xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รัฐแทงกั๊ก “โซลาร์เซลล์”? ฝันค้าง! มิติใหม่พลังงานไทย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  เป็นไปได้แค่ไหนกับการส่งเสริมให้ประชาชนติดตั้งโซลาร์เซลล์ แม้รัฐทำคลอดโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชน (โซลาร์ภาคประชาชน) เมื่อช่วงต้นปี 2564 หนุนให้ผลิตไฟฟ้าใช้ในครัวเรือน และผูกสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ขายคืนให้กับรัฐได้ แม้เป็นการลงทุนระยาวลดค่าไฟฟ้าได้ แต่เงื่อนไขและค่าใช้จ่ายติดตั้งสูง ในเชิงปฏิบัติยังไม่เอื้อต่อประชาชน

ย้อนดูตัวเลขปี 2564 มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน เพียง600 ราย และปริมาณผลิตไฟฟ้าเพียง 3 เมกะวัตต์ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 50 เมกะวัตต์ 


อย่างไรก็ดี เรื่องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ในภาคประชาชนกลับมาเป็นประเด็นที่ต้องทบทวนกันอีกครั้ง เนื่องจากมีแนวโน้มว่าในเดือน พ.ค.-ส.ค. 2565 คนไทยจะต้องจ่ายค่าไฟฟ้าแพงขึ้น จากเดิม 3.76 บาทต่อหน่วย เป็น 4 บาทต่อหน่วย หลังจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) มีมติปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Float Time) หรือ ค่าเอฟที (ค่า FT) ในอัตรา 1.39 สตางค์ต่อหน่วย

โดย  นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ในฐานะโฆษก กกพ. ระบุสาเหตุว่าเนื่องมาจากปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อค่าเอฟทีมาจากผลกระทบสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลต่อวิกฤตราคาพลังงานโลกเพิ่มสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ ทำให้ กกพ. ต้องปรับสมมุติฐานการประมาณการค่าเอฟทีใหม่ให้สะท้อนราคาเชื้อเพลิงในสถานการณ์ปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน  “สภาองค์กรของผู้บริโภค” ออกมาชำแหละ “ปัญหาค่าไฟแพง” นอกจากผลกระทบอันเกี่ยวเนื่องจากสงครามตามที่ กกพ. กล่าวอ้างแล้ว ปัญหาที่ทำให้ค่าไฟแพงเนื่องมาจากมีการสำรองไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น รวมทั้ง มีการซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตรายเล็กในราคาสูง พร้อมกันนี้ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การบริหารของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ควบคุมและกำกับค่าไฟฟ้าให้สอดคล้องกับค่าครองชีพประชาชน และสนับสนุนให้ประชาชนเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์

 นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา  รองเลขาธิการสภาองค์กรของผู้บริโภค เปิดเผยว่าสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ติดตามศึกษาสถานการณ์ปัญหาราคาพลังงานของประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่าปัญหาค่าไฟฟ้าแพงของประเทศ ไม่ได้มีปัจจัยจากภาวะสงครามหรือราคาก๊าซธรรมชาติขยับสูงขึ้นแต่เพียงที่หน่วยงานด้านพลังงานกล่าวอ้างเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีปัจจัยหนุนค่าไฟฟ้าแพง ดังนี้

1. ค่าไฟฟ้าแพง เพราะการวางแผนการผลิตพลังงานไฟฟ้าของประเทศที่คำนึงถึงความมั่นคงทางด้านพลังงานเกินความจำเป็น และเอื้อประโยชน์ต่อการลงทุนธุรกิจพลังงานไฟฟ้าเกินสมควร ไม่มีความยืดหยุ่นต่อสภาวะการเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ต่างๆ ของประเทศและของโลก ไม่ได้คำนึงหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทำให้เกิดปัญหาปริมาณสำรองไฟฟ้าที่มากเกินจำเป็นหรือมีโรงไฟฟ้าในระบบล้นเกินความต้องการ

โดยเห็นได้จากปัจจุบัน ประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมทั้งสิ้น 46,136.4 เมกะวัตต์ แต่มียอดใช้ไฟฟ้าสูงสุดที่เกิดขึ้นในแต่ละปีนับแต่ปี 2562-2564 เพียงปีละประมาณ 30,000 เมกะวัตต์ เท่านั้น หรือมีปริมาณเกินไปปีละ 10,000 เมกะวัตต์ หรือมีกำลังการผลิตสำรองสูงถึงร้อยละ 50 ขณะที่กำลังการผลิตสำรองไฟฟ้าที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณร้อยละ 15 เท่านั้น

2. ค่าไฟฟ้าแพง เพราะมีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPPs) ที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าล้นเกินความต้องการใช้ ไม่ต้องเดินเครื่องผลิตไฟฟ้า แต่ยังได้เงินค่าไฟฟ้าที่เรียกว่า “ค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้า” ภายใต้สัญญาซื้อขายไฟฟ้าในลักษณะ “ไม่ซื้อก็ต้องจ่าย”(Take or Pay) ประมาณการว่าที่ผ่านมา มีโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ 8 ใน 12 แห่งไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าหรือเดินเครื่องไม่เต็มศักยภาพ แต่ยังได้รับเงินค่าความพร้อมจ่ายไฟฟ้าแบบไม่ซื้อก็ต้องจ่าย โดยคาดว่าค่าภาระไฟฟ้าส่วนเกินนี้เป็นเงินมากถึง 49,000 ล้านบาทต่อปี

3.ค่าไฟฟ้าแพง เพราะการที่โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ไม่ได้เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าอย่างเต็มศักยภาพ เพราะกำลังผลิตไฟฟ้าล้นระบบ จึงมีการผ่องถ่ายการผลิตไฟฟ้าไปให้โรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPPs) เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแทน ตามประมาณการค่า Ft ในช่วงเดือน พ.ค.–ส.ค.2564 ค่าไฟฟ้าของโรงฟ้าขนาดเล็กมีอัตราสูงถึง 4 บาทต่อหน่วย มีปริมาณไฟฟ้าที่ซื้อมากถึง 18,014 ล้านหน่วย เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 73,261 ล้านบาท นับเป็นอัตราค่าไฟฟ้า ปริมาณซื้อไฟฟ้า และเกิดเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุดในการซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าภาคเอกชนทั้งหมด

โดยโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจากจำนวนทั้งหมด 155 โรง ไม่ได้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนทั้งหมดอย่างที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่เป็นโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมากถึง 76 โรง หรือคิดเป็นร้อยะ 49 ของจำนวน SPPs ทั้งหมด ซึ่งมีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันประมาณ 6,200 เมกะวัตต์ หรือคิดเป็นร้อยละ 66 ของกำลังผลิตไฟฟ้า SPPs ทั้งหมด

ขณะที่โรงไฟฟ้า SPPs พลังงานหมุนเวียนมีอยู่ 74 โรง แต่มีกำลังผลิตไฟฟ้ารวมกันเพียง 2,868.4 เมกะวัตต์ หรือประมาณร้อยละ 30 ของกำลังผลิตไฟฟ้าทั้งหมดของกลุ่ม SPPs เท่านั้น

4. ค่าไฟฟ้าแพง เพราะประชาชนไม่ได้ใช้ราคาก๊าซธรรมชาติที่ผลิตจากอ่าวไทยที่มีราคาต่ำที่สุดเมื่อเปรียบเทียบราคาก๊าซจากแหล่งอื่นๆ แต่ต้องใช้ราคา Pool ก๊าซ หรือราคาผสมจากทุกแหล่ง ทั้งก๊าซที่ออกจากโรงแยกก๊าซ ก๊าซนำเข้าจากประเทศพม่าและ LNG ที่ขยับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าสถานีบริการและค่าผ่านท่อที่ขยับสูงขึ้นต่อเนื่องเช่นกัน ขณะที่มีเพียงกลุ่มโรงแยกก๊าซธรรมชาติและกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเท่านั้นที่ได้ใช้ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยตามราคาก๊าซธรรมชาติในประเทศที่ไม่ต้องไปรวมในราคา Pool ก๊าซ จึงเป็นการใช้ก๊าซธรรมชาติในราคาที่ต่ำและไม่มีการร่วมเฉลี่ยทุกข์เฉลี่ยสุขกับประชาชน

และ 5. ค่าไฟฟ้าแพง เพราะรัฐยังไม่ตระหนักถึงปัญหาปริมาณไฟฟ้าสำรองที่ล้นเกินอย่างจริงจัง แทนที่รัฐจะหยุดหรือลดการรับซื้อไฟฟ้าเพิ่มเติมเพื่อไม่ให้เกิดเป็นภาระต่อประชาชนอีก แต่รัฐยังจะเดินหน้ารับซื้อไฟฟ้าจากเขื่อนไฟฟ้าในประเทศลาวเข้ามาอีก 2 โรง คือเขื่อนไฟฟ้าหลวงพระบาง มีอัตราค่าไฟฟ้า 2.8432 บาทต่อหน่วย และเขื่อนปากแบง อัตราค่าไฟฟ้า 2.9179 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นอัตราค่าไฟฟ้าที่สูงกว่าอัตราค่าไฟฟ้าฐานขายส่งของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ 2.56863 บาทต่อหน่วย จึงย่อมบ่งชี้ได้ว่า ค่าไฟฟ้าที่ต้องจ่ายให้กับสองเขื่อนนี้จะเป็นภาระค่า Ft ของประชาชนในประเทศได้ในอนาคต นอกจากนี้การก่อสร้างโครงการเขื่อนทั้งสอง และเขื่อนอื่นๆ ยังมีปัญหาการร้องเรียนจากผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและการอยู่อาศัยของประชาชนไทยและลาวตามมาอีกด้วย

 ประการสำคัญ ระบบการผลิตไฟฟ้าของไทยที่เป็นระบบผู้ขายผูกขาดแต่เพียงรายเดียว คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าจากแหล่งผลิตต่างๆ จัดสรรและจำหน่ายให้กับการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) จนมาถึงบ้านเรือนประชาชน ประชาชนไม่มีอำนาจในการต่อรองราคาใดๆ  

ดังนั้น สภาองค์กรของผู้บริโภค มองว่าเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เป็นสิ่งที่รัฐบาลต้องสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเป็นการเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าด้วยโซลาร์เซลล์ให้มากขึ้น การนำเทคโนโลยีโซลาร์เซลล์เข้ามา จะทำให้ประชาชนเปลี่ยนจากผู้ซื้อไฟฟ้ามาเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่มีอำนาจต่อรอง ซึ่งโซลาร์เซลล์เป็นพลังงานสะอาดสามารถช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมอีกทางหนึ่ง

ทั้งนี้ สภาองค์กรของผู้บริโภค ยื่นข้อเสนอต่อกระทรวงพลังงาน ดังนี้

1. ให้ดำเนินการสนับสนุนการพึ่งตนเองด้านพลังงานไฟฟ้าของประชาชนอย่างเต็มที่ ด้วยการส่งเสริมให้ประชาชนผลิตไฟฟ้าด้วยระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาตามโครงการโซลาร์ภาคประชาชนให้เพิ่มขึ้น เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าและเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน โดยขอให้ดำเนินการดังนี้

1.1 จากเดิมกำหนดราคารับซื้อไว้ที่ 2.20 บาท/หน่วย ให้เปลี่ยนเป็นระบบเน็ตมิเตอริ่ง หรือระบบการคิดค่าไฟฟ้าแบบหักลบกลบหน่วย เพื่อไม่ให้การไฟฟ้าต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือเป็นภาระในการเปลี่ยนหรือเพิ่มมิเตอร์ไฟฟ้า

1.2 ให้ขยายระยะเวลาการับซื้อไฟฟ้าของโซลาร์ภาคประชาชน จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 10 ปี เป็น 20 - 25 ปี หรือตามอายุการใช้งานของแผงโซลาร์เซลล์

1.3 ให้จัดหาแหล่งทุนกู้ยืมดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการติดตั้งระบโซลาร์เซลล์ได้อย่างแท้จริง

2. ขอให้ยับยั้งและทบทวนการคิดค่า Ft ใหม่โดยด่วน โดยให้ดำเนินดังนี้

2.1 ลดการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งทำให้มีค่าซื้อไฟฟ้าสูงถึง 4.00 บาทต่อหน่วย ให้มีสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าเท่ากับการผลิตของโรงไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าลงได้ประมาณ 8,860 ล้านบาทต่อปี

2.2 ปรับลดเงินประกันกำไรของโรงไฟฟ้าเอกชนขนาดเล็กที่ใช้ก๊าซธรรมชาติให้อยู่ที่ร้อยละ 1.75 ให้ใกล้เคียงกับเงินประกันกำไรของโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่

2.3 ควรมีการกำหนดเพดานราคาก๊าซธรรมชาติในสูตรการคำนวณค่าผ่านท่อไว้ที่ 200 บาทต่อล้านบีทียู และกำหนดและค่าประสิทธิภาพที่ร้อยละ 2 ต่อปี เพื่อลดภาระค่าไฟฟ้าของผู้ใช้ไฟฟ้าได้ถึง 587 ล้านบาทต่อปี

2.4 ให้ปรับโครงสร้าง ราคา Pool Gas ใหม่ โดยนำปริมาณก๊าซธรรมชาติที่เข้าสู่โรงแยกก๊าซธรรมชาติและถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีมารวมอยู่ในราคา Pool Gas ด้วย ซึ่งจะช่วยทำให้ราคา Pool Gas ลดลง และคาดว่าจะช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี

3. ให้ชะลอการรับซื้อไฟฟ้าจากโรงฟ้าเอกชนขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศที่ก่อสร้างขึ้นใหม่ออกไป และการดำเนินการเพื่อการได้มาซึ่งพลังงานไฟฟ้าทั้งในและนอกประเทศจะต้องคำนึงถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และผลกระทบต่อชุมชนใกล้เคียงด้วย

4. การดำเนินนโยบายด้านพลังงานและการกำกับกิจการพลังงานของประเทศ ขอให้ตระหนักถึงความมีธรรมาภิบาลอย่างสูงสุด และต้องไม่ให้มีปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันพบปัญหาว่าระบบการผลิตโซลาร์เซลล์บนหลังคา (Solar Rooftop) สามารถนำมาทำเป็นโครงการโซลาร์ภาคประชาชนได้ แต่ระบบไม่เอื้อ ไม่สร้างแรงจูงใจให้ประชาชนได้มากพอ เพราะรัฐมีการกำหนดเพดานการรับซื้อโซลาร์เซลล์ทั่วประเทศ เพียงปีละไม่เกิน 10 เมกะวัตต์เท่านั้น มากไปกว่านี้ อัตราค่ารับซื้อไฟฟ้าจากประชาชนที่ติดตั้งโซลาร์บนหลังคา คือ 2.20 บาทต่อหน่วย เท่านั้น ขณะที่ตอนนี้ค่าไฟฟ้าปรับขึ้นเป็น 4 บาทต่อหน่วยแล้ว จะเห็นว่าประชาชนอยู่ในภาวะที่ขาดทุน

ดังนั้น รัฐบาลควรมีการปรับเพิ่มอัตราค่ารับซื้อไฟฟ้าให้ใกล้เคียงกับค่าไฟฟ้าที่ขายให้ประชาชน หรือ ไม่ควรต่ำกว่าค่าไฟฟ้าฐานที่ กฟผ. ขายส่งให้กับประชาชน ประมาณ 2.50 – 3.00 บาทต่อหน่วย นอกจากนี้ โซลาร์ภาคประชาชนที่รัฐบาลรับซื้อยังมีการกำหนดสัญญาไว้เพียง 10 ปี ขณะที่ศักยภาพของแผงโซลาร์เซลล์มีอายุการใช้งานนานถึง 20 - 25 ปี พร้อมทั้งรัฐต้องจัดหาแหล่งทุนกู้ยืมดอกเบี้ยร้อยละหนึ่งต่อปี เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์ได้อย่างแท้จริง

 น.ส.รสนา โตสิตระกูล อนุกรรมการด้านบริการสาธารณะ พลังงานและสิ่งแวดล้อม สภาองค์กรของผู้บริโภค ได้วิพากษ์ประเด็นการกระจายอำนาจด้านพลังงานคืนสู่ประชาชน ความว่ารัฐประกาศโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชน (โซลาร์ภาคประชาชน) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2564 เป็นต้นไป โดยจะรับซื้อในจำนวน 50 เมกกะวัตต์ และได้ปรับเพิ่มราคารับซื้อที่หน่วยละ 2.20 บาท จากเดิมที่เคยกำหนดที่หน่วยละ 1.68 บาท โดยจะรับซื้อเป็นเวลา 10 ปี ทั้งที่โซล่าบนหลังคามีอายุผลิตไฟฟ้าได้ 25 ปี ทว่า นโยบายโซล่าประชาชนนี้ไม่ได้จูงใจ และส่งเสริมให้ครัวเรือนอยากติดตั้ง เพราะมีภาระค่าใช้จ่ายหลายเรื่องที่ทำให้การลงทุนนี้ไม่คุ้มทุน มีเงื่อนไข และข้อแม้มากมาย

ขณะที่กระทรวงพลังงานยังคงเดินหน้าโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ภาคประชาชน (โซลาร์ภาคประชาชน) สำหรับปี 2565 อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจำนวนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ ในปี 2564 จะมีเพียง 600 ราย และปริมาณผลิตไฟฟ้าเพียง 3 เมกะวัตต์ ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ 50 เมกะวัตต์ค่อนข้างมาก

 นายคมกฤช ตันตระวาณิชย์  เลขาธิการสำนักงาน กกพ. เปิดเผยว่า โครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคาสำหรับภาคประชาชนประเภทบ้านที่อยู่อาศัย (โซลาร์ภาคประชาชน) ปี 2565 เบื้องต้นคาดว่าจะมีการเปิดรับซื้อในปริมาณรวมประมาณ 10 เมกะวัตต์ (10,000 กิโลวัตต์ KWp) เนื่องจากการเปิดรับในปี 2564 ปริมาณ 50 เมกะวัตต์เป็นระยะเวลา 10 ปีโดยปรับอัตรารับซื้อไฟฟ้าส่วนที่เหลือใช้ขายเข้าสู่ระบบจาก 1.68 บาทต่อหน่วยเป็น 2.20 บาท/หน่วย เบื้องต้นพบ 174 รายจ่ายไฟเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ประมาณ 1 เมกะวัตต์ (1,003 กิโลวัตต์) เท่านั้น และเมื่อรวมดำเนินการตั้งแต่ปี 2562 - จนถึง 30 พ.ย. 2564 มีการจ่ายไฟเข้าระบบจำนวนทั้งสิ้น 994 ราย กำลังผลิตติดตั้ง 5.49 เมกะวัตต์( 5,499 กิโลวัตต์)

“จริงๆ รัฐเองก็ไม่คาดหวังในเรื่องของปริมาณไฟฟ้าจากโครงการนี้เพราะต้องเข้าใจว่าหลังคาบ้านประชาชนติดได้ราว 5 กิโลวัตต์เท่านั้น ปีหนึ่งๆ มาได้ระดับ 100 กว่าหลัง ดังนั้น 10 เมกะวัตต์จะมีบ้านติดได้ราว 2,000 หลังถือว่าค่อนข้างมาก”

เลขาธิการสำนักงาน กกพ. กล่าวต่อไปว่าการติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปของบ้านที่อยู่อาศัยถือเป็นทางเลือกสำหรับประชาชนว่าต้องการประหยัดไฟฟ้าในช่วงกลางวัน หรือต้องการดูแลสิ่งแวดล้อม และการตัดสินใจก็อยู่ที่ปัจจัยต่างๆ ทั้งความคุ้มค่าการลงทุนซึ่งต้องเน้นผู้ที่อยู่อาศัยในช่วงกลางวัน หากติดแล้วเน้นใช้กลางคืนก็จะต้องติดระบบแบตเตอรี่ (ESS) ซึ่งก็จะต้องลงทุนเพิ่มอีก

ขณะเดียวกันลักษณะบ้านที่เป็นบ้านเก่าแต่ละหลังต้องดูโครงสร้างว่าเอื้อหรือไม่ หากบ้านใหม่ก็ต้องออกแบบไว้เลยก็จะง่ายกว่า รวมไปถึงค่าไฟฟ้าในขณะนั้นโดยยอมรับว่าค่าไฟฟ้าปี 2565 ที่ปรับตัวสูงอาจจะทำให้ความสนใจในการติดตั้งมีมากขึ้น อย่างไรก็ตามราคาแผงโซลาร์ฯ ที่แพงขึ้นขณะนี้มาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้น แต่ท้ายที่สุดการผลิตก็จะปรับเพิ่มขึ้นตามมาและทำให้ราคามาอยู่ในจุดสมดุลได้

อย่างไรก็ตาม กระทรวงพลังงานทราบถึงปัญหาเป็นอย่างดี โดยจะร่วมหารือกับ กกพ. ปรับปรุงหลักเกณฑ์การเข้าร่วมโครงการโซลาร์ภาคประชาชน พิจารณาปรับราคารับซื้อให้จูงใจมากขึ้น โดยไม่กระทบต่อต้นทุนค่าไฟฟ้าในภาพรวมต่อไป

 คงต้องติดตามกันว่าปี 2565 เสียงตอบรับ “โครงการโซลาร์ภาคประชาชน” จะมีทิศทางบวกหรือไม่ แต่เชื่อว่าหากรัฐไม่ปรับเกณฑ์ต่างๆ ไม่สนับสนุนส่งเสริมอย่างเป็นรูปธรรมโซลาร์รูฟตามบ้านเรือนก็คงไม่เกิดขึ้นง่ายๆ และเมื่อลงทุนด้านพลังงานเองไม่ได้ด้วยเงื่อนไขต่างๆ ไม่เอื้อ คนไทยก็คงต้องเตรียมจ่ายค่าไฟแพงต่อไป 




กำลังโหลดความคิดเห็น