xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

โหดสัส “รัสเซีย” ผ่าเกม ‘ปูติน’ บุก ‘ยูเครน” จุดเปลี่ยนมหาอำนาจโลก-ฉุดเศรษฐกิจดิ่งเหว

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับเป็นวิกฤตการณ์ที่สร้างความวิตกกังวลทั่วโลก เมื่อประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียเซ็นคำสั่งเริ่มต้นปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนตะวันออกในช่วงเช้ามืดของวันที่ 24 ก.พ. หลังจากที่ได้ประกาศรับรองความเป็น “รัฐอิสระ” ให้แก่ 2 แคว้นกบฏยูเครนไปแล้วก่อนหน้า ขณะที่สหรัฐฯ และชาติพันธมิตรแห่ตอบโต้ด้วยมาตรการคว่ำบาตร พร้อมเตือน ปูติน ต้องรับผิดชอบการกระทำซึ่งอาจจุดชนวนสงครามเต็มขั้นในยุโรป 

อย่างไรก็ดี ดูเหมือนว่า การก่อสงครามของรัสเซียครั้งนี้ มิได้มีความหมายที่ขีดวงอยู่แค่เฉพาะ “รัสเซีย-ยูเครน” หรือ “รัสเซีย-ยุโรป” หากแต่สั่นสะเทือนไปถึงพรหมแดนแห่งความเป็น “มหาอำนาจโลก” ซึ่งมี “สหรัฐอเมริกา รัสเซียและจีน” เป็นผู้นำ เพราะต้องไม่ลืมว่า นับแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตในปี พ.ศ. 2534 ดุลอำนาจของโลกก็ตกอยู่ในมือของ “สหรัฐอเมริกา” แต่เพียงประเทศเดียวมาเป็นเวลา 3 ทศวรรษ ขณะที่จีนเองในช่วงหลังๆ ก็ขยายแสนยานุภาพออกไปในทุกมิติเช่นกัน

ด้วยเหตุดังกล่าว การบุกยูเครนของรัสเซียในวันที่ 24 ก.พ.2565 จึงอาจถือได้ว่าเป็น  จุดเปลี่ยนมหาอำนาจโลก”  ที่มี 3 ประเทศคือ “สหรัฐฯ รัสเซียและจีน” ยืนอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน โดยเฉพาะรัสเซียนที่แสดงให้เห็นว่า ไม่กลัวใครเช่นกัน

ขณะเดียวกันผลพวงของสงครามในครั้งนี้ยังส่งผลกระทบต่อ “เศรษฐกิจโลก”  ที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัวจากแพร่ระบาดของโควิด-19 ให้ทรุดหนักลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็น “ตลาดหุ้น” ที่ร่วงกราวรูด พร้อมๆ กับ “คริปโตเคอเรนซี่” สวนทางกับ “ราคาน้ำมัน” ที่คาดหมายกันว่าจะเข้าขั้น “แพงหูฉี่” เลยก็ว่าได้

 ย้อนรอยก่อนสงคราม “รัสเซีย-ยูเครน”
และความสำคัญของ “ภูมิภาคดอนบาสส์” 


สถานการณ์ในยูเครนเริ่มทวีความร้อนระอุมาตั้งแต่ช่วงเดือน พ.ย. ปีที่แล้ว หลังจากสหรัฐฯ แจ้งว่าพบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของทหารรัสเซียใกล้พรมแดนยูเครน โดยในช่วงวันที่ 28 พ.ย. รัฐบาลยูเครนระบุว่ามีทหารรัสเซียเข้ามาตรึงกำลังอยู่มากเกือบ 92,000 นาย และทำนายว่าจะมี  “ปฏิบัติการรุกราน”  เกิดขึ้น ไม่ช่วงปลายเดือน ม.ค. ก็ต้นเดือน ก.พ.

รัสเซียออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้มีแผนโจมตียูเครน ซ้ำยังกล่าวหารัฐบาลเคียฟว่าเป็นฝ่ายเสริมกำลังทหารเสียเอง ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต)  “ให้การรับรองทางกฎหมาย”  ว่าจะไม่รับยูเครนเข้าเป็นสมาชิกเด็ดขาด รวมถึงหยุดแผ่สยายอิทธิพลทางทหารมาทางตะวันออกด้วย

 สหรัฐฯ ย้ำเตือนมานานหลายสัปดาห์ว่า “รัสเซียอาจบุกยูเครนได้ทุกเมื่อ” ขณะที่กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยว่า 40% ของทหารรัสเซีย 150,000 นายที่ตรึงกำลังอยู่บริเวณพรมแดนยูเครนอยู่ในสภาวะ “พร้อมโจมตี” และหากนับรวมกองกำลังของกบฏยูเครนด้วย เท่ากับว่ารัสเซียมีทหารปิดล้อมยูเครนอยู่ถึง 190,000 นาย 

หลังเกิดการยิงปะทะอย่างหนักบริเวณพื้นที่แนวหน้าระหว่างกองทัพยูเครนกับฝ่ายกบฏในภาคตะวันออก ผู้นำกบฏยูเครนได้มีคำสั่งเมื่อวันที่ 18 ก.พ. ให้ประชาชนราว 700,000 คนอพยพข้ามไปยังรัสเซียตอนใต้ ก่อนจะมีการเรียก “ระดมพล”  ในภูมิภาคโดเนตสค์ (Donetsk) และลูกานสค์ (Luhansk) อย่างเต็มรูปแบบ

 ทั้งนี้ กลุ่มแบ่งแยกดินแดนโดเนตสค์และลูกานสค์ หรือที่เรียกรวมกันว่า “ดอนบาสส์” นั้นได้ประกาศแยกตัวจากรัฐบาลยูเครนตั้งแต่ปี 2014 รวมทั้งตั้งตนเป็น “สาธารณรัฐประชาชน” ทว่านานาชาติรวมถึงรัสเซียเองยังไม่ได้ให้การรับรองมาก่อน 

ความน่าสนใจอีกประการของ “โดเนตสก์และลูฮันสก์” ก็คือเป็นพื้นที่ที่ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อชาติรัสเซียและพูดภาษารัสเซียเป็นหลัก แต่ต้องมาอยู่กับอูเครนหลังจากสหภาพโซเวียตล่มสลายเมื่อ พ.ศ.2534 หลังจากนั้นอีก 23 ปี ก็ประกาศเอกราช ประกาศตัวเป็นสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ และสาธารณรัฐประชาชนลูฮันสค์ รัฐบาลยูเครนไม่ยอมรับและรบพุ่งกันมาตลอด เคยเป็นที่รู้จักในฐานะยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมของยูเครน ด้วยการเป็นแหล่งทำเหมืองและแหล่งผลิตเหล็ก เช่นเดียวกับมีถ่านหินสำรองมหาศาล

กลุ่มควันสีดำพวยพุ่งขึ้นจากสนามบินทหารใกล้ๆ เมืองคาร์คีฟ (Kharkiv) ของยูเครน หลังจากที่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการโจมตี (เอเอฟพี)

ประชาชนในกรุงเคียฟพากันเดินทางออกนอกเมืองหลวงเพื่อหนีการโจมตีของรัสเซีย จนทำให้รถติดเป็นระยะทางยาวหลายกิโลเมตร เมื่อวันที่ 24 ก.พ.

เศษขีปนาวุธที่ถูกยิงมาตกในพื้นที่กรุงเคียฟ หลังจากประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน มีคำสั่งให้กองทัพรัสเซียเปิดปฏิบัติการพิเศษทางทหารในยูเครนตะวันออก เมื่อวันที่ 24 ก.พ.

ขบวนรถบรรทุกและรถบัสทหารรัสเซียจอดอยู่ริมถนนสายหนึ่งในภูมิภาครอสตอฟ (Rostov) ทางตอนใต้ของแดนหมีขาว ซึ่งอยู่ติดกับพรมแดนสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.

ยานพาหนะทหารของรัสเซียถูกขนมาบนแพลตฟอร์มขบวนรถไฟ ห่างจากชายแดนสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์เพียงราวๆ 50 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 23 ก.พ.

ยานพาหนะทหารของรัสเซียถูกขนมาบนแพลตฟอร์มขบวนรถไฟ ห่างจากชายแดนสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์เพียงราวๆ 50 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 23 ก.พ.

กลุ่มผู้สนับสนุนยูเครนในกรุงปรากของสาธารณรัฐเช็กชูป้ายประณามประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซียเป็น “ฆาตกร”
จุดพลิกผันครั้งใหญ่ของปัญหายูเครนเกิดขึ้นหลังจากที่ ปูติน จรดปากกาลงนามในกฤษฎีการับรอง 2 แคว้นทางตะวันออกของยูเครนที่แยกตัวออกจากกรุงเคียฟว่ามีฐานะเป็นรัฐอิสระเมื่อวันจันทร์ (21) โดยไม่สนใจคำขู่แซงก์ชั่นและคำเตือนของฝ่ายตะวันตกที่ว่าการทำเช่นนี้ผิดกฎหมาย และถือเป็นการบ่อนทำลาย  “ข้อตกลงกรุงมินสก์”  ซึ่งเป็นกระบวนการสันติภาพระหว่างยูเครนกับกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน

ผู้นำรัสเซียยังได้ปราศรัยทางโทรทัศน์นานเกือบ 1 ชั่วโมงเมื่อค่ำวันจันทร์ (21) โดยเนื้อหาส่วนใหญ่พุ่งเป้าโจมตียูเครน ทั้งในเรื่องที่พวกนีโอนาซีกำลังเรืองอำนาจ กลุ่มแก๊งคณาธิปไตยผูกขาดเศรษฐกิจการเมืองกำลังแพร่กระจายไปทั่ว และยังเรียกยูเครนว่าเป็น  “อาณานิคมของสหรัฐฯ ที่มีระบอบปกครองหุ่นเชิด” 

ปูติน สาวย้อนประวัติศาสตร์ไปไกลถึงยุคจักรวรรดิออตโตมัน และวิจารณ์การขยายอิทธิพลมาทางตะวันออกของนาโต ซึ่งเป็นประเด็นที่มอสโกคับข้องใจมากที่สุดในปัจจุบันนี้ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า  “คิดมานานแล้ว”  ว่ารัสเซียจำเป็นจะต้องประกาศรับรองเอกราชให้แก่สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ (DNR) และสาธารณรัฐประชาชนลูกานสค์ (LNR)

 ปูติน ชี้ว่าจริงๆ แล้วยูเครนไม่เคยมีธรรมเนียมของการเป็น “รัฐอิสระ” อย่างแท้จริง และถูกสร้างขึ้นโดย วลาดิมีร์ เลนิน ผู้ก่อตั้งรัฐโซเวียต ซึ่งเป็นทัศนะที่เขาเคยอ้างมาแล้วก่อนหน้านี้ และถูกรัฐบาลเคียฟตอบโต้ว่าเป็นมุมมองประวัติศาสตร์แบบ “เข้าข้างตัวเอง” 

ผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียมองว่า ถ้อยแถลงของ ปูติน สะท้อนเจตนาที่จะอ้างความชอบธรรมให้แก่ปฏิบัติการรุกรานยูเครนซึ่งอาจจะมีขึ้นในอนาคต หลังจากที่มอสโกได้ยึด  “แหลมไครเมีย” ไปจากเคียฟสำเร็จมาแล้วเมื่อ 8 ปีก่อน

“เขาได้ตั้งคำถามถึงสิทธิ์ในการเป็นรัฐเอกราชของยูเครน และยังประกาศว่ามันคือความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ เป็นอุบัติเหตุทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้ยูเครนยังดำรงอยู่จนถึงทุกวันนี้” เกอร์ฮาร์ด มันก็อตต์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัยอินน์สบรุกในออสเตรีย ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้เชี่ยวชาญด้านรัสเซียที่มีโอกาสได้เข้าพบ ปูติน เป็นประจำทุกปี ระบุ

“ดังนั้น จึงเป็นไปได้ที่เขาอาจมีความมุ่งหวังสูงสุดในการทำลายรัฐยูเครน หรืออย่างน้อยก็ทำให้ยูเครนถูกแยกออกเป็น 2 ส่วน” โดยหมายถึงการแยกยูเครนตะวันออกออกมาเป็นรัฐอิสระที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของรัสเซีย

ต่อมาในวันอังคาร (22) สภาสหพันธรัฐ (Federation Council) ซึ่งมีฐานะเทียบเท่าวุฒิสภาของรัสเซีย ลงมติเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ให้ ปูตินสามารถส่ง  “กองกำลังรักษาสันติภาพ” เข้าประจำการยัง 2 แคว้นกบฏในยูเครนตะวันออกได้

 ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน  เปิดการแถลงข่าวทางโทรทัศน์ช่วงกลางดึกวันเดียวกัน โดยประณามรัสเซียว่าบ่อนทำลายกระบวนการสร้างสันติภาพ พร้อมประกาศกร้าวว่ายูเครนจะไม่ยอมอ่อนข้อยกดินแดนส่วนไหนให้แก่มอสโกอีก

“เรามุ่งมั่นที่จะใช้แนวทางการทูตและการเจรจาอย่างสันติ เราจะยังคงยึดมั่นแนวทางนี้ต่อไป” ผู้นำยูเครนกล่าว “แต่นี่คือแผ่นดินของเรา เราไม่กลัวใครหรืออะไรทั้งนั้น เราไม่ได้เป็นหนี้บุญคุณใคร และเราจะไม่ยอมยกสิ่งใดให้ใครเด็ดขาด” เซเลนสกี กล่าว

สหรัฐฯ วิจารณ์ข้ออ้างของรัสเซียในการส่งทหารเข้ารักษาสันติภาพในโดเนตสค์และลูกานสค์ว่าเป็นเรื่อง “ไร้สาระ” และชี้ว่ามอสโกมีเจตนาสร้างบริบทเพื่อนำไปสู่สงคราม ขณะที่ อันโตนีโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการแห่งสหประชาชาติ ระบุคล้ายๆ กันว่า การที่รัสเซียส่งทหารเข้าไปในยูเครนตะวันออกไม่ใช่ “ภารกิจรักษาสันติภาพ” พร้อมทั้งปฏิเสธข้ออ้างของ ปูติน ที่ว่ามีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (genocide) คนเชื้อสายรัสเซียที่นั่น

 คว่ำบาตรเศรษฐกิจสะเทือนยุโรป-สหรัฐฯ กระทบจิ๊บๆ
 
ความเคลื่อนไหวของมอสโกกระตุ้นให้ชาติตะวันตกต้องงัดมาตรการตอบโต้ทันที โดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ ได้ลงนามคำสั่งบริหาร ห้ามมิให้พลเมืองหรือภาคธุรกิจของสหรัฐฯ เข้าไปลงทุน ทำการค้า หรือให้การสนับสนุนเงินทุนใหม่ๆ ต่อภูมิภาคที่เรียกตัวเองว่าสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ และสาธารณรัฐประชาชนลูกานสค์ และยังประกาศคว่ำบาตรธนาคาร VEB และธนาคาร Promsvyazbank ซึ่งเป็นธนาคารทหารของรัสเซียที่ทำธุรกรรมด้านกลาโหม รวมถึงสั่งคว่ำบาตรเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียและสมาชิกในครอบครัวด้วย

ผู้นำสหรัฐฯ ยังสั่งการให้กองกำลังอเมริกันในยุโรปเคลื่อนพลและอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติมเข้าไปยังเอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย เพื่อเสริมความเข้มแข็งแก่ประเทศเหล่านี้ พร้อมเอ่ยสำทับว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรไม่มีเจตนาที่จะสู้รบกับรัสเซีย แต่ก็พร้อมที่จะปกป้องดินแดนทุกตารางนิ้วของกลุ่มนาโต

สำนักข่าวทาสส์นิวส์ของรัสเซียอ้างข้อมูลจากธนาคาร Promsvyazbank ซึ่งระบุว่า การคว่ำบาตรของตะวันตกจะไม่ส่งผลกระทบมากนัก เนื่องจากทางธนาคารได้มีมาตรการป้องกันเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่ไม่เปิดเผยว่าคืออะไร ขณะที่รอยเตอร์อ้างข้อมูลจากสถาบันจัดอันดับเรตติ้ง ACRA ของรัสเซียซึ่งประเมินว่า สถาบันการเงินต่างๆ ของรัสเซียมีการนำเข้าธนบัตรต่างประเทศมากถึง 5,000 ล้านดอลลาร์ในเดือน ธ.ค. ปีที่แล้ว เพิ่มขึ้นจากระดับ 2,650 ดอลลาร์สหรัฐในปีก่อนหน้า ซึ่งดูคล้ายจะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการถูกคว่ำบาตร

สหราชอาณาจักรประกาศแซงก์ชันสถาบันการเงินเอกชน 5 แห่งของแดนหมีขาว รวมถึงธนาคารรอสสิยาซึ่งรัฐบาลอังกฤษระบุว่าเป็นของกลุ่มมหาเศรษฐีที่มีความใกล้ชิดกับ ปูติน ขณะที่เยอรมนีสั่งระงับโครงการท่อส่งก๊าซ “นอร์ด สตรีม 2”  ซึ่งเป็นโครงการที่เผชิญเสียงคัดค้านจากทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ และหลายประเทศในยุโรปมานานหลายปีแล้ว เนื่องจากเกรงกันว่ามันจะทำให้รัสเซียยิ่งมีอำนาจต่อรองกับยุโรปมากขึ้นไปอีก

 โครงการท่อส่งก๊าซมูลค่า 11,000 ล้านดอลลาร์นี้คาดว่าจะสามารถลำเลียงก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียเข้าสู่ยุโรปได้มากถึง 55,000 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี และสร้างรายได้นับหมื่นๆ ล้านดอลลาร์ให้แก่รัฐวิสาหกิจ “ก๊าซพรอม” ของแดนหมีขาว 

สหภาพยุโรปได้อนุมัติมาตรการแซงก์ชันต่อสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัสเซียทุกคนที่โหวตรับรองเอกราชให้แก่ 2 แคว้นกบฏยูเครน โดยบุคคลเหล่านี้จะถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเดินทางเข้ายุโรป รวมถึงถูกอายัดทรัพย์สินด้วย

แคนาดา,ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย ต่างแถลงมาตรการลงโทษต่อรัสเซียเช่นกัน ทว่าบทลงโทษที่นานาชาติประกาศออกมาจนถึงขณะนี้ยังไม่มีสักข้อที่พุ่งเป้าเล่นงาน “ปูติน” โดยตรง หรือเป็นที่คาดการณ์ได้ว่าจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อมอสโกได้ในระยะกลาง (medium-term)

 ด้านมหาอำนาจฝั่งตะวันออกอย่าง “จีน” ออกมาย้ำว่า การคว่ำบาตร “ไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา” พร้อมเรียกร้องให้ทุกฝ่ายพยายามแก้ไขวิกฤตด้วยการเจรจา ให้ความสำคัญกับความกังวลด้านความมั่นคงโดยชอบธรรมของกันและกัน และร่วมกันรักษาสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค ขณะที่ หัว ชุนอิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าวหาสหรัฐฯ ว่ากระพือสถานการณ์ให้ตึงเครียดยิ่งขึ้นด้วยการส่งอาวุธให้ยูเครน แต่กลับโยนบาปให้ประเทศอื่น ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ไร้ศีลธรรมและไร้ความรับผิดชอบ อีกทั้งยังทำให้ผู้คนแตกตื่นกับวิกฤตยูเครน 

 พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์สถานการณ์เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า สมรภูมิสำคัญนอกจากกำลังทหาร คือสมรภูมิด้านเศรษฐกิจ ที่สหรัฐฯ และยุโรปประกาศกร้าวว่าจะลงโทษรัสเซียอย่างสาหัส โดยมีเครื่องมือสำคัญอย่างการตัดระบบธนาคารของรัสเซียจากตลาดการเงินโลก การห้ามซื้อพันธบัตรของรัฐบาลรัสเซีย การแช่แข็งบัญชีการเงินของบุคคลสำคัญของรัสเซีย การไม่ขายเทคโนโลยีสำคัญให้รัสเซีย เพื่อตัดเส้นทางการเงินที่สนับสนุนการทำสงคราม และคว่ำบาตรธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับรัสเซีย

แต่เครื่องมือที่น่าจะมีผลสำคัญมากคือการห้ามค้าขายกับรัสเซีย เพื่อบีบเศรษฐกิจรัสเซียให้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทว่า กลายเป็นวิธีที่ยุโรปกลัวที่สุด เพราะหยิกเล็บก็เจ็บเนื้อ โดนผลกระทบเต็มๆ แต่สหรัฐฯ ลอยตัวเพราะผลกระทบน้อยมาก ยกเว้นเรื่องเงินเฟ้อ

รัสเซียเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดประเทศหนึ่งในโลก (ส่วนใหญ่ส่งผ่านท่อไปขายยุโรป) เป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันอันดับสองรองจากซาอุดิอาระเบีย ผู้ผลิตถ่านหินอันดับต้นๆ และยังเป็นผู้ขายสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญๆอย่าง Palladium Platinum Aluminum ทองแดง แร่เหล็ก สินค้าเกษตรอย่างข้าวสาลี และสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ การตัดรัสเซียออกจากตลาดโลก แม้จะบีบรัสเซียได้ แต่ก็หมายถึงการตัดอุปทานของน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และโลหะต่างๆ ปริมาณมหาศาล ซึ่งหมายความถึงราคาที่จะพุ่งขึ้นอย่างมหาศาล และเกิดการขาดแคลน มีปัญหา supply disruption แน่ๆ ในวันที่เงินเฟ้อเป็นปัญหาของโลกอยู่แล้ว

แน่นอนว่ารัสเซียก็รู้ถึงจุดนี้ และกำลังวางเดิมพันว่าชาติตะวันตกคงไม่กล้าบีบรัสเซียหนัก หรือรัสเซียคงวางทางหนีที่ไล่ไว้แล้ว

พิพัฒน์วิเคราะห์ย้อนไปในปี 2014 ที่รัสเซียยึด Crimea ด้วยว่า ณ เวลานั้นค่าเงินของรัสเซียอ่อนจากสามสิบกว่ารูเบิลต่อดออลาร์ เป็นหกสิบกว่าในเวลาไม่กี่เดือน แน่นอนว่ากระทบต่อเศรษฐกิจและค่าครองชีพของคนรัสเซียอย่างมหาศาล (นึกภาพต้มยำกุ้ง) ถ้าจำได้ตอนนั้นทำเอาคนรัสเซียหายไปจากพัทยาเกือบหมด แต่รอบนี้รัสเซียน่าจะพร้อมกว่ารอบก่อน ในเรื่องเศรษฐกิจ ทั้งเงินสำรอง หนี้ต่างประเทศ และทางหลบภัย

“หลังจากปูตินประกาศบุกเราก็เห็นค่าเงินรูเบิลอ่อนค่าไปเกือบเก้าสิบแล้ว ตลาดหุ้นร่วงไป 30% แล้ว คงต้องเดิมพันกันว่า ในสมรภูมิเศรษฐกิจ ใครจะทำความเสียหาย และทนได้มากกว่ากัน ในวันที่ธนาคารกลางส่วนใหญ่ยิงกระสุนไปหมดแม็กแล้วด้วย และหลังจากออกตัวแรง เริ่มยิงกันแล้ว ยุโรปจะกล้าตัดรัสเซียออกจากตลาดโลกหรือไม่”พิพัฒน์ให้ความเห็น

นักเคลื่อนไหวและชาวอเมริกันเชื้อสายยูเครนมาชุมนุมที่ด้านนอกสำนักงานใหญ่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อวันที่ 17 ก.พ. เพื่อเรียกร้องให้นานาชาติยับยั้งปฏิบัติการคุกคามยูเครนโดยรัสเซีย



สาธารณรัฐประชาชนโดเนตสค์ (DNR) และสาธารณรัฐประชาชนลูกานสค์ (LNR) ที่ปูตินประกาศรับรองเอกราช

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย
เปิดปฏิบัติการทหารถล่มยูเครน

แสดงแสนยานุภาพขั้นสุด


ในวันพุธที่ 23 ก.พ. รัฐบาลยูเครนได้ประกาศ  “สถานการณ์ฉุกเฉิน”  เป็นเวลา 30 วัน และเตือนให้พลเมืองยูเครนรีบเดินทางออกจากรัสเซียโดยด่วน อีกทั้งยังมีคำสั่งให้พลเมืองชายซึ่งอยู่ในวัยที่สามารถจับอาวุธสู้รบได้ ต้องเข้ารับการฝึกเพื่อรับใช้ชาติ ขณะที่รัสเซียก็มีการอพยพเจ้าหน้าที่ออกจากสถานทูตประจำกรุงเคียฟ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่เพิ่มความหวั่นวิตกว่าจะเกิดสงครามขึ้น

 จากนั้นสัญญาณการปะทุของสงครามได้เริ่มขึ้นในเช้าวันพฤหัสบดี (24) เมื่อประธานาธิบดี ปูติน เซ็นคำสั่งเริ่มต้นปฏิบัติการพิเศษทางทหารในภูมิภาคดอนบาสส์ (Donbass) ของยูเครน พร้อมเตือนให้ทหารยูเครน “วางอาวุธ” และถอนกำลัง “กลับบ้าน” ไปเสีย 

ระหว่างการแถลงข่าวผ่านสถานีโทรทัศน์แห่งชาติ ปูติน ยังคงย้ำจุดยืนเดิมว่าการแผ่อิทธิพลของนาโตเข้ามายังยูเครนเป็นสิ่งที่ “รับไม่ได้” และรัสเซีย “ไม่มีทางเลือกอื่น” อีกแล้ว นอกจากปกป้องตนเองจากภัยคุกคามอันมีต้นตอมาจากยูเครนในยุคสมัยใหม่

“ความรับผิดชอบต่อการนองเลือดทั้งหมดนั้น ขึ้นอยู่กับสำนึกผิดชอบชั่วดีของรัฐบาลยูเครนเอง” ปูติน กล่าว
ผู้นำรัสเซียยังประกาศกร้าวว่า “จะตอบโต้ทันที” หากมหาอำนาจภายนอกคิดที่จะแทรกแซงปฏิบัติการครั้งนี้ และมอสโกมีเป้าหมายที่จะสลายกำลังทหาร (de-militarise) และ “ทำลายความเป็นนาซี” (de-Nazify) ในยูเครน

แม้ยังไม่ชัดเจนว่าปฏิบัติการทางทหารของรัสเซียจะกินขอบเขตกว้างขวางขนาดไหน แต่หลังจากการแถลงข่าวของ ปูติน จบลงไม่นานนัก ประชาชนในกรุงเคียฟก็เริ่มได้ยินเสียงระเบิดคล้าย “ปืนใหญ่” ดังขึ้นหลายระลอกในช่วงรุ่งสาง ก่อนจะมีรายงานว่ากองกำลังรัสเซียได้เริ่มยิงขีปนาวุธโจมตีเป้าหมายในหลายเมืองของยูเครน และมีปฏิบัติการยกพลขึ้นบกที่ชายฝั่งทางตอนใต้

รัฐบาลยูเครนประกาศปิดน่านฟ้าสำหรับเที่ยวบินพลเรือนทันที หลังจากองค์กรเฝ้าระวังเขตพิพาท Safe Airspace ได้ออกมาเตือนให้สายการบินต่างๆ หลีกเลี่ยงเส้นทางผ่านน่านฟ้ายูเครน เนื่องจากมีความเสี่ยงที่จะถูกยิงตกโดยอุบัติเหตุ หรือถูกโจมตีทางไซเบอร์

 ประธานาธิบดี โวโลดิมีร์ เซเลนสกี แห่งยูเครน  แถลงในวันเดียวกัน( 24 ก.พ.)ว่า กองทัพรัสเซียเริ่มยิงขีปนาวุธโจมตีโครงสร้างพื้นฐานและกองกำลังป้องกันชายแดนของยูเครน โดยเสียงระเบิดนั้นได้ยินไปไกลในหลายเมือง จากนั้นได้ประกาศ “กฎอัยการศึก” และได้โทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี โจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ

 ทั้งนี้ ปฏิบัติการโจมตีเกิดขึ้นในระหว่างที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติมีการประชุมกันที่นครนิวยอร์ก ซึ่ง อันโตนีโอ กูเตียร์เรส เลขาธิการใหญ่ยูเอ็น ออกมาชี้ว่า นี่คือ “ช่วงเวลาที่น่าเศร้าที่สุด” นับตั้งแต่ตนเองเข้ารับตำแหน่งเมื่อ 5 ปีที่แล้ว พร้อมทั้งเรียกร้องให้ ปูติน สั่งถอนทหารออกจากยูเครน “เพื่อเห็นแก่มนุษยชาติ”  

ในแง่แสนยานุภาพทางทหาร รัสเซียนับว่า “เหนือชั้น” กว่ายูเครนอยู่หลายเท่าตัว ไม่ว่าจะทางบก อากาศ หรือทะเล โดยปัจจุบันรัสเซียมีทหารประจำการอยู่ทุกเหล่าทัพประมาณ 900,000 นาย ขณะที่ยูเครนมีเพียง 196,000 นาย และกองทัพเรือของรัสเซียก็ยังมีขนาดใหญ่โตกว่ายูเครนถึง 10 เท่าตัว ยังไม่รวมอาวุธยุทโธปกรณ์จำพวกปืนใหญ่ รถถัง และยานยนต์หุ้มเกราะที่รัสเซียมีมากกว่ายูเครน 3 เท่า, 6 เท่า และเกือบ 7 เท่าตามลำดับ

แม้บรรดาชาติสมาชิกนาโตจะส่งมอบความช่วยเหลือด้านอาวุธให้แก่ยูเครน รวมถึงอาวุธต่อต้านรถถังจากสหราชอาณาจักร ทว่าอาวุธเหล่านี้จะเพียงพอต่อกรกับกองทัพมหาอำนาจอย่างรัสเซียได้หรือไม่ยังคงเป็นคำถาม

ก้าวย่างต่อไปของ ปูติน จะเป็นอย่างไรนั้นยังต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์กันแบบวันต่อวัน ขณะที่สหรัฐฯ เชื่อว่าผู้นำหมีขาวมีเป้าหมายถึงขั้นบุกยึด “กรุงเคียฟ”  ขณะที่นักวิเคราะห์บางส่วนเชื่อว่ามอสโกน่าจะบุกตีพื้นที่ส่วนที่ยังเหลืออยู่ของดินแดนดอนบาสส์ รวมทั้งอาจรุกคืบต่อไปจนถึงแม่น้ำดนีเปอร์ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ที่ไหลผ่ากลางประเทศยูเครน

ส่วนสหรัฐฯ และพันธมิตรก็คงต้องชั่งใจให้ดีว่า จะทำสงครามกับรัสเซียหรือไม่ เพราะถ้าจะว่าไปก็ไม่ต่างจากการที่สหรัฐฯ บุกอิรัก แถมจะมีเหตุผลมากกว่าเสียด้วยซ้ำไป

แถมจะว่าไปรัสเซียยุคปูตินก็มิได้มีสภาพเหมือนเมื่อครั้งที่สหภาพโซเวียตล่มสลาย แต่เป็นรัสเซียที่แข็งแกร่ง เต็มไปด้วยเขี้ยวเล็บน่าเกรงขาม และเต็มไปด้วยอาวุธล้ำสมัย


 เศรษฐกิจโลกป่วนหนัก
หุ้น-คริปโตฯ ร่วง
น้ำมันขึ้นแล้วขึ้นอีก 

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของรัสเซียส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกและผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ดิ่งฮวบทันที ขณะที่ค่าเงินดอลลาร์และราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น เช่นเดียวกับน้ำมันดิบเบรนท์ในตลาดซื้อขายล่วงหน้าที่ราคาพุ่งกระฉูด 3.5% ทะลุ 100 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรลเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2014 ส่วนราคาน้ำมันดิบเวสต์เทกซัสล่วงหน้าขยับขึ้นทันที 4.6% มาอยู่ที่ 96.22 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล ทำสถิติสูงสุดตั้งแต่เดือน ส.ค. ปี 2014 เช่นกัน

ทั้งนี้ หากเกิดเหตุปะทะรุนแรง “เจพี มอร์แกน” คาดว่าอาจแตะระดับสูงสุดที่ 150 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเลยทีเดียว

ราคาอะลูมิเนียมปรับตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันพฤหัสบดี (24) โดยขึ้นมาอยู่ที่ 3,382.50 ดอลลาร์สหรัฐ/ตัน ทำลายสถิติช่วงพีคสุด 3,380.15 ดอลลาร์หรัฐ/ตัน ในช่วงวิกฤตการเงินโลกเมื่อเดือน ก.ค. ปี 2008

 ทากาฮิเดะ คิอูจิ นักเศรษฐศาสตร์บริหารจากสถาบันวิจัยโนมูระ กรุงโตเกียว ชี้ว่า การคว่ำบาตรจะส่งผลกระทบรุนแรงต่อทั้งรัสเซียและเศรษฐกิจทั่วโลก โดยราคาน้ำมันจะพุ่งสูงขึ้น หุ้นตก และมูลค่าสินทรัพย์ที่ค่อนข้างปลอดภัย เช่น เงินเยน ก็จะปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งหมดนี้จะเป็นอุปสรรคต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากพิษโควิด-19 และการที่รัสเซียเข้ายึดครองดินแดนของยูเครนยังเป็นการสร้างตัวอย่างที่ไม่ดี และกระพือความวิตกกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ในพื้นที่ขัดแย้งอื่นๆ เช่น ไต้หวัน ทะเลจีนใต้ และทะเลจีนตะวันออก

จากการรายงานของสำนักข่าว CNBC อ้างอิงถึงข้อมูลของ Coinmarketcap ว่ามูลค่าตลาดของเหรียญคริปโตลดลงไปมากกว่า 150,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา ซึ่งการลดลงของราคา cryptocurrency ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้นในขณะที่ตลาดตราสารทุนทั่วโลกร่วงลงหลังจากการโจมตีทางทหารของรัสเซียในยูเครนซึ่ง NBC News รายงานว่าได้ยินเสียงระเบิดในกรุง Kyiv ซึ่งเป็นเมืองหลวงของยูเครน

อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวของราคา Cryptocurrencies มักจะสัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวในสินทรัพย์เสี่ยงอื่น ๆ เช่นหุ้น
“สินทรัพย์เสี่ยงยังคงได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งและความตึงเครียดระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งรวมถึง Bitcoin และ cryptocurrencies ซึ่งปัจจุบันยังคงถูกมองว่าเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอย่างมาก” Vijay Ayyar รองประธานฝ่ายพัฒนาองค์กรและระดับนานาชาติของการแลกเปลี่ยน crypto Luno กล่าว

อย่างไรก็ดีการที่ Cryptocurrencies ได้รับแรงกดดันซึ่งถือว่าเป็นผลกระทบที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ bitcoin ทำสถิติสูงสุดที่เกือบ 69,000 ดอลลาร์ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ตั้งแต่นั้นมา bitcoin ก็ลดลงเกือบ 50%

ขณะที่ทาง Ayyar กล่าวว่าอาจได้เห็น bitcoin ปรับตัวลดลงแตะระดับต่ำสุดที่ประมาณ 30,000 ดอลลาร์ โดยระดับหลักอยู่ที่ระดับต่ำสุดระหว่าง 28,000 ถึง 29,000 ดอลลาร์เมื่อเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว แต่กระนั้นหาก bitcoin สามารถรักษาระดับไว้เหนือระดับนั้นได้ มันก็จะสามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในปลายปีนี้ ในทางกลับกันหากราคาตกลงมาต่ำกว่านั้น bitcoin ก็สามารถเคลื่อนไปที่ระดับต่ำสุดที่ 20,000 ดอลลาร์ได้

ขณะที่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว CEO ของ Huobi ซึ่งเป็นกระดานเทรดแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลของจีน เผยกับ CNBC ว่า ตลาดกระทิงใหม่ของ bitcoin อาจไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงปลายปี 2024

สำหรับประเทศไทย นอกจากเรื่องน้ำมันที่โดนเต็มๆ แล้ว ยังคงต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ส่งผลในด้านอื่นหรือไม่ ทั้งนี้ ปี 2564 ไทยส่งออกไปรัสเซีย มีมูลค่า 1,027 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 41.68% ไทยนำเข้าจากรัสเซีย 1,752 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 0.8% ขณะที่ไทยส่งออกไปยูเครน 134.76 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 35.72% ส่วนไทยนำเข้าจากยูเครน 251.71 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 20.72%

 เรียกว่า ปฏิบัติการทางทหารของยูเครนครั้งนี้ มิได้ก่อให้เกิดความกังวลในเรื่องสงครามที่อาจลุกลามเท่านั้น หากยังส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของโลกที่บอบช้ำจากโควิด-19 และกำลังจะฟื้นตัวอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะ “หุ้นและคริปโตฯ” ที่ร่วงเอาร่วงเอาจนน่าตกใจ

 ขณะเดียวกันยังถือเป็นจุดเปลี่ยนแห่งดุลของ “มหาอำนาจโลก” คือ “สหรัฐอเมริกา รัสเซียและจีน” ว่าจะดำเนินไปในลักษณะใด ซึ่งการที่รัสเซียแสดงความแข็งแกร่งเยี่ยงนี้ย่อมส่งผลต่อสหรัฐฯ ที่เคยกร่างไปทั่วโลกได้มากพอสมควรทีเดียว 


กำลังโหลดความคิดเห็น