xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ย้อนรอยแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตำรวจไทยเปิดปฏิบัติการล่า

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - อาชญากรรมทางเทคโนโลยี  “แก๊งคอลเซ็นเตอร์”  เป็นมหากาพย์ปัญหาใหญ่ในสังคมไทย โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีประชาชนจำนวนมากตกเป็นเหยื่อสูญเสียทรัพย์มูลค่ามหาศาล สร้างความเดือดร้อนซ้ำเติมสถานการณ์ ซ้ำร้ายยังเกิดโศกนาฎกรรมต่อเนื่องมีเหยื่อหลายถึงขั้นปลิดชีวิตตัวเอง เป็นการตอกย้ำความเหี้ยมโหดของแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างที่สุด

พฤติกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก่อคดีอย่างอุกอาจ มีการปรับเปลี่ยนวิธีการทันยุคสมัยอย่างแยบยล ปีที่ผ่านมา ปี 2564 นับเฉพาะผู้เสียหายเข้าแจ้งความร้องทุกข์มีจำนวนกว่า 1,600 คน รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 1,000 ล้านบาท

รายงานวิจัยเรื่อง  “การศึกษา วิเคราะห์และแนวทางในการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ในมิติกฎหมายของประเทศในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก – ตะวันตก, เหนือ – ใต้ (WEWC – NSEC – SEC)”  เปิดเผยว่า รูปแบบที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์นิยมใช้ในการหลอกลวงมีอยู่ 2 ลักษณะ คือ  “หลอกลวงด้วยความโลภ” เช่น การหลอกลวงผู้เสียหายว่าได้รับคืนภาษี VAT ถูกรางวัล ได้รับเช็คคืนภาษี ฯลฯ โดยอ้างว่าต้องจ่ายค่าบริการเบื้องต้น เป็นค่าบริการและธรรมเนียมต่างๆ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อเพราะความโลภอยากได้เงินหรือทรัพย์สิน ก็จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของคนร้ายที่ได้เตรียมเปิดรองรับไว้

และ “การหลอกลวงด้วยความกลัว”  โดยจะหลอกลวงผู้เสียหายว่า เป็นหนี้ค่าโทรศัพท์ เป็นหนี้บัตรธนาคาร มีบัญชีธนาคารพัวพันกับยาเสพติด บัญชีธนาคารจะต้องถูกอายัดและถูกตรวจสอบโดยสำนักงาน ป.ป.ง. เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจะทำธุรกรรมทางการเงินตามที่กลุ่มคนร้ายบอก เช่น นำบัตรเอทีเอ็มไปทำรายการที่ตู้ถอนเงินอัตโนมัติ ถอนเงินสดจากบัญชีธนาคารของตนเองเพื่อนำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารที่กลุ่มคนร้ายเปิดรองรับไว้ ซึ่งในปัจจุบันลักษณะการหลอกลวงจะใช้ลักษณะทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวเป็นส่วนใหญ่

โดยคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มระบาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2550 และมีผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก เป็นอาชญากรรมที่เริ่มต้นมาจากประเทศไต้หวัน ต่อมาจึงได้ขยายสู่ต่างประเทศ เช่น จีน, เกาหลี, ญี่ปุ่น และอีกหลายๆ ประเทศในแถบทวีปเอเชีย แก๊งคอลเซ็นเตอร์มีการขยายฐานตั้งอยู่ในต่างประเทศ เช่น จีน, ไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, กัมพูชา, ลาว ฯลฯ มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มองค์กรชัดเจน มีการแบ่งหน้าที่กันทำ มีรายได้จากการหลอกลวงโดยแบ่งเปอร์เซ็นต์และมีเงินเดือนประจำ

สำหรับประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นภาครัฐรับทราบดี ซึ่งที่ผ่านมามีการประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลความรู้แก่ประชาชน รวมถึงปราบปรามบุกทะลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเนื่อง แต่ยังไม่มีทีท่าจะกำจัดอาญกรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้สิ้นซาก พวกมันปรับรูปแบบปรับกลอุบายไปเรื่อยๆ ส่วนลักษณะของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในปัจจุบันจะเป็นการโทรศัพท์ไปข่มขู่ อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่หลอกให้โอนเงิน หลอกให้ลงทุน หลอกในรูปแบบอื่นๆ ซึ่งมีประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก

ขณะที่ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ยังคงอาราวาดสร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชนอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ท่าทีของ “บิ๊กตู่ - พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”  นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) บูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพโดยเร่งด่วน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชน โดยเฉพาะการสูญเสียทรัพย์สินจากการถูกหลอกลวง พร้อมเน้นย้ำให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น

กลางเดือน ก.พ. 2565 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกครั้งที่มีการบุกทะลายเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ข้ามชาติ โดยรัฐบาลไทยได้ประสานความร่วมมือไปยังรัฐบาลกัมพูชา เพื่อเปิดปฏิบัติการล่าข้ามประเทศ ทะลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ฝังตัวอยู่ในกัมพูชา รวบตัวผู้ต้องหา 21 ราย ในข้อหา “เป็นอั้งยี่ซ่องโจร มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” กลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย รวมทั้ง ไล่ล่าผู้หลบหนีเพื่อนำตัวกลับมารับโทษสูงสุด

ทั้งนี้ เป็นการขยายผลจากคำสารภาพจากหนึ่งในคนไทที่ถูกหลอกไปทำงานให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เพราะเชื่อคำชักชวนว่า  “ทำงานเป็นพนักงานในกาสิโนประเทศกัมพูชา รับเงินเดือน 20,000 บาท”  แต่สุดท้ายไม่เป็นไปตามข้อตกลง พบว่าตัวเองกลายเป็นเหยื่อในขบวนการจัดหาคนเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ถูกหลอกไปทำงานเหมือนทาส วันละ 15 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด หากขัดขืนจะถูกกักขัง ทำร้ายร่างกาย และหากเป็นผู้หญิงอาจถูกข่มขืนด้วย

อย่างไรก็ตาม สืบพบว่ามีชาวไทยทำหน้าที่จัดหาคนไทยเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ได้ค่าจ้าง 6,500 บาทต่อหัว โดยมีชาวจีนเป็นหัวหน้าเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยพฤติการณ์ขบวนการจัดหาคนเข้าร่วมแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น จะสร้างแรงจูงใจ เช่น รายได้ดี งานสบาย จากนั้นจะพาลอบข้ามแดน บริเวณหลังปราสาทสด๊กก๊อกธม อ.โคกสูง จ.สระแก้ว และเดินเท้าประมาณ 4 กม. ส่งมอบให้ชาวกัมพูชา เพื่อเข้าทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อไป

ปฏิบัติการครั้งนี้นำโดย  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์  รอง ผบ.ตร. ในฐานะ ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร ) หรือ PCT พร้อมคณะทำงาน เข้าพบ พล.อ.เซา ซกคา รอง ผบ.สส. และ ผบ.สห. (Gendarmerrie) ผู้แทนฝ่ายรัฐบาลกัมพูชา เพื่อประสานความร่วมมือปฏิบัติการจับกุมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่แฝงตัวอยู่ในประเทศกัมพูชา เข้าค้นเป้าหมายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในกรุงพนมเปญและเมืองพระสีหนุ

11 ก.พ.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ได้เปิดปฏิบัติการเข้าตรวจค้นเป้าหมายจำนวน 3 จุดพร้อมกัน คือ จุดที่ 1 อาคาร Y.N Hotel กรุงพนมเปญ ชั้น 4-8 ใช้เป็นสถานที่พักอาศัยของผู้ต้องหา โดยใช้ชั้น 9 เป็นสถานที่ในการชักชวนผู้เสียหายหลอกลงทุน มีคนจีนเป็นหัวหน้าและผู้ควบคุมการทํางาน ลักษณะการเป็นการหลอกลวงให้ลงทุนในการซื้อขายเหรียญสกุลดิจิทัล ผ่านเว็บไซต์ Digital Alliance มีผู้เสียหายเป็นคนไทยจํานวนมาก มูลค่าความเสียหายกว่า 200 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย

จุดที่ 2 อาคารตรงข้าม Sokha Vegas Caniso ในเมืองพระสีหนุ เป็นอาคาร 4 ชั้น ชั้นบนสุดใช้เป็นสถานที่พักอาศัย และทํางานในการโทรมาหลอกลวงผู้เสียหายที่ประเทศไทย โดยแอบอ้างเป็น เจ้าหน้าที่ตํารวจ และ DSI มีคนจีนเป็นหัวหน้าคอยควบคุมดูแลสั่งการ และบังคับไม่ให้ออกไปด้านนอก ผู้เสียหายตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงเพราะความกลัว มูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 300 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาได้ 6 ราย

และจุดที่ 3 อาคาร Chinatown GM Office ในเมืองพระสีหนุ ซึ่งเป็นที่พักและ ที่ทํางานในการชักชวนผู้เสียหายหลอกลงทุน โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่ม มีกลุ่มคนจีนควบคุมแต่ละกลุ่ม ลักษณะการหลอกลวงให้เล่นเกมส์แบบพิชิตเป็นภารกิจโดยส่งลิ้งค์ผ่านเว็บไซต์ 888168 hs.com เพจ ct make money โดยอ้างตัวเป็นเครือของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล และ ปตท. หรือ กลุ่ม PTTEP มีผู้เสียหายเป็นคนไทยจํานวนมาก มูลค่าความเสียหายไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาได้อีก 13 ราย รวมทั้ง 3 จุด สามารถจับตัวผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้น 21 ราย โดยเจ้าหน้าที่กัมพูชาจะนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งให้เจ้าหน้าที่ ตม.จว.สระแก้ว เพื่อกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทย

ผู้ต้องหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 21 ราย ตั้งฐานกบดานในประเทศกัมพูชา ถูกส่งตัวกลับประเทศไทย

 ทางการไทย - กัมพูชา ประสานความร่วมมือทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่
 นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่วว่า หลังจากนี้จะมีความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลกัมพูชา จะมีเอ็มโอยูร่วมกันเพื่อสร้างระบบปิดกั้นและทลายกระบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่แฝงตัวในประเทศกัมพูชา

สำหรับสถานการณ์ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาอาละวาดทุกวัน ซึ่งยังประชาชนยังหลงเชื่ออยู่นั้น รัฐโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกระทรวงดีอีเอส ได้ตั้งคณะทำงานและติดตามใกล้ชิด แต่ด้วยช่องทางการสื่อสารมีหลายช่องทาง เมื่อรัฐปิดกั้นกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็เปิดช่องทางใหม่ เพราะระบบการสื่อสารในประเทศไทยเป็นระบบเปิด รัฐไม่สามารถปิดกั้นประชาชนไม่ให้ติดต่อสื่อสารกันได้ สิ่งที่รัฐทำได้คือตรวจสอบว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรมาจากจุดไหน หากเป็นต่างประเทศจะมีการประสานไปยังรัฐบาลประเทศนั้นๆ เพื่อจับกุม เพราะไทยเองไม่สามารถส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจไปจับกุมผู้กระทำผิดในต่างประเทศได้

ส่วนระบบบล็อกเบอร์คอลเซ็นเตอร์ในอนาคตอันใกล้เป็นไปได้ยาก เพาะระบบการสื่อสารเมืองไทยเป็นระบบเปิดเว็บ โซเชียลมีเดีย เราปิดก็สามารถเปิดใหม่ได้ วิธีที่ดีที่สุด คือ ต้องทลายกระบวนการเหล่านี้รวมถึงการแจ้งเตือนประชาชน ซึ่งทางธนาคารแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ก็มีการแจ้งเตือนก่อนโอนเงินในแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิ้งและอินเทอร์เน็ตแบงก์กิ้ง โดยก่อนโอนเงินทุกครั้ง จะให้มีการแจ้งเตือนข้อความกับประชาชนว่า ถ้ามีคนโทรมาหลอก หรือมีการอ้างว่า ท่านกระทำความผิดให้ส่งเงินไป ขอให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นการหลอกลวงต้มตุ๋นซึ่งต้องเตือนประชาชน เป็นต้น

อย่าไรก็ดี สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประสานความร่วมมือร่วมกับกระทรวงดีอีเอส สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์ อาทิ AIS DTAC TRUE บมจ.โทรคมนาคมแห่งชาติ 3BB ในเรื่องการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์และอาชญากรรมทางออนไลน์ มีการประชุมมีการหารือความร่วมมือ สรุปดังนี้

1. การขอความร่วมมือให้สำนักงาน กสทช. และผู้ให้บริการ แจ้งประชาสัมพันธ์ ส่งข้อความเตือนภัย ให้ความรู้แก่ประชาชน ถึงรูปแบบอาชญากรรมทางเทคโนโลยี จำนวน 14 รูปแบบ ได้แก่ (1)หลอกขายของออนไลน์ (2) คอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ข่มขู่ให้เกิดความกลัว (3) เงินกู้ออนไลน์ ดอกเบี้ยโหด (4) เงินกู้ออนไลน์ ที่ไม่มีจริง (เงินกู้ทิพย์) (5) หลอกให้ลงทุนต่างๆ (6) หลอกให้เล่นพนันออนไลน์ (7) ใช้ภาพปลอมหลอกให้หลงรักแล้วโอนเงิน (Romance scam) หรือ หลอกให้ลงทุน (Hybrid scam) (8) ส่งลิงก์ปลอมเพื่อหลอกแฮ็กเอาข้อมูลส่วนตัว (9) อ้างเป็นบุคคลอื่นเพื่อหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว (10) ปลอม Line, Facebook หรือ Account หลอกยืมเงิน (11) ข่าวปลอม (Fake news) - ชัวร์ก่อนแชร์ (12) หลอกลวงเอาภาพโป๊เปลือยเพื่อใช้แบล็กเมล์ (13) โฆษณาชวนไปทำงานต่างประเทศแล้วบังคับให้ทำงานผิดกฎหมาย (14) ยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) ซึ่งเข้าข่ายเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน

2. การขอความร่วมมือผู้ให้บริการ ผู้รับใบอนุญาต ในการแก้ปัญหาการหลอกลวงประชาชนโดยใช้การปลอมหมายเลขโทรศัพท์ จากการใช้เทคโนโลยี VoIP (Voice over Internet Protocol) นั้น ผู้ให้บริการต่อสาย VoIP ไปยังปลายทาง (Call Termination) ต้องตรวจสอบการโทรที่มาจากต่างประเทศ หากเบอร์ที่โทร.มานั้นมีรูปแบบเป็นเบอร์โทรศัพท์บ้าน เบอร์พิเศษ 3 หลัก หรือเบอร์พิเศษ 4 หลักของประเทศไทย ให้ผู้ให้บริการดังกล่าวตัดสายเพื่อไม่ให้ส่งต่อการโทร.นั้น ไปยังปลายทางในประเทศไทย และกำชับผู้ให้บริการต่อสาย VoIP ไปยังปลายทาง (Call Termination) ดังกล่าว ต้องแสดงเบอร์โครงข่ายของตนเองหรือโครงข่ายที่ตนเองเช่าใช้ ที่โทรศัพท์ที่รับสายปลายทางด้วย หากพบว่ามีการโทรเข้าโดยส่งเบอร์แปลกปลอมที่ไม่ใช่เบอร์ของตนเองเข้ามาให้ตัดสายนั้นทันที ทั้งนี้ เพื่อเป็นการป้องกันการปลอมแปลงเบอร์โทรเข้ามา รวมทั้งให้แสดงแหล่งที่มาของข้อมูลที่มาจากต่างประเทศ ให้ชัดเจน แตกต่างจากข้อมูลภายในประเทศ เช่น มีเครื่องหมาย + หรือสัญลักษณ์เฉพาะ ที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือของประชาชน เพื่อจะได้ทราบในทันทีจะได้ไม่หลงเชื่อว่าเป็นหมายเลขโทรศัพท์ของหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐ

และ 3. การตรวจสอบแหล่งที่มาของข้อมูล/ช่องทางการส่งข้อมูล (Traffic) ที่คนร้ายใช้ในการติดต่อ เพื่อสืบสวนหาต้นตอในการจับกุม สืบสวน และปิดกั้นช่องทางการส่งข้อมูล (Traffic) ดังกล่าวต่อไป

 แก๊งคอลเซ็นเตอร์เป็นภัยคุกคามทางเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ แม้ทางการพยายามกวาดล้างอย่างหนักก็คงไม่สามารถกำจัดได้สิ้นซาก โจทย์ข้อใหญ่คือจะสร้างเกราะคุ้มกันให้ประชาชนรอดพ้นกลโกงมิจฉาชีพได้อย่างไร เพราะขนาดเป็นข่าวครึกโครมมีคนตกเป็นเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์จำนวนมาก มีข่าวบุกทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ต่อเนื่อง แต่ก็ยังมีประชาชนอีกเป็นหลงกลตกเป็นเหยื่อไม่เว้นแต่ละวัน 




กำลังโหลดความคิดเห็น