"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
อันที่จริงตามคติความเชื่อทางศาสนาพุทธที่ดำรงอยู่ในสังคมไทย น่าจะทำให้คนไทยเข้าใจและยอมรับความเป็นอนิจจังของสรรพสิ่งได้ไม่ยากนัก อันได้แก่ การก่อเกิด ดำรงอยู่ และเสื่อมสลายอันเป็นวัฎจักรของสรรพชีวิต ธรรมชาติ สิ่งประดิษฐ์ทางวัตถุ ทางสังคมและทางวัฒนธรรม แม้ดูเผิน ๆแล้ว สิ่งประดิษฐ์ทางวัตถุอาจให้ความรู้สึกที่คงทนถาวรกว่าสิ่งประดิษฐ์ทางสังคมวัฒนธรรม ทว่าในหลายกรณี แม้วัตถุผุผังเสื่อมโทรม แต่สิ่งสร้างเชิงสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมยังคงดำรงอยู่
การตัดสินว่าสิ่งใดรุ่งเรือง หรือเสื่อมโทรมนั้น หากเป็นวัตถุทำได้ไม่ยากนักด้วยการพิจารณาสภาพทางกายภาพ แต่ความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมนั้นทำได้ยากกว่า และบางทีการวินิจฉัยก็ขัดแย้งกันเอง เพราะแต่ละคนที่ประเมินว่าสิ่งใดอยู่ในภาวะใดนั้นต่างก็ใช้อัตวิสัยตามกรอบคิดและความเชื่อของตนเอง ความรุ่งเรืองในมุมมองของผู้หนึ่ง อาจเป็นความเสื่อมโทรมในสายตาผู้อื่นก็ได้
เป็นความจริงอย่างหนึ่งว่า การเสื่อมสลายและหายไปของสิ่งหนึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นก่อเกิดและพัฒนาไปสู่ความรุ่งเรืองของอีกสิ่งหนึ่ง เมื่อสิ่งใดรุ่งเรืองถึงจุดหนึ่ง ซึ่งก็ยากที่ระบุได้ชัดเจนว่าขีดสุดของความรุ่งเรืองมีสภาวะเช่นใด แต่ผู้คนบางส่วนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดอาจสัมผัสและรู้สึกถึงสภาวะนั้นได้ และตระหนักว่า ช่วงเวลาของการเสื่อมถอยกำลังเกิดขึ้นหรือไม่ แต่ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่มีสัมผัสอันละเอียดอ่อนเพียงพอ ไม่สามารถรับรู้และตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้ จวบจนกระทั่งเมื่อความเสื่อมถอยปรากฎมากและชัดเจนขึ้น ที่แม้แต่ผู้มีประสาทสัมผัสหยาบกระด้างก็สามารถรับรู้ได้ ความตื่นตระหนกก็จะตามมา
ผู้คนมีปฏิกิริยาตอบสนองความเสื่อมโทรมต่างกัน บางคนยอมรับกับหลักความจริงตามกฎอนิจจัง เฝ้ามองความเสื่อมโทรมอย่างมีสติ และพยายามปรับชีวิตตนเองให้สอดคล้องและดำรงอยู่กับสภาพความเสื่อมโทรมได้ระดับหนึ่ง บางคนพยายามเข้าไปแทรกแซงและลงมือกระทำบางอย่าง เพื่อชะลอและหยุดยั้งความเสื่อมโทรม แต่มีหลายกรณีการกระทำของบรรดาเหล่าที่ต้องการหยุดยั้งความเสื่อมโทรมกับกลายเป็นว่าทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม แทนที่จะเสื่อมโทรมแบบค่อยเป็นค่อยไป กลับไปเพิ่มอัตราเร่งของการเสื่อมโทรมให้มากขึ้น และท้ายที่สุดก็อาจเข้าสู่สภาวะเสื่อมโทรมอย่างเฉียบพลัน ในบางกรณี ความพยายามแก้ไขและปรับตัวอาจทำให้ความเสื่อมโทรมชะลอตัว และอาจฟื้นหวนกลับไปสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้ง แต่สภาวะดังกล่าวมิได้ดำรงอยู่อย่างถาวร ในที่สุดร่องรอยความเสื่อมโทรมก็ปรากฎขึ้นอีก กลายเป็นวัฏจักรของความรุ่งเรืองและตกต่ำ
ในสังคมมนุษย์ มีสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมหลายอย่างที่มีแบบแผนของความรุ่งเรืองและตกต่ำสลับกันเป็นวงจร แต่ก็มีบางสิ่งที่ค่อย ๆ เลือนหายไป เหลือร่องรอยที่จารึกอยู่ในประวัติศาสตร์ว่า ในยุคสมัยหนึ่ง มนุษย์เคยมีสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมเช่นนั้นดำรงอยู่ แม้แต่สถาบันที่ถือได้ว่ามีความคงทนยั่งยืนยาวนานที่สุด และนักปราชญ์เชื่อว่าสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษยชาติมากที่สุดอย่าง “สถาบันครอบครัว” ก็เผชิญกับความท้าทายและต้องปรับตัว โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงกฎเกณฑ์ของการเปลี่ยนแปลงได้ ดังเห็นได้จากผู้คนจำนวนมากดำรงชีวิตในลักษณะที่แยกตัวจากสถาบันครอบครัวมากขึ้น นับประสาอะไรกับสถาบันทางสังคมและวัฒนธรรมอื่น ๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่บางอย่างตามความต้องการของมนุษย์ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะของยุคสมัย
ความต้องการความมั่นคงปลอดภัยจากภยันตรายจากการรุกรานภายนอก ทำให้มนุษย์จัดตั้งกองกำลังติดอาวุธเพื่อปกป้องตนเอง และเมื่อสะสมพลานุภาพมากพอก็ใช้กองกำลังช่วงชิงแผ่นดินและทรัพยากรจากสังคมอื่นมาใช้ในการสร้างความรุ่งเรืองทางวัตถุให้แก่สังคมตนเอง แต่มีหลายสังคมที่เริ่มแรก กองกำลังติดอาวุจัดตั้งขึ้นโดยมีเป้าประสงค์เพื่อปกป้องความปลอดภัยและความมั่งคั่งของสังคมโดยรวม แต่ครั้นเวลาผ่านไปไม่นาน กองกำลังติดอาวุธก็แปรเปลี่ยนเป็นปกป้องความปลอดภัยและความมั่งคั่งของคนบางคนหรือคนบางกลุ่มในสังคม แต่ยังคงอ้างเสื้อคลุมเดิมเพื่อดำรงความชอบธรรม ที่ร้ายกว่านั้นในบางสังคมกองกำลังติดอาวุธได้ใช้พลานุภาพจากศัสตราสถาปนาตนเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ด้วยการช่วงชิงอำนาจการบริหารปกครองจากประชาชน และใช้อำนาจสร้างความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืนแก่ตนเองและพวกพ้องอย่างเอิกเกริก ขณะที่ประชาชนที่เหลือถูกทำให้อยู่ในสภาพโอนเอนดังเรือต้องพายุ และกำลังจมลงในทะเลแห่งความยากจน
สถาบันกองทัพของสังคมไทยมีวงจรของความรุ่งเรืองและความเสื่อมโทรมหลายครั้ง ความหมายของความรุ่งเรืองในที่นี้คือ การได้รับการยอมรับยกย่องนับถือจากประชาชนส่วนมากในสังคม การได้รับการจัดสรรทรัพยากรตามที่ต้องการโดยปราศจากการท้าทายหรือตั้งคำถามจากสังคม และการที่มีผู้คนจำนวนมากต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งหรือสมาชิกของสถาบัน ส่วนความเสื่อมโทรมหมายถึง การที่มีคนจำนวนมากไม่ยอมรับ วิพากษ์วิจารณ์ แสดงท่าทีปฏิเสธ ต่อต้าน หรือตั้งคำถามกับความชอบธรรมในการดำรงอยู่ การถูกลดทรัพยากรและถูกตรวจสอบการใช้ทรัพยากรอย่างเข้มงวด และการที่จำนวนผู้ต้องการเข้าไปเป็นสมาชิกของสถาบันลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
สถาบันกองทัพไทยมีความรุ่งเรืองอย่างสุดขีดในช่วงปี 2501 มีพรั่งพร้อมทั้งการยอมรับ มากมายด้วยอำนาจ ทรัพยากร และแรงดึงดูดของอาชีพ แต่เมื่อไปสู่จุดสูงสุดของความรุ่งเรือง ความเสื่อมโทรมก็คืบคลานมาทีละเล็กทีละน้อย สาเหตุหลักของความเสื่อมโทรมมาจากการทำหน้าที่ของกองทัพเบี่ยงเบนไปจากความคาดหวังของสังคมและส่งผลกระทบทางลบต่อสังคมอย่างรุนแรง ด้วยการแสวงหาความมั่งคั่งจนเกินขอบเขต และการเสพสุขแบบล้นเกินของบรรดานายพลทั้งหลายในยุคนั้น สถาบันกองทัพตกต่ำลงอย่างมากในปี 2516 นายพลที่ครองอำนาจถูกขับไล่ออกจากตำแหน่ง ประชาชนสูญสิ้นความนับถือในอาชีพทหารโดย และมีทหารจำนวนมากไม่กล้าแต่งเครื่องแบบเดินในที่สาธารณะ
การปรับตัวเพื่อรื้อฟื้นความน่าเชื่อถือเกิดขึ้นอย่างชัดเจนหลังเดือนตุลาคม 2520 ด้วยการสร้างบรรยากาศลดความขัดแย้ง สร้างความปรองดอง และประนีประนอมกับกลุ่มพลังทางสังคมการเมืองอื่น ๆ ประกอบกับนายพลที่เป็นสัญลักษณของผู้นำสูงสุดของกองทัพยุค 2522 ถึง 2530 ได้สร้างภาพความทรงจำเชิงบวกแก่ผู้คนจำนวนมากในสังคม โดยเฉพาะเรื่องความซื่อสัตย์ในการบริหารประเทศระหว่างที่มีอำนาจ ความยอมรับนับถือของประชาชนที่มีต่อกองทัพค่อย ๆ คืนกลับมา แต่นั่นกลับกลายเป็นว่าก่อให้เกิดความคิดและการกระทำที่เลยเถิดของนายพลในยุคต่อมา ซึ่งทำให้วงจรของความตกต่ำหวนคืนมาอีกครั้ง
ช่วงเวลาของความเสื่อมโทรมปรากฎอย่างชัดเจน เมื่อนายพลกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้นำกองทัพก่อการรัฐประหารในปี 2534 เมื่อได้อำนาจก็ได้สร้างแบบแผนทางการเมืองซึ่งเลียนแบบนักรัฐประหารรุ่นพี่ นั่นคือใช้อำนาจแสวงหาความมั่งคั่ง มั่นคง และยั่งยืนแก่กลุ่มตนเอง แต่ประชาชนจำนวนมากไม่ยอมรับการกระทำเช่นนั้น และออกมาต่อต้านอย่างเปิดเผยในเดือนพฤษภาคม 2535 วิธีการจัดการกับผู้ชุมนุมก็เลียนแบบจากนักรัฐประหารในอดีตเช่นกัน นั่นคือ การใช้กำลังอาวุธปราบปรามประชาชนด้วยความรุนแรง และดูเหมือนรุนแรงและโหดร้ายยิ่งกว่าเดือนตุลาคม 2516 เสียด้วยซ้ำ ในท้ายที่สุดนักรัฐประหารก็ประสบความพ่ายแพ้ ผลกระทบที่ตามมาไม่ได้เกิดแต่เฉพาะกลุ่มนายพลแกนนำของคณะรัฐประหารเท่านั้น หากแต่รวมไปถึงกองทัพในภาพรวมด้วย และอาจกล่าวได้ว่า เป็นช่วงเวลาของความตกต่ำเสื่อมโทรมอย่างถึงที่สุดของสถาบันกองทัพสมัยใหม่ของสังคมไทยนับแต่มีการจัดตั้งมาอย่างเป็นทางการ
กองทัพจำต้องกลับเข้ากรมกอง ไม่เข้ามาก้าวก่ายเกี่ยวข้องกับการบริหารปกครองประเทศ กลับไปทำหน้าที่หลักในการปกป้องประเทศ และทำหน้าที่รองในการพัฒนาและช่วยเหลือประชาชนยามมีเหตุภัยพิบัติ ความยอมรับนับถือของประชาชนต่อกองทัพก็เริ่มฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง แต่ดูเหมือนบรรดานายพลรุ่นหลังไม่ศึกษาประวัติของความรุ่งเรืองและเสื่อมโทรมของกองทัพให้ละเอียดเพื่อสร้างความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง และนำมาเป็นบทเรียนและไม่สร้างความผิดพลาดซ้ำเดิมอีก เวลาผ่านไปไม่นาน ความคิดและความกระหายที่ใช้กองทัพเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มตนเองก็กิดขึ้นซ้ำอีก อันนำไปสู่การรัฐประหารปี 2549 และ 2557
การรัฐประหารปี 2549 นายพลนักรัฐประหารไม่ได้วางระบบสืบทอดอำนาจ ความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อกองทัพจึงมีไม่มากนัก ทว่า นายพลนักรัฐประหารปี 2557 กลับคิดและกระทำแตกต่างราวฟ้ากับดิน พวกเขาสร้างระบบและเครือข่ายการสืบทอดอำนาจอย่างเข้มข้น เข้าไปแทรกแซงการบริหารประเทศในทุกระดับ รวมถึงการให้นายทหารของกองทัพเข้าไปเกี่ยวข้องกับการบริหารในระดับจังหวัดอย่างใกล้ชิด ทั้งยังเชื่อมโยงสร้างเครือข่ายที่แนบแน่นกับกลุ่มทุนผูกขาด แต่งตั้งนายทุนผูกขาดเข้าไปเป็นกรรมการนโยบายที่สำคัญของประเทศเป็นจำนวนมาก วางรากฐานในการสร้างความมั่งคั่งในทรัพย์สิน มั่นคงในตำแหน่ง และยั่งยืนในอำนาจขึ้นมาอย่างเป็นระบบ
ความเสื่อมโทรมของกองทัพรอบใหม่ก็เกิดขึ้นและเคลื่อนตัวในอัตราเร่ง เห็นได้จากความยอมรับเชื่อถือของประชาชนต่อกองทัพลดลงอย่างต่อเนื่อง และดิ่งลงอยู่ในระดับเดียวกับตำรวจ การตั้งคำถามเกี่ยวกับความชอบธรรมในการดำรงอยู่ของกองทัพปรากฎขึ้นอย่างแพร่หลาย การตรวจสอบการใช้งบประมาณและการดำเนินงานของกองทัพเป็นไปอย่างเข้มข้น ความต้องการเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นสมาชิกของกองทัพลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และเสียงเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกองทัพดังก้องอย่างต่อเนื่อง ในอนาคต สิ่งที่จะซ้ำเติมให้เกิดวิกฤติจนสร้างความตกต่ำเสื่อมโทรมอย่างรุนแรงคือ การที่นักรัฐประหารและผู้นำกองทัพตัดสินใจใช้ความรุนแรงและความโหดร้ายปราบปรามประชาชนดังที่เคยกระทำในปี 2535
ปฐมบทของความเสื่อมโทรมและตกต่ำของสถาบันกองทัพเกิดขึ้นภายหลังผู้นำกองทัพลงมือทำรัฐประหาร จากนั้นเข้าไปบริหารประเทศด้วยอำนาจเผด็จการ ใช้วิถีบริหารแบบอำนาจนิยม แทรกแซง บ่อนทำลายหลักธรรมาภิบาล ไม่แยแสกับหลักการขัดกันของผลประโยชน์และความโปร่งใส มุ่งเอื้อประโยชน์ทั้งจากนโยบายและโครงการแก่พวกพ้องและเครือข่ายนายทุน เมื่อแบบแผนของการบริหารประเทศเป็นไปในลักษณะข้างต้น ความเสื่อมโทรมตกต่ำของสถาบันกองทัพก็จะยิ่งมีมากขึ้นตามลำดับ และในที่สุดจุดจบก็ซ้ำรอยเดิม รอยเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในอดีต
ขอจบลงด้วยประโยคอันแหลมคมที่ปรับปรุงจากวรรณกรรมรางวัลโนเบลเรื่อง “หนึ่งร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว” ของ กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ว่า “ต้นตระกูลนักรัฐประหารจะถูกมัดกับต้นไม้ คนสุดท้ายจะถูกกินด้วยฝูงมด”


