ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - หลังจิตแพทย์คนดังโพสเฟซบุ๊กดึงสติบรรดา “ร่างทรง – หมอผี” ให้หยุดเกาะกระแสการเสียชีวิตของนักแสดงสาวคนดัง “นิดา พัชรวีระพงษ์” หรือ “แตงโม” โดยแนะให้ท่านๆ ทั้งหลาย หาเวลาไปพบจิตแพทย์บ้าง เนื่องเพราะแสดงอากัปกิริยาไม่ให้เกียรติผู้เสียชีวิต ตลอดจนสร้างความกระทบกระเทือนจิตใจครอบครัวและคนใกล้ชิด จนต้องตั้งคำถามดังๆ อีกครั้งว่า ถึงเวลาจัดระเบียบกลุ่มคนที่หากินกับความไสยศาสตร์ความเชื่อในสังคมไทยได้หรือยัง?
กล่าวสำหรับการทรงเจ้าเข้าผี เป็นความเชื่อที่อยู่กับสังคมมาอย่างยาวนานซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของ วิญญาณหรือเทพต่างๆ และเชื่อหรือไม่ว่า มีข้อมูลรายงานด้วยว่า จำนวนร่างทรงในประเทศไทยนั้น มีจำนวนไม่น้อยกว่า 1 แสนคนและสร้างวงเงินหมุนเวียนในประเทศ ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาทกันเลยทีเดียว
ที่สำคัญคือ หากยังจำกันได้เคยมีการร้องเรียนเกี่ยวกับเรื่องถูกคนทรงเจ้าหลอกลวงปรากฏให้เห็นเป็นข่าวเป็นระยะๆ และหนึ่งในตัวอย่างที่ครึกโครมก็คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 2563 เมื่อเจ้าของธุรกิจทำหลังคา พร้อมสามี เดินทางเข้าร้องเรียนกับนายรณณรงค์ แก้วเพชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม หลังตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพอ้างตัวเป็นร่างทรง หลอกลงทุนสูญเงินกว่า 42 ล้านบาท พร้อมนำเอกสารหลักฐานมามอบให้ช่วยเหลือ ดำเนินคดีกับกลุ่มร่างทรงดังกล่าว
ทั้งนี้ หากวิเคราะห์ผ่านมุมมองเชิงจิตวิทยา พฤติกรรมการทรงเจ้าเข้าผีสะท้อนภาวะปัญหาสุขภาพจิตรุนแรงที่ยังไม่ถึงขั้นวิกลจริต เรียกว่าเป็นอาการ “ฮิสทีเรีย (Hysteria)” ประเภท “ดิสโซซิเอดีฟ (Dissociative)” เป็นอาการทางประสาท เป็นการแสดงออกของภาวะความเครียดความกดดันอย่างหนึ่ง จิตจึงทำการเปลี่ยนบุคลิกจากคนปกติธรรมดาไปเป็นอีกคนหนึ่ง ยิ่งบุคคลนั้นมีความเชื่อว่ามีผีสางหรือเทพเทวดาการสิงสู่ร่างกาย ก็จะสะกดจิตตัวเองแสดงอกทั้งทางอารมณ์และร่างกาย โน้มน้าวให้ผู้อื่นเชื่อไปด้วย
สำหรับ “หมอแอร์ - พ.ต.ท.หญิง พญ.อัญชุลี ธีระวงศ์ไพศาล” แพทย์ประจำกลุ่มงานจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเปิดประเด็น “แนะร่างทรงพบจิตแพทพย์ตรวจสุขภาพจิต” กรณีออกมาเกาะกระแสเรื่องนักแสดงสาวคนดังเสียชีวิตจะอุบัติเหตุพลัดตกเรือสปีดโบ๊ทนั้น ได้อธิบายการเข้าทรงไว้ความว่า เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลซึ่งมีพื้นฐานความเชื่อในเรื่องการทรงเจ้าเข้าผีอยู่แล้ว
หากถามว่า คนเป็นร่างทรงใช่คนป่วยทางด้านจิตเวชหรือไม่ ในทางจิตวิทยาระบุว่าบุคคลกลุ่มนี้คือคนที่มีอาการผิดปกติ ไม่เป็นตัวของตัวเองชั่วขณะ โดยจะรู้สึกเหมือนมีคนหรือมีอะไรบางอย่าง มารวมกับตัวเองถึงเรียกว่าสูญเสียความเป็นตัวเองชั่วขณะ และไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ อธิบายชัดๆ คืออาการเหล่านี้ถือว่าเป็นอาการ “ผิดปกติทางจิต”
ในประเด็นเดียวกันนี้ นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวร่างทรงไว้ความว่า ร่างทรงมี 3 ประเภท ได้แก่ 1. ร่างทรงแบบจิตใต้สำนึก คือมีตัวตนจริง 2. ร่างทรงแบบหลอกลวง และรู้ตัวดี ทำให้คนอื่นหลงเชื่อ และ 3. ร่างทรงแบบหลงผิด ป่วยด้วยอาการทางจิตหูแว่ว ประสาทหลอน หรือ ป่วยเป็นไบโพล่า โดยในแบบที่ 1 และ 3 แยกออกจากกันได้ยาก มีเพียงจิตแพทย์เท่านั้นที่แยกออก ลักษณะอาการเหล่าที่พบตั้งแต่ พูดเยอะ หลงผิด และมีพฤติกรรมทางจิตร่วม ส่วนในแบบที่ 2 หลอกลวง มีความชัดเจนในพฤติกรรม จงใจให้เกิดความหลงเชื่อ สร้างความเข้าใจผิด
ด้วยความเชื่อที่ฝังรากลึกในสังคมไทยบวกกับพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่เป็นคนเชื่อคนง่าย พร้อมที่จะเชื่อก็ทำให้ถูกหลอกได้ง่าย โดยสาเหตุส่วนหนึ่งเพราะขาดหลักยึดในจิตใจ ทำให้ขาดวิจารณญาณ ประกอบการตัดสินใจ รวมทั้ง สื่อที่ช่วยกันประโคมข่าวทำให้เกิดความหลงเชื่อหลงผิดในสังคม
แม้จะสังคมได้เรียนรู้เรื่องร่างทรงที่ข้องเกี่ยวกับการหลอกหลวงและอาการทางจิต แต่ยังมีปัจจัยที่ทำให้ร่างทรงอาชีพประสบความสำเร็จ ต้องยอมรับว่าคนกลุ่มนี้เข้าใจโครงสร้างของสังคมไทย เข้าใจถึงปัญหาต่างๆ สร้างคุณลักษณะพิเศษคาดเดาทำนายสถานการณ์ท่ามกลางความตึงเครียด อาจถูกบ้างผิดบ้าง แต่มีไหวพริบลื่นไหล หวาดล้อมสร้างแรงจูงใจให้เกิดความเชื่อได้อย่างน่าเชื่อถือ
ผศ.ดร.วุฒิพงศ์ ถายะพิงค์ นักส่งเสริมสุขภาพจิตและนักพัฒนาคุณภาพมนุษย์แบบสหศาสตร์ประธานสถาบันพัฒนาคุณภาพมนุษย์ Wuttipong Academy Bangkok และกรรมการบริหารมูลนิธิสงเคราะห์ผู้ป่วยจิตเวชโรงพยาบาลสวนปรุง อธิบายเกี่ยวร่างทรงกับสภาวะทางสุขภาพจิต และบทบาทหน้าที่ทางสังคม ความว่า
“ในทางจิตวิทยา (psychology) และจิตเวชศาสตร์นั้นอธิบายไว้ว่า ร่างทรงคือ ผู้ที่มีบุคลิกภาพหลายแบบ (multiple personality) ซึ่งในแต่ละแบบอาจแสดงออกแตกต่างกันขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ต่างๆที่มากระตุ้นเร้า ซึ่งจะแสดงออกและสื่อสารที่แตกต่างออกไปจากบุคลิกภาพแบบถาวรของเขา และสาเหตุอาจเกิดจากการเลี้ยงดูและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ถูกบีบคั้นหรือรุนแรงหรือละเลยในรูปแบบต่างๆ จนอาจส่งผลต่อการปรับตัวหรือรับมือต่อสถานการณ์ต่างๆ ในชีวิตที่แตกต่างกันหลากหลายรูปแบบนั่นเอง
“แต่สำหรับร่างทรงที่สามารถทำหน้าที่ตามวัยของชีวิตได้ เปี่ยมคุณธรรมและจริยธรรม มีจิตใจเมตตากรุณาและมีจิตสำนึกสาธารณะสูง พร้อมทั้งรับผิดชอบต่อตนเองครอบครัวและสังคมได้เป็นอย่างดี ทั้งยังไม่สร้างความเดือดร้อนให้ตนเองและผู้อื่น เขาเหล่านั้นก็คือบุคคลคุณภาพของสังคมอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่ช่วยสานสัมพันธ์ทางสังคมและส่งเสริมสุขภาพจิตแก่คนในชุมชนให้มีความมั้นคงทางจิตใจได้เป็นอย่างดี ซึ่งก็พบอยู่ไม่น้อยในสังคมปัจจุบัน”
และข้อเท็จจริงประการหนึ่ มีอดีตร่างทรงจำนวนไม่น้อยเปลี่ยนสถานะเป็นคนไข้โรงพยาบาลจิตเวช ซึ่งการป่วยทางจิตใจเกิดได้และพบได้ในทุกเพศทุกวัยทุกสาขาอาชีพไม่ใช่เฉพาะร่างทรง
สำหรับในเรื่องของการจัดระเบียบร่างทรง ต่างประเทศในประเทศมีการจัดระเบียบร่างทรง ส่วนในประเทศไทยนั้นทำได้ยาก ด้วยเป็นเรื่องสิทธิเสรีภาพด้านความเชื่อ ซึ่งก็ควรมีการตรวจสอบร่างทรงประเภทที่โอ้อวดแสดงอิทธิฤทธิ์ รวมทั้ง เรียกรับทรัพย์จากคนที่มีความเชื่อศรัทธา เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าประเด็นนี้คาบเกี่ยวกับการหลอกลวง
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “ความเชื่อเรื่องร่างทรง ของคนไทย ในยุค 4.0” ในช่วงปี 2561 แม้ผ่านมา 4 ปี แต่ยังสะท้อนปัญหาร่างทรงได้เป็นอย่างดี โดยโพลดังกล่าวพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 60.88 เรียกร้องให้มีการจัดระเบียบร่างทรง เพราะจะได้เป็นระเบียบ เป็นที่ยอมรับและถูกกฎหมาย และประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 74.64 ระบุว่า ไม่เชื่อเรื่องร่างทรง เพราะศาสนาไม่ได้สอนให้เชื่อเรื่องร่างทรง เป็นการจินตนาการ งมงาย หลอกลวง ไร้สาระ และไม่สามารถพิสูจน์ได้
นอกจากนี้ ความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการออกกฎหมายเอาผิดกับร่างทรงที่เรียกรับเงิน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ ร้อยละ 77.12 ระบุว่า เห็นด้วย เพราะลดการหลอกลวงและความเชื่องมงายที่ไม่มีอยู่จริง ให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ที่ถูกหลอกลวง
อ้างอิงบทความเรื่อง “ร่างทรง และ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องในสังคมยุค 4.0” โดย ดร.ณัชชา สุขะวัธนกุล คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ระบุตอนหนึ่งความว่า การกระทำการเป็นร่างทรงกับประเด็นทางกฎหมายในเมืองไทยเป็นประเด็นที่ละเอียดอ่อน เนื่องจากเกี่ยวพันกับความเชื่อและจิตใจ
“การมีความเชื่อนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ผิดอีกทั้งเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละบุคคล แต่ถ้าหากว่าความเชื่อนั้นก่อให้เกิดปัญหาและทำให้บุคคลใดเดือดร้อนหรือเกิดความเสียหาย การถูกหลอกลวง หรือฉ้อโกง”
ดังนั้น การรักษามาตรฐานให้สังคม ผู้รักษากฎระเบียบ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ หรือนักกฎหมายอาจจำเป็นต้องบังคับใช้ และสร้างเครื่องมือทางกฎหมายขึ้นมาเพื่อลงโทษ และเอาผิดกับความเชื่อหรือบุคคลที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนหรือเสียหาย
“ยกตัวอย่างถึงการกำกับดูแลความเชื่อในเรื่องนี้ในประเทศสหราชอาณาจักร ผ่านมุมมองทางกฎหมาย ภายใต้กฎหมาย The Witchcraft Act (9 Geo. 2 c. 5), Kingdom of Great Britain in 1735 ตราโดยรัฐสภาแห่งราชอาณาจักรบริเตนใหญ่ในปี ค.ศ. 1735 ทำให้เกิดการจำกัดอาชญากรรมและการกระทำความผิดที่บุคคลจะอ้างว่า มนุษย์มีอำนาจวิเศษหรือมีพลังในการปฏิกรรมคาถา ศึกษาเวทมนต์หรือแก้ปัญหารักษาโรค ผ่านความเชื่อเรื่องร่างทรง (The Medium) กฎหมายได้ยกเลิกบทลงโทษรุนแรงในยุคการล่าแม่มดและโทษประหารชีวิตผู้ถูกกล่าวหา โดยกำหนดบทลงโทษสูงสุดตามพระราชบัญญัตินี้ให้มีโทษจำคุกหนึ่งปี ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการพิจารณาคดีแม่มดในยุคสมัยใหม่ และยกเลิกพระราชบัญญัติคาถาแม่มดก่อนหน้านี้ซึ่งเดิมมีพื้นฐานมาจากการไม่ยอมรับการใช้เวทมนตร์ที่ขัดแย้งกับหลักศาสนาคำสอนของศาสนจักร”
“นอกเหนือจากนี้ยังมีบทบัญญัติอย่างเช่น The Scottish Witchcraft Act หรือ REPUBLIC OF ZAMBIA, THE WITCHCRAFT ACT, CHAPTER 90 OF THE LAWS OF ZAMBIA ซึ่งมีแนวความคิดทางกฎหมายเกี่ยวกับการควบคุมประเด็นเรื่องร่างทรง โดยการตราพระราชบัญญัติกำหนดบทลงโทษสำหรับการปฏิบัติเวทมนตร์คาถา และจัดให้มีความผิด ที่เกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกันกับไสยศาสตร์ร่างทรงขึ้นมาโดยจัดการระบบฐานความผิดและการกำหนดโทษให้ชัดเจน รวมถึงพระราชบัญญัติปราบปรามการใช้เวทมนต์คาถาแห่งแอฟริกาใต้ พ.ศ. 2500 ซึ่งยังคงมีผลบังคับใช้อยู่ก็มีพื้นฐานมาจากกฎหมายในศตวรรษที่ 19 ที่คล้ายคลึงกันอันมีพื้นฐานมาจากพระราชบัญญัติดังกล่าวด้วยเช่นเดียวกัน”
สำหรับประเทศไทย ดร.ณัชชาให้ข้อมูลว่า ปัจจุบันยังไม่มีกฎหมายที่สามารถจัดการกับร่างทรงที่เข้าข่ายการกระทำความผิดอาญาได้โดยตรง ทำได้เพียงนำกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันมาปรับใช้ ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา ลักษณะ 4 ความผิดเกี่ยวกับศาสนา อาทิเช่น มาตรา 208 ผู้ใดแต่งกายหรือใช้เครื่องหมายแสดงว่าเป็นนักบวชในศาสนาใดโดยมิชอบ
กล่าวคือในบางเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีมิจฉาชีพที่หลอกลวงบุคคลที่ศรัทธาในศาสนาและแต่งกายเป็นนักบวชหรือพระภิกษุหลอกให้ทำบุญโดยเรียกเอาเป็นเงินหรือทรัพย์สิน มาตรา 271 ผู้ใดขายของโดยหลอกลวงด้วยประการใด ๆ ให้ผู้ซื้อหลงเชื่ออันเป็นเท็จ เช่น การที่ไปขอติดต่อร่างทรงหรือผู้ที่แอบอ้างตนว่าเป็นร่างทรงนั้น หลอกขายวัตถุที่อ้างว่าเป็นวัตถุมงคลซึ่งการกระทำนี้ก็เข้าข่ายการกระทำความผิดฐานหลอกลวงด้วยเช่นเดียวกัน
ในส่วนของมาตรา 284 ผู้ใดพาผู้อื่นไปเพื่อการอนาจารนั้น กฎหมายข้อนี้อาจเข้ามาเกี่ยวข้องเพราะหลายครั้งการที่บุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นร่างทรงได้ทำการหลอกลวงคนไปเพื่อทำอนาจารนั้นมีความผิด โดยเจตนาคือหลอกลวงเพื่อการกระทำนั้น ด้านความผิดฐานฉ้อโกงมาตรา 341 และมาตรา 342 การหลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ บทบัญญัตินี้อาจจะครอบคลุมการมีอยู่ของร่างทรงทั้งหมด เพราะส่วนใหญ่แล้วเจตนาการหลอกลวงและทำให้เสียทรัพย์นั้นมีอยู่ให้เห็นได้ชัด
นอกจากนั้น ที่ต้องตั้งคำถามคือ บทบาทของ “หมอดู – นักโหราศาสตร์” ที่มักถือวิสาสะพยากรณ์ดวงชะตาคนดัง ล่าสุดที่ออกมา “โหนคดีแตงโม” กรณีนักแสดงสาวชื่อดัง เหมาะสมแล้วหรือที่นำดวงชะตาผู้เสียชีวิต มาทำนายทายทัก “เกาะกระแส” หรืออ้างว่าเห็นวิญญาณร้องขอความช่วยเหลือ เป็นพฤติกรรมไม่ต่างจากการเหยียบย่ำซ้ำเติม ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็ควรให้เกียรติและเห็นใจเพื่อนมุษย์ด้วยกันบ้าง
กระนั้นก็ดี คงต้องติดตามว่าภาครัฐซึ่งมองเห็นปัญหามาโดยตลอด จะออกแอ็กชันอย่างไร จะมีกฎระเบียบหรือมาตรการรองรับการกระทำผิดของกลุ่มคนที่หากินกับความเชื่อหรือไม่ อย่างไร !?


