คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
หัวเรื่อง “Enlightened Monarch” นี้สืบเนื่องมาจากที่ผู้เขียนกล่าวถึงหนังสืออ้างอิงเล่มสุดท้ายในการพระราชนิพนธ์เรื่อง “สงครามชิงราชสมบัติโปแลนด์” (the War of the Polish Succession) ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยหนังสือเล่มสุดท้ายนี้คือหนังสือเรื่อง Frederick the Great (เฟรเดอริกมหาราช) ที่แต่งโดย โทมัส คาร์ไล (Thomas Carlyle) และในการให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับพระเจ้าเฟรเดอริกมหาราช นอกจากจะนำเรียนแก่ผู้อ่านว่า พระเจ้าเฟรเดอริก (ฟรีดริช) เป็นกษัตริย์แห่งปรัสเซียแล้ว พระองค์ยังได้รับการยกย่องว่าเป็น enlightened absolutist ถ้าแปลตรงตัวก็คือ ผู้ปกครองสมบูรณาสิทธิ์ที่ทรงภูมิปัญญา ขณะเดียวกัน นอกจากจะใช้คำว่า absolutist แล้ว ก็ยังใช้ว่า enlightened king และ enlightened despot และ enlightened monarch ด้วย
และในตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้กล่าวถึงผู้ที่ให้กำเนิดคำเรียกดังกล่าวนี้ และได้อธิบายให้เห็นว่า การใช้คำว่า despot และ absolutist โดยมีคำขยายข้างหน้าว่า enlightened อาจจะฟังดูย้อนแย้งมากกว่าใช้ว่า king หรือ monarch !
จากปัญหาความย้อนแย้งที่เกิดขึ้นนี้ ทำให้มีท่านผู้อ่านหลายท่านให้ความเห็นชวนสนทนามาใน FB ของผู้เขียน ดังนั้น ผู้เขียนจึงขอลงรายละเอียดในประเด็นดังกล่าวนี้ แล้วค่อยกลับไปเขียนเรื่องพระราชนิพนธ์ “สงครามชิงราชสมบัติโปแลนด์” ของล้นเกล้ารัชกาลที่หกต่อในภายหลัง
ความย้อนแย้งของ enlightened despot/absolutist เป็นเพราะคำว่า despot และ absolutist ดูจะมีความหมายในแง่ลบมากกว่า king และ monarch และสำหรับผู้ที่ไม่ชอบการปกครองที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญหรือไม่ ก็ยิ่งจะเห็นว่า การใส่คำว่า enlightened ข้างหน้า king/monarch ก็เป็นอะไรที่ยอมรับไม่ได้อยู่ดี และฟังดูย้อนแย้งมากที่จะมี king/monarch ที่ตื่นรู้ทรงภูมิปัญญา (the Enlightenment) เพราะคนที่เข้าใจกระบวนการตื่นรู้หรือกระบวนการภูมิปัญญา (หรือบางคนเรียกว่า ยุคแสงสว่าง) อย่างผิวเผินมักจะเข้าใจว่า กระบวนการภูมิปัญญาหรือ the Enlightenment ของยุโรป (ที่ต้องใส่ว่าของยุโรป เพราะสายอิสลามเขาก็มียุค Enlightenment ของเขา และมาก่อนของยุโรปหรือของชาวยุโรปสายคริสต์ [เพราะยุโรปก็มีชาวยุโรปสายอิสลามด้วย])
อนึ่ง สำหรับคำว่า absolutist นั้น ต้องเข้าใจว่า ในยุคที่ผู้คนในยุโรปต้องการให้กษัตริย์มีอำนาจมาก ก็จะเรียกกษัตริย์ว่าเป็น absolutist ซึ่งมีความหมายในด้านบวกเพราะผู้คนปรารถนาให้พระองค์มีอำนาจมาก ต่อมาคนที่ไม่ชอบกษัตริย์ก็จะกล่าวถึงกษัตริย์ว่าเป็น absolutist เช่นกัน แต่มีความหมายในด้านลบ นั่นคือ มีอำนาจมากเกินไป (ใครไม่เชื่อที่ผู้เขียนกล่าวมานี้ ให้ยกมือขึ้น ! นั่นคือ ตั้งคำถามมาใน FB ของผู้เขียนได้ ผู้เขียนจะได้หาหลักฐานอ้างอิงมาให้ดู !)
ส่วนคำว่า despot นั้นก็เช่นกัน มักจะเข้าใจกันว่ามีความหมายในด้านลบ อย่างไรก็ตาม หากสืบค้นที่มาของคำ เราจะพบว่า คำว่า despot จากภาษาฝรั่งเศส despote ผ่านคำว่า despota ในภาษาละตินในยุคกลาง และสืบมาจากภาษากรีกโบราณอีกทีหนึ่ง โดยในบริบทกรีกโบราณ คำว่า despotes มีความหมายว่า “นาย หรือผู้ปกครองที่มีอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด (master, absolute ruler)” ความเป็น “นาย” หรือ “ผู้ปกครอง” นี้ ใช้ได้ไม่ว่าจะเป็นในบริบทไหนก็ตาม นั่นคือ นับตั้งแต่ “นาย” ของครัวเรือนไปจนถึง “นครรัฐ”
ซึ่งนัยความหมายดังกล่าวนี้จะเป็น “ลบ” หรือ “บวก” ก็ขึ้นอยู่กับบริบททางการเมือง หากเป็นบริบทที่เป็น “ประชาธิปไตย” “ผู้ปกครองที่มีอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด” ก็ย่อมมีความหมายในแง่ลบ แต่ถ้าเป็นบริบทที่เป็น “ราชาธิปไตย” ก็ถือเป็นปรกติที่ผู้ปกครองจะมี “อำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด” หรือถ้าพิจารณาในบริบทของครัวเรือน การมีผู้ปกครองหรือหัวหน้าครัวเรือนที่มี “อำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด” ก็ไม่ใช่เรื่องผิดปรกติแต่อย่างใด ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นเพศหญิงหรือชายก็ตาม หรือในบริบทสังคมสมัยใหม่ ถ้าเรานึกถึง “ผู้นำองค์กร” อาจจะพบว่า ผู้นำองค์กรบางองค์กรก็เข้าข่ายการเป็น despotes
จากข้างต้นนี้ เราจะพบว่า คำว่า despotes ที่มีต้นทางในบริบทกรีกโบราณนั้น มิได้มีความหมายในแง่ลบเสียทั้งหมดทีเดียว แต่นัยความหมายของคำว่า despot ที่ใช้ในคำ “enlightened despot” นั้น เป็นการใช้ภายใต้บริบทของสังคมยุโรปในศตวรรษที่สิบแปด และมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบันก็ว่าได้
นัยความหมายของ despotism ในศตวรรษที่สิบแปด ปรากฏให้เห็นมากในงานของนักคิดทางการเมืองชาวฝรั่งเศสอย่างมงเตสกิเออ (Montesquieu: 1689-1755) ที่นิยาม despotism ว่าคือ การปกครองแบบอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาดภายใต้ผู้ปกครองเพียงคนเดียว ที่ทำทุกอย่างตามเจตจำนงและอำเภอใจของเขา ไม่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายและกติกาใดๆ มงเตสกิเออแยกการปกครอง despotism ออกจากการปกครองแบบอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ หรือระบอบกษัตริย์ ซึ่งเป็นระบอบการปกครองที่อำนาจอยู่ในมือของคนๆเดียวเช่นกัน แต่ใช้อำนาจการปกครองภายใต้กรอบกฎหมายที่กำหนดไว้แน่นอน
นักคิดฝรั่งเศสในศตวรรษที่สิบแปดอีกท่านหนึ่งคือ กิโซต์ (Guizot: 1787-1874) ได้อธิบาย despotism ไว้ว่า ระบอบนี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากระบอบอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด (absolute power) ที่ผู้ปกครองมีอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด และการใช้อำนาจนั้นนอกจากจะใช้ไปเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ตนต้องการแล้ว ยังใช้อำนาจไปโดยไม่ได้มุ่งหวังที่จะบรรลุเป้าหมายอะไรด้วย แต่มีความพอใจหรือสะใจกับการใช้อำนาจในตัวของมันเองด้วย ! นั่นคือ แทนที่ผู้ปกครองจะเพียงใช้อำนาจอันสมบูรณ์เด็ดขาดนั้นเป็นหนทางบรรลุเป้าหมาย แต่การใช้อำนาจกลับกลายเป็นเป้าหมายในตัวของมันเสียเอง
ในทัศนะของกีโซต์ ผู้ปกครองเช่นนี้ถือเป็นผู้ปกครองเต็มไปด้วยอัตตาอย่างรุนแรงสุดขีด ที่มุ่งแสวงหาอำนาจเพียงเพื่อสนองตัณหาของเขาเอง ดังนั้น หมุดหมายที่โดดเด่นของ despotism คือ ความเห็นแก่ตัว ตามมุมมองนี้ กีโซต์อธิบายว่า ตัวอย่างของผู้ปกครองที่เต็มไปด้วยอัตตา (an egoistical despot) ที่ทำทุกอย่างเพื่อตัวเขา ครองราชย์เพื่อตัวเขาเท่านั้น และไม่ถามหาอะไรเพื่ออำนาจนอกจากเพื่อเต็มตัวความมุ่งมั่นต้องการเจตจำนงของเขา ได้แก่ พระเจ้าฟิลลิปที่สี่ของฝรั่งเศส (Philip the Fair) กิโซต์ไม่ลังเลที่จะจัดให้กษัตริย์อีกสองพระองค์เข้าข่ายผู้ปกครองบ้าอำนาจแบบนี้ นั่นคือ พระเจ้าชาร์เลอมาญแห่งฝรั่งเศสยุคโบราณ (Charlemagne: 747-814) และพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรัสเซีย (Peter I: 1682-1725) ผู้ทรงตั้งฉายา “มหาราช” กับตัวพระองค์เอง !
ดังนั้น จะเห็นได้ว่า คำว่า “despot” หรือ “despotism” ในศตวรรษที่สิบแปดจึงยากที่จะไปด้วยกันได้กับ “enlightenment” และข้อสงสัยต่อประเด็นปัญหาดังกล่าวนี้ก็พบได้ในหนังสือ Lectures on Foreign History: 1494-1789 (สำนักพิมพ์ Basil Blackwell, Oxford: 1964) ของ J.M. Thomspson ที่แปลเป็นภาษาไทยโดย นันทา โชติกะพุกกะณะ และ นิออน สนิทวงศ์ ณ อยุธยา (โครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย, กรุงเทพฯ ๒๕๑๒ ) หัวเรื่องในบทที่ ๒๐ ของหนังสือดังกล่าว ในฉบับภาษาอังกฤษของ J.M. Thompson เขาใช้คำว่า “Enlightened Despotism”
แต่ในฉบับภาษาไทย ผู้แปลกลับแปลว่า “ราชาธิปไตยแบบทรงภูมิธรรม” ซึ่งการแปลคำว่า “Despotism” จากต้นฉบับภาษาอังกฤษของ J.M. Thompson มาเป็น “ราชาธิปไตย” แสดงให้เห็นถึงเจตนาที่ต้องการหลีกเลี่ยงการใช้ความหมายตรงตัวของ “Despotism” แต่ต้องการจะใช้นัยของ “King” อันสืบเนื่องจากปัญหาที่ผู้เขียนได้กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง นักวิชาการไทยทั้งสองท่านเป็นผู้ทรงคุณวุฒิอย่างยิ่งในสาขาวิชาประวัติศาสตร์ของไทย และยากที่ทั้งสองท่านจะไม่เข้าใจความหมายของ “despotism” ซึ่งมีความหมายในแง่ลบ ดังนั้น ก็น่าคิดน่าสงสัยถึงเหตุผลที่ท่านทั้งสองเลือกที่จะใช้คำว่า “ราชาธิปไตย” จาก “Kingship” แทน “Despotism” !
ความย้อนแย้งของ enlightened despot/absolutist/king/monarch นี้ ในภาษาอังกฤษจะเรียกคำชนิดนี้ว่า “oxymoron” หรือ “ปฏิพจน์” ซึ่งในภาษาไทย ผู้รู้ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง “ภาพพจน์หรือการเน้นความหมายที่เกิดจากรวมคำหรือวลีสองคำหรือสองวลีที่มีความหมายขัดแย้งกัน” แต่ถ้ายึดความหมายตาม Oxford dictionary เฉพาะในช่วงแรกนั่นคือ “ผู้ปกครองหรือบุคคลที่มีอำนาจสมบูรณ์เด็ดขาด” โดยตัดข้อความท่อนหลังออกไป นั่นคือ “โดยเฉพาะผู้ซึ่งใช้อำนาจอย่างโหดร้ายและกดขี่” ก็อาจจะทำให้นัยในแง่ลบของ “enlightened despot” ลดน้อยลงไปได้
แต่กระนั้น ถ้าหากยังจะมีใครปฏิเสธแนวคิด “enlightened despot” ในแง่ที่ไม่ลบนักนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก และในการทำความเข้าใจถึงเหตุผลในการปฏิเสธนี้ ทำให้เราต้องย้อนกลับไปที่ผู้เขียนได้เคยกล่าวไว้ในบทความอื่นว่า “ถ้าว่ากันจริงๆ หากใช้บรรทัดฐานและชุดเหตุผลของแนวคิดประชาธิปไตยไปตัดสินการใช้อำนาจทางการเมืองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เราจะพบว่า การใช้อำนาจทางการเมืองของกษัตริย์นั้นย่อมผิดและอยุติธรรมเสมอ ไม่ว่าจะการใช้อำนาจนั้นจะส่งผลดีอย่างไรก็ตาม ที่ผิดและอยุติธรรมเสมอเพราะเป็นการที่คนๆ เดียวใช้อำนาจตามลำพังโดยไม่ได้ต้องฟังเสียงใคร โดยเฉพาะเสียงประชาชน และการใช้อำนาจทางการเมืองของกษัตริย์เป็นการใช้ในลักษณะผูกขาด ไม่ได้มีการแบ่งแยกการใช้อำนาจทางการเมืองออกเป็น ๓ ฝ่าย นั่นคือ บริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ ไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลใดๆ ทั้งสิ้น บรรทัดฐานและชุดเหตุผลของแนวคิดประชาธิปไตยยืนยันว่า อำนาจสูงสุดหรืออำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชน นั่นคือ ประชาชนคือต้นสายธารแห่งอำนาจ แม้ว่าอาจจะไม่ได้ใช้อำนาจนั้นด้วยตัวเองได้ แต่มีคนใช้อำนาจแทน แต่คนที่ใช้แทนนั้นก็ต้องไม่ลืมว่าอำนาจที่ตนใช้นั้น เป็นของและมาจากประชาชนเสมอ”
(โปรดติดตามประเด็นนี้ต่อในสัปดาห์หน้าครับ)