข่งหลายช่วงตัวหลังเปิดตัวเป็นคนแรกๆ อีกทั้งคู่แข่งที่น่าจะขึ้นเบียดอย่าง “สุชัชวีร์” ก็ถูกกระแสเชิงลบฉุดไว้จนเรตติ้งไม่กระเตื้อง

ว่ากันว่าสนามผู้ว่าฯ กทม. เป็นสังเวียนปราบเซียน มีความอ่อนไหวต่อกระแสสูง จนสามารถพลิกผันได้จนนาทีสุดท้าย อย่างการเลือกตั้งครั้งล่าสุดปี 2556 “จูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.จากพรรคเพื่อไทย ทำคะแนนนำในทุกสำนักโพล น่าจะเข้าป้ายม้วนเดียวจบแบบสบายๆ แต่กลับพลิกพ่ายให้กับ “หม่อมหมู”ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร แชมป์เก่าจากพรรคประชาธิปัตย์ ในช่วง 2 วันก่อนเข้าคูหาเลือกตั้งเท่านั้น

จุดชี้ขาดอยู่ที่ว่า “ชัชชาติ” จะยืนระยะในช่วงเวลาที่เหลือราว 2 เดือนได้หรือไม่ โดยที่ผ่านมาเจ้าตัวพยายามสร้างภาพลักษณ์ “วันแมนโชว์” ไม่อยู่ในอาณัติของใคร และไม่มีส่วนเกี่ยวพันกับพรรคเพื่อไทย เพราะรู้ดีว่ากระแสในบางพื้นที่ไม่โอเคกับ “พรรคทักษิณ” ถึงขั้นที่ว่าก่อนนี้ที่มีว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.เพื่อไทยบางคนใส่เสื้อ “ทำงาน ทำงาน ทำงาน” ที่เป็นมอตโต้ของ “ชัชชาติ” ทำให้ถึงต้องสะท้อนความไม่สบายใจไปถึง “คนแดนไกล” จนคนเพื่อไทยต้องเปลี่ยนคำมาใช้ “ลุยงาน ลุยงาน ลุยงาน” ด้วยสีและฟอนท์เดียวกัน

และว่ากันว่ากลยุทธ์ของทีมงาน กทม. ที่นำโดย “มาดามแจ๋น” พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ให้นโยบายให้ผู้สมัคร ส.ก.ทุกคนพยายามผูกติดไปกับ “ชัชชาติ” ให้ได้มากที่สุด จะเห็นได้ว่าป้ายหาเสียงของว่าที่ผู้สมัคร ส.ก.พรรคเพื่อไทย ที่มีสีหลักเป็น “สีแดง” กลับมีความพยายามสอดแทรก “สีเขียว” ของ “ชัชชาติ” เข้าไปด้วย จนดูแปลกตาพอสมควร

 สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

 น.ต.ศิธา ธิวารี

พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง

 สกลธี ภัททิยกุล

สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์
ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามใช้ “พี่เอ้” เป็นตัวขาย แต่ก็เจอกระแสเชิงลบมาตลอดตั้งแต่เปิดตัว ทำให้คะแนนนิยมไม่กระเตื้องอย่างที่คาด แล้วยัง “เสี่ยง” ใช้คนรุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยผ่านสนามเลือกตั้งอย่าง ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค ทำหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.และ ส.ก.ในศึกที่มีเดิมพันสูงในการกู้ชื่อ “เจ้าพ่อ กทม.”

ขณะที่ พรรคก้าวไกล หรืออดีตพรรคอนาคตใหม่ เจ้าของป๊อปปูลาห์โหวตเมื่อการเลือกตั้ง ส.ส.กทม.ปี 2562 ก็ยังเน้นกวาดคะแนนจากคนรุ่นใหม่-เฟิร์สโหวตเตอร์ เหมือนเดิม แม้ตัวผู้สมัครอย่าง “วิโรจน์” จะไม่ว้าวเท่าที่โฆษณาไว้ แต่เมื่อมีเงา “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” อยู่ข้างหลัง ก็เชื่อว่าจะยังรักษาฐานแฟนคลับไว้ได้พอสมควร แม้จะไม่ได้ถล่มทลายเท่าสมัยพรรคอนาคตใหม่ก็ตาม

ส่วน “อัศวิน” ที่น่าจะเป็นอีกตัวเต็ง ในฐานะเจ้าของเก้าอี้เดิม แต่ต้องยอมรับว่าผลงาน หรือภาพลักษณ์ที่ผ่านมาไม่เข้าตา กระแสออกไปเชิงลบมากกว่าบวก จึงต้องลุ้นว่า ฐานอำนาจ ฐานการเมือง ที่วางไว้ตลอด 5 ปีกว่าที่ผ่านมา จะผลิดอกออกผลหรือไม่

ที่กลายมาเป็น “ตัวแปร” คงเป็นรายของ “สกลธี” ที่แน่นอนว่ามีฐานแฟนคลับจากกลุ่ม กปปส.ในอดีต แม้จะยุบสลายไปแล้ว แต่ผลการเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่-จตุจักร พื้นที่เก่าของ “สกลธี” ที่ “เสี่ยเอ๋” อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ลงแข่ง แม้ไม่ชนะ แต่ได้คะแนนมาเป็นกอบเป็นกำ ก็ถือทำให้มีฮึกเหิมขึ้นมาพอสมควร

อย่างไรก็ดี คงต้องวัดกันต่อไปว่า 2 คนนี้ใครจะมีแต้มมากกว่ากัน เพราะต่างก็เป็น “เด็กลุง” ทั้งสิ้น โดยคนหนึ่งเป็น “เด็กลุงป้อม” ส่วนอีกคนหนึ่งเป็น “เด็กลุงตู่” ดังนั้น เชื่อขนมกินได้ว่า งานนี้ ไม่มีใครยอมใครอย่างแน่นอนด้วยมีศักดิ์ศรีของสองลุงเป็นเดิมพัน

และหากพูดเฉพาะว่าที่ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. 5-6 รายที่ว่าไป รูปการณ์ก็อาจถูกลากเข้าสู่สมรภูมิขั้วอำนาจ ด้านหนึ่งเป็น “ขั้วประยุทธ์” มี “สุชัชวีร์-อัศวิน-สกลธี” อีกฟากเป็น “ขั้วไม่เอาประยุทธ์” มี “ชัชชาติ-วิโรจน์-ศิธา”

อาจแบ่งได้เป็น “มุมแดง-มุมน้ำเงิน” ที่นอกจากแข่งกันสองขั้วแล้ว ก็อาจมีมหกรรม “ตัดแต้ม” กันครั้งใหญ่

และหากเทียบจากคะแนนป็อปปูลาร์โหวตเลือกตั้ง ส.ส.ใน กทม.ปี 2562 ก็ยิ่งน่าสนใจ เมื่อพบว่า อันดับ 1 พรรคอนาคตใหม่ 804,272 คะแนน อันดับ 2 พรรคพลังประชารัฐ 791,893 คะแนน อันดับ 3 พรรคเพื่อไทย 604,699 คะแนน ลำดับที่ 4 พรรคประชาธิปัตย์ 474,820 คะแนน

ดูเหมือนฝั่งมุมแดงจะมีแต้มมากกว่า แต่หาก “ตัดแต้ม” ไม่ลงตัวก็อาจเสร็จฝั่งมุมน้ำเงินได้เหมือนกัน

เลือกตั้ง 22 พฤษภาคม 2565 นี้ไม่ได้เดิมพันสูงเฉพาะเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม.เท่านั้น สนาม ส.ก.ก็ดุเดือดไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เรียกว่าทุกพรรคการเมืองจัดหนักจัดเต็มกับสนาม ส.ก. ประกาศส่งผู้สมัครลงพร้อมหน้า ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคก้าวไกล พรรคกล้า พรรคไทยสร้างไทย และ กลุ่มรักษ์กรุงเทพ ที่สนับสนุน “อัศวิน”

การเลือกตั้ง ส.ก.รอบนี้พิเศษกว่าทุกครั้ง ที่จัดให้มีการเลือกตั้งในวันเดียวกับผู้ว่าฯกทม. ผิดกับครั้งก่อนๆที่จะจัดเลือกตั้งคนละวัน ทำให้ “หัวหน้าทีม” อย่าง “ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.” ถือเป็นปัจจัยสำคัญในการหาเสียง ส.ก.

 ชัชชาติ สิทธิพันธ์

 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร

 รสนา โตสิตระกูล
โดยงวดนี้เก้าอี้ ส.ก.มีให้ชิงชัย 50 ที่นั่งจาก 50 เขต ลดลงจากการเลือกตั้ง ส.ก.ครั้งล่าสุด 29 สิงหาคม 2553 ในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีเก้าอี้ ส.ก.มากถึง 61 ที่นั่ง โดยผลการเลือกตั้งครั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์กวาดไปได้ถึง 45 ที่นั่ง พรรคเพื่อไทย 15 ที่นั่ง และผู้สมัครอิสระอีก 1 ที่นั่ง

อย่างไรก็ดี เวลาผ่านไปเกินกว่า 10 ปี สถานการณ์การเมืองเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สะท้อนได้จากการเลือกตั้ง ส.ส.กทม. เมื่อปี 2562 ที่ “แชมป์เก่า” พรรคประชาธิปัตย์สุญพันธุ์ราบคาบในพื้นที่ กทม. คงยากที่จะรักษาแชมป์ ส.ก.ได้เหมือนการเลือกตั้ง ส.ก.ปี 2553

หากประเมินความได้เปรียบคงต้องยกให้ “ค่ายเพื่อไทย” ที่ประกาศส่ง ส.ก.ครบทุกเขต ที่ดูมีความพร้อม และเหมือนจะได้ประโยชน์จากกระแสรัฐบาลตกต่ำมากที่สุด แต่สนาม กทม.ก็ดูเหมือนจะเป็น “ของแสลง” ของค่ายทักษิณมาโดยตลอด

ขนาด “ชัชชาติ” ที่ว่าแน่ ยังไม่กล้าลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย

ถือเป็นเวทีพิสูจน์ฝีมือ “เจ๊แจ๋น-พวงเพ็ชร” สายตรงดูไบ ที่รับตราตั้งมาคุมศึกด้วยตัวเองในฐานะ ผอ.ศูนย์เลือกตั้ง กทม. ที่หวังสร้างผลงานโปรโมทตัวเองขึ้นเป็น “มาดามนครบาล” โค่น “เจ้าแม่เมืองหลวง” อย่าง “เจ๊หน่อย” คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย และอดีตประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย ให้จงได้

แต่พลันที่พรรคไทยสร้างไทยส่ง “ผู้พันปุ่น” น.ต.ศิธา ทิวารี มือขวาของ “เจ๊หน่อย” ลงสมัครชิงชัย ผู้ว่าฯ กทม.ด้วย ก็ทำเอา “ชัชชาติ-เพื่อไทย” ก็มีสะเทือนไม่น้อย

เพราะ “ศิธา” ถือเป็นไพ่เด็ด เป็นระดับแกนนำคนสำคัญของพรรคไทยสร้างไทย หากไม่มั่นใจ คงไม่ปล่อยให้เอาชื่อมาทิ้งง่ายๆ และฐานเสียงอยู่ในกลุ่มเดียวกีน

เหตุที่เลือกใช้ “ผู้พันปุ่น” นอกจากในฐานะอดีต ส.ส.กทม.เขตคลองเตย 2 สมัยแล้ว มีผลงานในฐานะอดีตโฆษกรัฐบาลสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ก็ยังถือว่าเป็นผู้ที่จะถ่ายทอด “ดีเอ็นเอไทยสร้างไทย” หรือความเป็นตัวตนของ “เจ๊หน่อย” เจ้าของสมญา “เจ้าแม่นครบาล” ได้ดีที่สุด

แต่ด้วยเวลาเปิดตัวที่ค่อนข้างกระชั้น เชื่อว่าพรรคไทยสร้างไทยไม่ได้หวังสูงถึงขั้นส่ง “ศิธา” เข้าวิน เพื่อแค่ใช้เป็นเวทีปักแบรนด์ “ไทยสร้างไทย” ในตลาดการเมืองไทย พร้อมตรึงฐานเสียง “เจ้าแม่เมืองหลวง” เอาไว้

เพื่อเป้าหมายที่ใหญ่กว่าของ “คุณหญิงหน่อย” ในการเลือกตั้งใหญ่สมัยหน้าต่างหาก

ดังนั้น คะแนนทุกคะแนนที่ “ผู้พันปุ่น” ได้รับจากคนเมืองหลวงจึงมีความสำคัญ อาจไม่ได้มากถึงขั้นได้รับเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯ กทม. แต่ถ้าได้น้อยจนเกินงาม นั่นหมายความว่า เส้นทางการเมืองของ “คุณหญิงหน่อย” อาจไม่เป็นไปตามที่วาดฝันไว้.





กำลังโหลดความคิดเห็น