xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ผ่า “ศึกชิงท่อส่งน้ำตะวันออก” หลัง “บอร์ดที่ราชพัสดุ” เท “อีสท์วอเตอร์” หุ้นใหญ่ “มหาดไทย-ประปา” สะเทือน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  เรียกว่า “ฟ้าผ่า” ลงกลางกล่องดวงใจเลยทีเดียว สำหรับ “บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) หรือ อีสท์วอเตอร์” หลัง “คณะกรรมการที่ราชพัสดุ” มีมติ 6 ต่อ 3 เสียง เห็นชอบให้ “บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด” เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกให้ดำเนินการโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก โดยไม่ต้องรอคำพิพากษาของศาลปกครอง และให้กรมธนารักษ์ลงนามสัญญากับบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2565 ที่ผ่านมา 

เพราะนั่นหมายความว่า อีสท์วอเตอร์มีโอกาสสูญเสีย  “แหล่งรายได้”  ก้อนมหึมาค่อนข้างสูง และนั่นหมายความว่า จะกระทบกับ  “รายได้”  ของบริษัท  “มูลค่าหุ้น-ราคาหุ้น”  รวมถึงผลประโยชน์ของบรรดา  “ผู้ถือหุ้น”  อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ทั้งนี้ เมื่อมาตรวจสอบรายละเอียดของมติพบว่า มีกรรมการ 2 เสียง คือ กรรมการที่มาจาก “กระทรวงมหาดไทย และกรมโยธาธิการและผังเมือง”  เห็นว่าควรชะลอการอนุมัติผลการประมูล เพื่อรอคำพิพากษาของศาลปกครองกลางก่อน และมีกรรมการ 1 เสียง คือ กรรมการจาก  “กรมที่ดิน”  งดออกเสียง ซึ่งถือว่าเป็นประเด็นที่จำต้องขยายรายละเอียดเพิ่มเติม เพราะเป็นสัญญาณที่สะท้อนภาพ  “ความขัดแย้ง”  ในมุมกว้างได้เป็นอย่างดี
สำหรับผู้ถือหุ้นของอีสท์วอเตอร์ 10 อันดับแรกประกอบด้วย 1.การประปาส่วนภูมิภาค จำนวน 668,800,000 หุ้น คิดเป็น 40.20% 2.MANILA WATER (THAILAND) COMPANY LIMITEDจำนวน 311,443,190 หุ้น คิดเป็น 18.72% 3.การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย จำนวน 76,000,000 หุ้น คิดเป็น 4.57% 4.บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด จำนวน 60,540,195 หุ้น คิดเป็น 3.64% 5.นาย มิน เธียรวร จำนวน 37,900,000 หุ้น คิดเป็น 2.28% 6.กองทุนเปิด อเบอร์ดีน สแตนดาร์ด หุ้นระยะยาว จำนวน 15,505,100 หุ้น คิดเป็น 0.93% 7.นาย นิเวศน์ เหมวชิรวรากร จำนวน 10,000,000 หุ้น คิดเป็น 0.60% 8.นาย วิชิต รักสุจริต จำนวน 8,590,000 หุ้น คิดเป็น 0.52% 9.บริษัท ธนชาตประกันภัย จำกัด (มหาชน) จำนวน 8,432,100 หุ้น คิดเป็น 0.51% 10. มหาวิทยาลัยมหิดล จำนวน 8,138,300 หุ้น คิดเป็น 0.49%

 เมื่อเห็น “หุ้นใหญ่” ซึ่งคือ “การประปาส่วนภูมิภาค” จะเห็นได้ว่า ทำไมกรรมการซึ่งสังกัด “มหาดไทย” ถึงไม่เห็นด้วย เพราะการประปาส่วนภูมิภาคนั้นถือเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดของกระทรวงคลองหลอด 

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่า เกิดอะไรขึ้น ทำไมเหตุการณ์จึงลงเอยในลักษณะนี้เพราะความจริงน่าจะตกลงกันได้ และเมื่อดูที่มาที่ไปก็ยิ่งสงสัย กล่าวคือ คณะรัฐมนตรี(ครม.) มีมติอนุมัติให้ “การประปาภูมิส่วนภาค(กปภ.)” จัดตั้งอีสท์วอเตอร์มาบริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออกเมื่อปี 2553 โดย กปภ.ถือหุ้นใหญ่ในสัดส่วน 40.20%

อีสท์วอเตอร์นั้นรับหน้าที่บริหารระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก 3 โครงการคือ 1.โครงการท่อส่งน้ำดอกกลาย 2.โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ และ 3.โครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) นับเป็นโครงการท่อส่งน้ำดิบที่เป็น “เส้นเลือดใหญ่” ในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)

กระทั่งต่อมาในปี 2539 บริษัทได้มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทุน ทำให้พ้นสภาพการเป็นรัฐวิสาหกิจเป็นที่เรียบร้อย

 แล้ว “คณะกรรมการที่ราชพัสดุ” มาเกี่ยวข้องถึงขั้นชี้ขาดโครงการได้อย่างไร 

 ก็ต้องตอบว่า เพราะ “ที่ดินที่ใช้สร้างท่อส่งน้ำ” ทั้งหมดนั้นเป็น “ที่ราชพัสดุ” และอยู่ภายใต้การดูแลของ “กรมธนารักษ์” ซึ่งสามารถนำที่ดินมาจัดหาประโยชน์ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้นั่นเอง 

 ดังนั้น คงไม่เกินเลยไปนักที่จะอนุมานว่า นี่คือศึกระหว่าง “กรมธนารักษ์” กับ “กระทรวงมหาดไทย” 

ความจริงต้องบอกว่า ความขัดแย้งในเรื่องดังกล่าวดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับแต่  “นายยุทธนา หยิมการุณ”  อธิบดีกรมธนารักษ์คนเก่ามาจนถึงอธิบดีคนปัจจุบันคือ “นายประภาส คงเอียด” 

หลังสัญญาณโครงการใกล้หมดลง “กรมธนารักษ์” ได้เปิดประมูลโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ค.2564 คณะกรรมการคัดเลือกฯ ออกประกาศเชิญชวนเอกชนที่มีคุณสมบัติตามเงื่อนไขตามที่กำหนด จำนวน 5 ราย เข้าร่วมประชุมชี้แจงรายละเอียดโครงการฯ ต่อมาวันที่ 9 ส.ค.2564 กรมธนารักษ์เปิดให้ยื่นซองข้อเสนอ ซึ่งผลปราฎว่ามีเอกชน 3 ราย เข้ายื่นซอง และ 2 ใน 3 รายก็คือ  “บมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (อีสท์วอเตอร์) และบริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด”  

ทว่า หลังจากผ่านไป 3 สัปดาห์ทุกอย่างก็ยังคงเงียบเชียบ

กระทั่งต่อมาในวันที่ 26 ส.ค.2564 คณะกรรมการคัดเลือกฯ มีหนังสือแจ้งผู้ยื่นซองแจ้ง  “ยกเลิก”  การประมูลโครงการฯ พร้อมทั้งปรับปรุงประกาศเชิญชวนฯ ฉบับเดิม และให้เอกชนยื่นซองเมื่อวันที่ 28 ก.ย.2564 ผลปรากฏว่า บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัดเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐสูงสุด เป็นเงิน 25,693.22 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี รองลงมา คือ อีสท์วอเตอร์ซึ่งเสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐ 24,212.88 ล้านบาท ตลอดอายุสัญญา 30 ปี

ทันทีที่ผลออกมาเช่นนั้น อีสท์วอเตอร์ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการคัดเลือก (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และกรมธนารักษ์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) ต่อศาลปกครองกลาง โดยขอให้ศาลฯ มีคำสั่งหรือคำพิพากษา เพิกถอนมติคณะกรรมการคัดเลือกฯ ที่แจ้งยกเลิกการประมูลตามประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 16 ก.ค.2564 และให้ดำเนินการคัดเลือกเอกชนต่อไป พร้อมทั้งขอให้เพิกถอนประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 10 ก.ย.2564 และขอให้ศาลฯมีคำสั่ง “คุ้มครองชั่วคราว”  ให้ คณะกรรมการคัดเลือกฯ และกรมธนารักษ์ งดเว้นการกระทำใดๆ ตามกระบวนการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ลงวันที่ 10 ก.ย.2564

ต่อมาวันที่ 12 พ.ย.2564 ศาลปกครองมีคำสั่ง   “ยกคำขอ”  ทุเลาการบังคับตามประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อบริหารและดำเนินการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ลงวันที่ 10 ก.ย.2564 เนื่องจากมิใช่กรณีที่ทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาในภายหลังแก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด

“การออกประกาศเชิญชวนฯ ฉบับลงวันที่ 10 กันยายน 2564 ซึ่งเป็นมูลเหตุข้อพิพาทในคดีนี้ มีผลเพียงทำให้ผู้ฟ้องคดีต้องยื่นซองข้อเสนอใหม่อีกครั้งเท่านั้น มิได้เป็นการตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีในการเข้ายื่นซองข้อเสนอแต่อย่างใด อีกทั้ง หากภายหลังศาลเห็นว่า กระบวนการในการคัดเลือกเอกชนตามประกาศเชิญชวนฯ ฉบับใหม่ ไม่ชอบด้วยกฎหมายและทำให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ผู้ฟ้องคดีก็สามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายตามกฎหมายในภายหลังได้ กรณีจึงมิทำให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงที่ยากแก่การแก้ไขเยียวยาแก้ไขในภายหลังแก่ผู้ฟ้องคดีแต่อย่างใด กรณีจึงยังไม่มีเหตุสมควรที่ศาลจะกำหนดมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่ผู้ฟ้องคดีเป็นการชั่วคราวก่อนการพิพากษา” คำสั่งศาลปกครองกลาง ระบุ

 ตีความสั้นๆ คือ ถ้าอีสท์วอเตอร์เสียหายก็สามารถฟ้องร้องตามกฎหมายได้ 

จากนั้นเมื่อวันที่ 11 ก.พ.2565 ที่ประชุมคณะกรรมการที่ราชพัสดุ ที่มี  “นายสันติ พร้อมพัฒน์”  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธาน มีมติ 6 ต่อ 4 ให้ชะลอการพิจารณาอนุมัติผลการคัดเลือกตีเอกชนในโครงการบริหารท่อส่งน้ำสายหลักภาคตะวันออก ซึ่ง บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้เสนอผลประโยชน์ตอบแทนให้ภาครัฐสูงสุด เนื่องจากเสียงส่วนใหญ่บอกว่าให้รอคำพิพากษาศาลปกครองกลางก่อน และมาถึง “จุดแตกหัก”  ในวันที่ 14 มี.ค.2565 เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการที่ราชพัสดุ จะมีมติ 6 ต่อ 3 เสียง อนุมัติให้ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด เป็นผู้ได้รับการคัดเลือกโครงการบริหารและดำเนินกิจการระบบท่อส่งน้ำสายหลักในภาคตะวันออก ดังกล่าว

ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ ประเมินต่อ EASTW ว่า กรณีแพ้ประมูลในการต่อสัญญาท่อส่งน้ำดิบหลัก 3 เส้นจะกระทบกับบริษัทพอสมควร เพราะมีรายได้คิดเป็นราว 30% ของรายได้น้ำดิบ จะส่งผลต่อรายได้และกำไรของ EASTW ในอนาคต รวมถึงต้องมีการลงทุนท่อส่งน้ำเพิ่มเพื่อทดแทนเส้นท่อส่งน้ำเดิม ซึ่งจะทำให้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น

 แน่นอน อีสท์วอเตอร์ย่อมไม่เห็นด้วย

แต่ถ้ามองในมุมของ “กรมธนารักษ์” ก็มีเหตุผลที่ “รับฟังได้” 

ทั้งนี้ จากข้อมูลของกรมธนารักษ์ที่ได้ชี้แจงต่อศาลปกครอง ระบุว่า ตั้งแต่ปี 2540-2563 หรือในช่วง 23 ปีที่ผ่านมา อีสท์วอเตอร์จ่ายส่วนแบ่งรายได้โครงการท่อส่งน้ำดอกกลาย ให้กรมธนารักษ์ รวม 236.21 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 10.27 ล้านบาท จ่ายส่วนแบ่งรายได้โครงการท่อส่งน้ำหนองปลาไหล-หนองค้อ รวม 184.85 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 8.03 ล้านบาท และจ่ายค่าตอบแทนในโครงการท่อส่งน้ำหนองค้อ-แหลมฉบัง (ระยะที่ 2) รวม 105.62 ล้านบาท หรือเฉลี่ยปีละ 4.59 ล้านบาท

 หรือเท่ากับว่าตลอด 23 ปี อีสท์วอเตอร์จ่ายส่วนแบ่งรายได้เข้ารัฐคือ กรมธนารักษ์ รวมแล้ว 526.60 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 21.94 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเป็นตัวเลขที่สามารถใช้คำว่า “กระจิดริด” ได้เลยทีเดียว 

ขณะที่ในช่วงปี 2562-2564 อีสท์วอเตอร์มีรายได้จากการขายน้ำดิบผ่านท่อส่งน้ำของทั้ง 3 โครงการ คิดเป็น 30% ของรายได้น้ำดิบทั้งหมดของบริษัท หรือคิดเป็นรายได้ประมาณปีละ 700-900 ล้านบาท (ปี 2562 อีสท์วอเตอร์ มีรายได้น้ำดิบรวม 2,844.70 ล้านบาท , ปี 2563 มีรายได้น้ำดิบรวม 2,473.75 ล้านบาท และปี 2564 มีรายได้น้ำดิบรวม 2,941.71 ล้านบาท ซึ่เพียงแต่ข้อมูลนี้ก็สะท้อนภาพได้ชัดเจนว่า ทำไมถึงเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวได้

แต่ในอีกมุมหนึ่งอีสท์วอเตอร์อาจอธิบายได้ว่า แม้จะแบ่งรายได้ให้กรมธนารักษ์น้อย แต่ก็แบ่งปันผลให้กับ กปภ.และหน่วยงานรัฐอื่นๆ ด้วย

 “นายประภาศ คงเอียด”  อธิบดีกรมธนารักษ์ ให้สัมภาษณ์ว่า ที่ผ่านมาได้ยืนยันกับสังคมมาตลอดว่า การพิจารณาของคณะกรรมการที่ราชพัสดุ จะยึดถือ 3 ข้อ และทั้ง 3 ข้อ ได้มีการดำเนินการครบถ้วนแล้ว คือ

1.การดำเนินการถูกต้อง ซึ่งที่ผ่านมาขอยืนยันว่า การดำเนินการถูกต้อง ทั้งก่อนและหลังจากที่ตนเองเข้ามารับตำแหน่งอธิบดีกรมธนารักษ์ แต่ไม่ได้ตัดสิทธิ์ของผู้ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งสามารถไปฟ้องร้องได้

2.ผลประโยชน์ของรัฐ ตรงนี้ก็เห็นชัดเจนว่า ตลอดเวลาที่ อีสท์วอเตอร์ได้รับสิทธิในการบริหารโครงการท่อส่งน้ำทั้ง 3 โครงการมาตั้งแต่ปี 2537 จนถึงปัจจุบัน อีสท์วอเตอร์ จ่ายค่าเช่าให้ภาครัฐเพียง 550 ล้านบาท เท่านั้น แต่หากกรมธนารักษ์ลงนามกับเอกชนรายใหม่ในวันนี้ ภาครัฐจะได้เงินทันทีกว่า 1,500 ล้านบาท และตลอดระยะเวลาโครงการ ภาครัฐจะได้รับส่วนแบ่งรายได้อีก 2.5 หมื่นล้านบาท รวมแล้วเป็นเงินที่ภาครัฐจะได้รับ 2.7 หมื่นล้านบาท
3.การคุ้มครองผู้ใช้น้ำ โดยสัญญาโครงการจะระบุไว้ชัดเจนเลยว่า ค่าน้ำโดยเฉลี่ยตลอดอายุสัญญา 30 ปี จะต้องไม่เกิน 10.98 บาท/หน่วย จากปัจจุบันที่ผู้ใช้น้ำต้องจ่ายค่าน้ำในอัตราเฉลี่ย 12-13 บาท/หน่วย ซึ่งการบริหารสัญญาจะมีคณะกรรมการฯขึ้นมาดูแลว่า ค่าน้ำของภาคครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรมจะเป็นอย่างไร และไม่เกิดการลักลั่นกันมากเกินไประหว่างค่าน้ำในภาคครัวเรือนและค่าน้ำในภาคอุตสาหกรรม

“อัตราค่าน้ำจะอยู่ในราคาเฉลี่ยไม่เกิน 10.98 บาท/หน่วย แต่เพียงจะมีการเฉลี่ยว่าค่าน้ำของภาคครัวเรือนจะเป็นเท่าไหร่ และค่าน้ำของภาคอุตสาหกรรมจะเป็นเท่าไหร่ โดยจะไม่มีการลักลั่นกันมากเกินไป เพราะถ้าภาระค่าน้ำส่วนใหญ่ไปตกอยู่กับภาคอุตสาหกรรม เขาก็จะมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่ถ้าภาระค่าน้ำไปตกอยู่กับภาคประชาชน ก็จะไม่เป็นธรรมกับประชาชน ซึ่งเราจะมีคณะกรรมการฯมากำกับเรื่องนี้” นายประภาศอธิบายเอาไว้ถึงเหตุและผลอย่างชัดแจ้ง พร้อมทั้งประเมินด้วยว่า “สมมติว่าเราแพ้คดีจริงๆ เข้าใจว่า ศาลคงไม่ชดใช้ค่าเสียหายถึงขนาด 1.5 พันล้านบาท อย่างไรก็ตาม จะต้องมาพิสูจน์ความเสียหายตามหลักความรับผิดทางละเมิดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นของอีสท์วอเตอร์จากกรณีไม่ได้โครงการนี้มีอะไรบ้าง ซึ่งจะเป็นไปตามกระบวนกฎหมายแพ่งที่ต้องพิสูจน์ว่า ความเสียหายที่แท้จริงคืออะไร เราก็คาดหวังว่า ความเสียหายไม่น่าจะถึงขนาดนั้น และก็ประเมินความเสี่ยงและผลประโยชน์ที่รัฐจะได้รับ ถ้าเกิดชะลอและความล่าช้า ความรับผิดอาจมาอยู่ที่คณะกรรมการกรมธนารักษ์ เพราะละเลยไม่ดำเนินการทำให้รัฐได้เงินล่าช้า”

 แล้ว “วงษ์สยาม” ล่ะ มี “อะไรในกอไผ่” หรือไม่ เพราะการที่มีคุณสมบัติเข้าร่วมประมูลด้วยก็ย่อมแสดงให้เห็นว่า “ไม่ธรรมดา” 

จากการตรวจสอบข้อมูลในเว็บไซด์ของ บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ระบุว่า บริษัทฯ ก่อตั้งเมื่อปี 2519 โดยดำเนินธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง และรับเหมาระบบประปาทั้งในเอกชนและภาครัฐ เช่น กองทัพบก ,การประปานครหลวง (กปน.) ,การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) ,กรมชลประทาน และบมจ.จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) เป็นต้น

ทั้งนี้ ในปี 2535 บริษัทฯ ได้ลงนามสัญญากับ กปภ. ในโครงการดำเนินการก่อสร้างและปรับปรุงระบบประปาในพื้นที่แหลมฉบัง จ.ชลบุรี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ วงษ์สยามก่อสร้าง ในการร่วมดำเนินธุรกิจกับ กปภ. ปัจจุบันบริษัทฯมีคุณสมบัติในการรับจ้างงานก่อสร้างของ กปภ. “ชั้นที่ 1” ซึ่งสามารถเข้าร่วมประมูลงาน กปภ.ได้ทุกโครงการ และที่ล่าสุดบริษัทฯระบุว่า ได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 670 ล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนในอนาคต

นอกจากนั้น ยังพบว่า ตั้งแต่ปี 2558 ถึง 2564 บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด รับงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐจำนวน 13 โครงการ มูลค่า 5,100.68 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นงานของการประปาส่วนภูมิภาค 12 โครงการ วงเงินกว่า 5 พันล้านบาท

 สำหรับผู้ถือหุ้น บริษัท วงษ์สยามก่อสร้าง จำกัด ประกอบด้วย 1.อนุฤทธิ์ เกิดสินธ์ชัย 74.52% 2.สุชานุช เกิดสินธ์ชัย 25.03% 3.วรนุช เกิดสินธ์ชัย 0.39% และ 4.วลัยพันธ์ เกิดสินธ์ชัย 0.06 % 

นอกจากกรณีนี้แล้ว เรื่องใหญ่ของ “วงษ์สยาม” ที่เป็นประเด็นน่าสนใจไม่แพ้กันคือ กรณีที่ทาง “วงษ์สยาม” และ “บมจ.ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น (STEC)” ยื่นหนังสือ ‘ขออุทธรณ์การจัดซื้อจัดจ้าง’ โครงการประกวดราคาจ้างก่อสร้างขยายกำลังการผลิตน้ำที่โรงงานผลิตน้ำมหาสวัสดิ์ ขนาด 800,000 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน พร้อมงานที่เกี่ยวข้องสัญญา GE-MS5/6-9 ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) หลัง บมจ.ซิโน-ไทยฯ และวงษ์สยาม ถูกตัดสิทธิไม่ให้เข้าร่วมประมูล เนื่องจากคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาฯ เห็นว่า ทั้ง 2 บริษัท ไม่มีคุณสมบัติตามประกาศประกวดราคาที่ระบุว่า ต้องมีผลงานก่อสร้างไม่น้อยกว่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร/วัน วงเงินไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท

งานนี้ ส่งผลให้ ITA Consortium (บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) และบริษัท อาควาไทย จำกัด) ซึ่งเสนอราคามาเป็นอันดับ 3 ที่ 6,460 ล้านบาท ชนะการประมูล จากนั้น กปน. เจรจาต่อรองราคากับ ITA Consortium และลดราคาจ้างลงมาเหลือ 6,400 ล้านบาท ก่อนจะประกาศให้ ITA Consortium เป็นผู้ชนะการเสนอราคา เมื่อวันที่ 1 มี.ค.2565

เรียกว่า วงษ์สยามก่อสร้างมิได้เป็น “หน้าใหม่” หากแต่มี “ประวัติ” และ “เส้นทาง” ไม่ธรรมดาเช่นกัน

ที่น่าสนใจคือ นอกจากอีสท์วอเตอร์จะยื่นฟ้องต่อศาลปกครองแล้ว ยังกลายเป็นประเด็นทางการเมืองอีกด้วยเพราะมีนักเคลื่อนไหว 2 คนเข้าร่วมวงด้วยคือ คนแรกคือ  “นายศรีสุวรรณ จรรยา”  ที่ออกมาชี้ให้เห็นแง่มุมที่เข้าไม่เห็นด้วยกับกรมธนารักษ์ คนที่สองคือ  “นายยุทธพล จรัสเสถียร”  ที่ประกาศชัดเจนว่า จะนำเรื่องนี้เข้าสู่การอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย

 ดังนั้น จะเห็นได้ว่า ศึกชิงท่อส่งน้ำตะวันออกที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ต้องจับตามองอย่างไม่กระพริบตา. 


กำลังโหลดความคิดเห็น