xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พรรคจิ๋วในเกมอำนาจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"


ระบบการเลือกตั้งแบบสัดส่วนผสมของรัฐธรรมนูญปี 2560 ส่งผลให้พรรคการเมืองขนาดจิ๋วเป็นจำนวนมากในสภาผู้แทนราษฎร การแสดงบทบาทของพรรคขนาดจิ๋วมีความหลากหลาย บางพรรคให้ความสนใจกับประเด็นเฉพาะและพยายามผลักดันประเด็นเหล่านั้นในสภาผู้แทนราษฎร บางพรรคการแสดงบทบาทขึ้นอยู่กับหัวหน้าพรรค ขณะที่บางพรรคขึ้นอยู่กับผู้ดูแลทรัพยากรในพรรค และเกือบทุกพรรคเป็นหมากทางการเมืองของผู้เล่นที่ทรงอิทธิพลในเกมอำนาจ

ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีแกนนำของพรรคการเมืองทั้งพรรคใหญ่และพรรคขนาดจิ๋วด้วยกันเองจำนวนหนึ่งพยายามรวบรวมพรรคขนาดจิ๋วเพื่อสร้างเป็นพันธมิตรทางการเมืองอย่างถาวร ซึ่งมุ่งหวังเพิ่มอำนาจการต่อรองผลประโยชน์และตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก เพราะแต่ละพรรคต่างก็มีความคิดและจุดยืนเป็นของตนเอง อย่างไรก็ตาม การรวมกลุ่มกันอย่างหลวม ๆ เพื่อปฏิบัติการทางการเมืองบางอย่างในสนามของเกมอำนาจเกิดขึ้นอยู่เสมอ

ภายใต้ภาวะที่รัฐบาลมีเสียงเกินครึ่งไม่มากนัก พรรคการเมืองขนาดจิ๋วมีความสำคัญไม่น้อยต่อการสร้างเสถียรภาพของรัฐบาล พรรคแกนนำรัฐบาลจึงจำเป็นต้อง “ดูแล” พรรคการเมืองขนาดจิ๋วจำนวนหนึ่งเพื่อแลกกับการสนับสนุนรัฐบาล ตามความเข้าใจของผู้สังเกตการณ์ทางการเมือง “การดูแล” ในบริการเมืองไทยหมายถึง การสนับสนุนทางการเงิน การมอบตำแหน่งทางการเมือง และการแสดงความใกล้ชิดสนิทสนมทางสังคม

ผู้ทำหน้าที่ดูแลมักเป็น “แกนนำผู้ทรงอิทธิพลหลัก” ของพรรคใหญ่หรือพรรคขนาดกลาง ซึ่งอาจกระทำด้วยตนเอง หรือกระทำผ่านนักการเมืองคนอื่นที่เป็นผู้ประสานงานทางการเมืองที่ตนเองไว้วางใจ ซึ่งทำให้ผู้ประสานงานทางการเมืองกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลตามไปด้วย หรือเราอาจเรียกว่า เป็น “ผู้ทรงอิทธิพลรอง” ในกรณีที่ผู้ทรงอิทธิพลหลักและรองยังมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การกำหนดทิศทางให้พรรคจิ๋วเดินก็ไม่มีปัญหาอะไร แต่หากผู้ทรงอิทธิพลเหล่านี้เกิดความขัดแย้งกันความสับสนในการตัดสินใจของพรรคจิ๋วก็เกิดขึ้นได้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมา นักการเมืองที่สังกัดพรรคจิ๋วได้รับการประสานและดูแลจาก “ผู้ทรงอิทธิพลรอง” ในพรรคแกนนำรัฐบาล แต่เมื่อผู้ทรงอิทธิพลรองถูกขับออกจากพรรค เขาก็พยายามรักษาระดับอิทธิพลของตนเองที่มีต่อพรรคจิ๋วเอาไว้ต่อไป แต่ดูเหมือนไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก เพราะเมื่อออกจากรัฐบาลไปแล้ว การแสวงหาทรัพยากรเพื่อมาใช้เป็นเครื่องบำรุงขวัญก็ย่อมเป็นไปได้ยาก อย่างไรก็ตาม หากยังสามารถทำได้ดังเดิมก็อาจสร้างผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาลได้ เพราะผู้ทรงอิทธิพลรองผู้นั้นขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรี และมีความประสงค์อย่างแรงกล้าในการเปลี่ยนแปลงนายกรัฐมนตรี

มีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนดำรงอยู่ระหว่างนายกรัฐมนตรี ผู้ทรงอิทธิพลหลักของพรรคพลังประชารัฐ และอดีตผู้ทรงอิทธิพลรองที่ถูกขับออกไปจากพรรค ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการวิเคราะห์กันอย่างกว้างขวางว่าในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปลายปี 2564 ผู้ทรงอิทธิพลหลักของพรรค พปชร. ต้องการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และมอบหมายให้ “ผู้ทรงอิทธิพลรอง” เดินเกมทางการเมืองเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง แต่เกิดความผิดพลาดของแผนปฏิบัติการเสียก่อนจึงประสบความล้มเหลว ผู้ทรงอิทธิพลรองจึงต้องกลายเป็นหนังหน้าไฟให้กับผู้ทรงอิทธิพลหลัก และแตกหักกับนายกรัฐมนตรี ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างนายกรัฐมนตรีกับผู้ทรงอิทธิพลหลัก แม้ยังไม่แตกหัก แต่ก็มีรอยร้าวที่สาธารณะรับรู้ได้อย่างชัดเจน

นายกรัฐมนตรี ผู้รู้ดีว่าการจะรักษาอำนาจทางการเมืองของตนเองได้นั้น ต้องได้รับการสนับสนุนจากผู้ทรงอิทธิพลหลักของพรรค พปชร. อันได้แก่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขาจึงพยายามแสดงพฤติกรรมเอาอกเอาใจพลเอกประวิตรอย่างประเจิดประเจ้อในที่สาธารณะหลายโอกาสด้วยกัน เช่น การจูงมือ การโอบกอด พฤติกรรมประเภทนี้เป็นสิ่งที่หายาก และไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนักในการเมืองร่วมสมัยของสังคมไทย เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ย่อมอนุมานได้ว่า พลเอกประยุทธ์มีความกังวลต่อสถานภาพและอำนาจทางการเมืองของตนเองอย่างมาก และตระหนักว่า ชะตากรรมทางการเมืองของตนเองขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพลเอกประวิตร เมื่อดูท่าทีของพลเอกประวิตรที่แสดงออกต่อสาธารณะในระยะนี้ ดูเหมือนว่า การลงทุนของพลเอกประยุทธ์ไม่เสียเปล่า เพราะดูเหมือนว่า สามารถโน้มน้าวให้พลเอกประวิตรหันมาสนับสนุนตนเองอย่างแข็งขันได้ดังในอดีต

การพบปะพูดคุยระหว่างนายธรรมนัส พรหมเผ่ากับพรรคการเมืองขนาดจิ๋วคงสร้างความกังวลไม่น้อยต่อแกนนำรัฐบาล ด้วยเกรงว่า นายธรรมนัสจะทำให้พรรคการเมืองขนาดจิ๋วทำตัวออกห่างจากรัฐบาล และร่วมมือกันสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในช่วงกลางปีนี้

รัฐบาลจึงพยายามแก้เกม ด้วยการนัดพรรคการเมืองขนาดจิ๋วมาพบปะพูดคุยกัน ในช่วงแรกมีข่าวถึงขนาดว่า นายกรัฐมนตรีจะมาร่วมพูดคุยด้วยตนเอง แต่ในที่สุด ก็ให้พลเอกประวิตรมาแทน ซึ่งอาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะหากเปรียบเทียบอิทธิพลระหว่างพลเอกประยุทธ์กับพลเอกประวิตรที่มีต่อพรรคการเมืองขนาดจิ๋วแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า พลเอกประวิตรมีอิทธิพลเหนือกว่าพลเอกประยุทธ์ ด้วยเหตุผลที่ว่า เขาเป็นผู้ดูแลพรรคการเมืองขนาดจิ๋วมาโดยตลอด ขณะที่พลเอกประยุทธ์นั้นค่อนข้างห่างเหิน ละเลย และไม่ค่อยให้ความสำคัญกับพรรคการเมืองขนาดจิ๋วมากนัก เป้าประสงค์ของการพบปะพูดคุย เรื่องหลักคาดว่าเป็นการกำชับให้พรรคการเมืองขนาดจิ๋วสนับสนุนรัฐบาลต่อไป

อันที่จริงโดยพื้นฐานทางความคิด นักการเมืองของพรรคจิ๋วส่วนใหญ่ต้องการสังกัดฝ่ายรัฐบาล และต้องการให้สภาผู้แทนราษฎรอยู่ครบวาระ เพราะเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาได้ประโยชน์มากที่สุด การยุบสภาก่อนครบวาระเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาไม่ต้องการให้เกิดขึ้น เพราะว่าจะทำให้ผลประโยชน์ที่เคยได้หายไป และโอกาสที่จะได้รับเลือกเข้ามาเป็น ส.ส.ได้อีกในการเลือกตั้งครั้งต่อไปมีค่อนข้างน้อย เพราะระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ไม่เอื้อต่อพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยดังระบบการเลือกตั้งครั้งก่อน

ดังนั้นหากพลเอกประวิตรได้เปลี่ยนใจมาสนับสนุนพลเอกประยุทธ์อย่างเต็มกำลังดังเดิม และกระชับอำนาจทั้งภายในพรรค พปชร. และพรรคขนาดจิ๋วได้ โอกาสที่พรรคฝ่ายค้านจะประสบชัยชนะเหนือพลเอกประยุทธ์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงเป็นไปได้ยาก แม้ว่าฝ่ายค้านจะได้รับการสนับสนุนการลงมติจากกลุ่มของนายธรรมนัส พรหมเผ่าก็ตาม

สัญญาณสำคัญทางการเมืองล่าสุดที่มีการเผยแพร่ออกมาจากพรรคการเมืองขนาดจิ๋วคือ การที่พลเอกประวิตรได้กล่าวกับพรรคการเมืองขนาดจิ๋วว่า จะยุบสภาฯหลังการประชุมเอเปกในเดือนพฤศจิกายนเพื่อเป็นของขวัญแก่ประชาชน

คำกล่าวนี้ มีนัยสองประการ ประการแรก คือเป็นการบ่งบอกว่า ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านในกลางปีนี้ รัฐบาลคงสามารถเอาชนะฝ่ายค้านได้เช่นเดิม ประการที่สอง พลเอกประวิตรจะให้การสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ถึงเพียงปลายปีนี้เท่านั้น หลังจากประชุมโอแปคจบก็ต้องยุบสภา นี่ดูเหมือนอาจเป็นผลมาจากการต่อรองระหว่างพลเอกประวิตรกับพลเอกประยุทธ์ก็ได้ หรือหากมิใช่การต่อรองกันมาก่อน ก็มีความเป็นไปได้ว่า พลเอกประวิตรต้องการส่งสัญญาณเพื่อสร้างแรงกดดันทางการเมืองแก่พลเอกประยุทธ์ว่าต้องยุบสภาตามที่กำหนด

พรรคขนาดจิ๋ว หรือแม้แต่ตัวนายธรรมนัส ก็เป็นตัวหมากในเกมอำนาจระหว่างระหว่างพลเอกประวิตรกับพลเอกประยุทธ์ อย่างไรก็ตาม ภาพปรากฎที่เราเห็นและวิเคราะห์จากข่าวที่ดูเหมือนว่ามีการสมานรักของ 2 ป. แล้ว เป็นความจริงเพียงส่วนเดียวเท่านั้น การเมืองไทยมีการเดินเกมในระดับลึกของบรรดา “ผู้เล่นที่มีอำนาจ” หลายชั้นหลายระดับ ภาพที่ปรากฎต่อสาธารณะเพื่อแสดงถึงความปรองดองและเจรจากันลงตัวแล้วระหว่างสอง ป. อาจเป็นภาพลวงตาที่แต่ละฝ่ายสร้างขึ้นมาเพื่อให้อีกฝ่ายตายใจ แต่เมื่อถึงเวลาจริง อาจมีสิ่งที่ “คาดไม่ถึง” เกิดขึ้นก็ได้

ความปรารถนาของการมีอำนาจมากขึ้นและมีตำแหน่งสูงขึ้น ไม่ใช่สิ่งที่ระงับได้ง่ายนักสำหรับผู้ที่สัมผัสกับอำนาจมาแล้ว และมีเงื่อนไขในการสร้างความเป็นไปได้อยู่ในมือ การอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน นอกจากเป็นการประลองกำลังทางการเมืองของรัฐบาลและฝ่ายค้านแล้ว ก็ยังเป็นเกมทางการเมืองของฝ่ายรัฐบาลด้วยกันเองอีกด้วย สถานการณ์ทางการเมืองในช่วงเดือนพฤษภาคมจึงยังเป็นเรื่องไม่แน่นอน และการเปลี่ยนแปลงก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้


กำลังโหลดความคิดเห็น