xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

รวมไทยสร้าง “ตู่” แก้เกม “ขี่คอ-บีบไข่” แก้เผ็ด “พี่เลิฟ-พรรคร่วม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - อุณหภูมิการเมืองร้อนแรงใกล้ทะลุองศาเดือดเข้าไปทุกที

ไม่ว่าคิวฝ่ายค้านไล่ถลุงรัฐบาลที่กำลังเมาหมัดจากสารพัดปัญหา หรือความแตกแยกภายในรัฐบาลเอง ทั้งเรื่องชุลมุนฝุ่นตลบใน “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ

ซีกฝ่ายค้านเองก็ใช่ย่อย บดบี้รัฐบาลอยู่ดีๆ เกิดผิดคิวกับ “เกมสภาล่ม” จนหันมาล่อกันเอง “ค่ายสีส้ม” พรรคก้าวไกล ออกมาฟาด “ค่ายสีแดง” พรรคเพื่อไทย ที่เล่นเกมการเมืองแบบ “ไม่หลักปักเลน” รัวๆ

หรือรายการลิ้นกับฟันกระทบกันของพรรคร่วมรัฐบาล ที่ล่าสุดทำท่าว่า คณะรัฐมนตรีใกล้ “วงแตก” ตั้งแต่วิวาทะระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ ช่วงเลือกตั้งซ่อมที่ภาคใต้

เรื่อยมาจนถึงปมร้อนที่ 7 รัฐมนตรี “ค่ายเซราะกราว” พรรคภูมิใจไทย นำโดย “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข โดดประชุม ครม. ร่อนหนังสือลาประชุมระบุสาเหตุชัดเจน ไม่ขอร่วมสังฆกรรมการแก้ไขสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือการต่ออายุสัมปทานไปอีก 30 ปี

เป็นประเด็นที่คาราคาซังตั้งแต่ตั้งรัฐบาลใหม่ๆ ที่ “พี่น้อง 2 ป.” คือ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เก็กซิมไม่น้อยที่ยังปิดจ๊อบไม่ลง และล่าสุดทำได้แค่ให้ ครม.รับทราบ และกลับไปเคลียร์ข้อติดใจของกระทรวงคมนาคม ที่ “ค่ายเซราะกราว” ดูแลอยู่ก่อน

ทำเอา “นายกฯ ตู่” ที่นั่งหัวโต๊ะวงประชุม ครม.ถึงกับบ่นพรึม “วันนี้พิสูจน์แล้วใครเป็นอย่างไร” เป็นข้อพิสูจน์ว่าการเมืองไม่หมู โดยเฉพาะการที่ไม่มี “นั่งร้าน” ที่แข็งแกร่งพอ ที่จะยึด “กระทรวงเกรดเอ” ไว้ดัน “วาระสำคัญ” ให้สำเร็จตามใจ

ยิ่งในช่วงปลายสมัยที่รัฐบาลกำลังง่อนแง่นอย่างหนัก ครั้นจะหักดิบ “ลุยไฟ” ไปเลยก็ใจไม่กล้าพอ แถมเพื่อนร่วม ครม.กระตุกไว้อีก ตามประสา “เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง” จะไปตกพุ่มซวยด้วยทำไม

ด้วยเป็น “วาระเสี่ยง” ที่หลายฝ่ายจับตา ฝ่ายค้านก็เคยอภิปรายชำแหะไว้หลายหน เบื้องลึก-เบื้องหลัง ใน ครม.รู้กันว่า ใครคิดอ่านอย่างไร

ยิ่งเข้าช่วงใกล้หมดเทอม ก่อนแยกย้ายไปลุยกันในสนามเลือกตั้ง ตามประสา “นักเลือกตั้ง” เรื่องไหนตุน “กระสุน-กระแส” ได้ต้องคว้าไว้ให้เรียบ

ทั้งหลายทั้งปวง ตลอดจนงาน “ฝ่ายนิติบัญญัติ” สภาผู้แทนราษฎร ติดกุกติดกักไปหมด เป็นบรรยากาศที่ชวนให้ฟันธงว่า รัฐบาลคงอยู่ไม่ครบเทอม 4 ปี เต็มที่ต้องปล่อยอำนาจช่วงปลายปีนี้ หรืออาจต้องคิดไปถึงการยุบสภาวันนี้วันพรุ่งด้วยซ้ำ

และยังเป็นประเด็นให้ “นายกฯ ตู่” ฉุกคิดด้วยว่า หากจะลงสนามต่อท่ออำนาจลุ้นเก้าอี้นายกฯสมัย 3 จะต้องเดินเกมอย่างไรเพื่อให้ได้ ส.ส.มากที่สุด ไม่ให้พรรคร่วมรัฐบาล หรือพรรคเดียวกัน ที่มี “พี่คนละท้อง” คุมเกม “ขี่คอ - บีบไข่” อย่างที่ผ่านมา

ปัญหาอยู่ที่ ความเข้มขลังของ “ลุงตู่” ไม่เหมือนช่วงเป็นนายกฯ คสช. และเทียบไม่ได้กับช่วงเป็นแคนดิเดตนายกฯ เมื่อครั้งเลือกตั้งปี 2562 จากสารพัดปัญหาที่สหบาทารัฐบาลมาตลอด 2-3 ปีมานี้ ยังไม่รวมปมดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ที่ค่อนไปว่ากันช่วงเดือน ส.ค.65 นี้

อีกปัญหาสำคัญก็อยู่ที่ รอยปริร้าวของ “3 ลุง 3 ป.” ที่ดูเหมือนความสัมพันธ์ 50 ปี ของ “พี่ใหญ่” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เพิ่งประกาศว่า เลือกตั้งหนหน้าพรรคพลังประชารัฐตั้งเป้าคว้า 150 ที่นั่งเป็นอย่างน้อย กับ “น้องเล็ก” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มี “พี่รอง” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เคียงข้าง จะไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เมื่อต่างฝ่ายต่างก็มี “ลิ่วล้อ” แยกตัวออกไปเปิดพรรคสาขาใหม่ ทำท่าจะไปสร้างดาวคนละดวง

เปลือยฉากหลังว่า “พี่น้อง 3 ป.” เดินเกมกันแบบ “ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
อย่างไรก็ดี หากจับอาการเบื้องหน้าของ “น้องตู่” และ “พี่ป้อม” ที่ต่างหยอดคำหวานถึงกัน ก็ยังถือว่า ไม่ได้แตกหักกันเสียทีเดียว โดยเฉพาะการแสดงความมั่นใจในเสถียรภาพรัฐบาลที่ออกจากปาก “ประยุทธ์” ล้วนแล้วแต่อ้างอิงคำมั่นของ “พี่ป้อม” ทั้งสิ้น

“เขายืนยันว่าเขาร่วมรัฐบาลอยู่ พล.อ.ประวิตร ยืนยันมาอย่างนั้น” คือคำตอบของ “นายกฯ ตู่” เมื่อถูกถามถึงพรรคเศรษฐกิจไทย สังกัดใหม่ของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และ ส.ส.ในกลุ่ม

ภายหลังอัปเปหิ “กลุ่มกบฏ” ที่นำโดย “ผู้กองนัส” อดีตเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เจ้าของวรรคทอง “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” ออกไปจากพรรค โดย “ลุงป้อม” ยืนยันว่า เป็น “พรรคร่วมรัฐบาล” อย่างแน่นอนนั้น แต่ดูเหมือนสถานการณ์การเมืองภายในรัฐบาลก็ดูยังไม่ดีขึ้น
โดยเฉพาะตัว “ธรรมนัส” เองที่ปล่อยคลิป โพสต์ข้อความอย่างมี “นัย” ตลอดเวลา และก็ยังไม่เคยเอ่ยออกจากปากเองว่า สนับสนุน “ประยุทธ์” ทั้งในรัฐบาลชุดนี้ หรือการสนับสนุนเป็นแคนดิเดทนายกฯสมัยหน้า

ชัดเจนจากการพูดถึงนายกฯ ในดวงใจว่า ต้อง “เคมีตรงกัน” เท่านั้น ซึ่งที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่า “พี่ตู่-น้องนัส” นั้น “เคมีไม่ตรงกัน” อย่างสิ้นเชิง


นอกจากนี้ยังมีการรีรันปล่อยข่าวแซะเก้าอี้ “มท.1” รมว.มหาดไทย ของ “เสือป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา เพื่อให้ “บิ๊กป้อม” ไปนั่งแทนอีกคำรบ อันเป็นจุดยืนเดิมของ “ก๊วนธรรมนัส” อีกต่างหาก

ไม่ต้องไปไกลมาก เพียงแค่ “โหวตแรก” ของพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ “ก๊วนธรรมนัส” ย้ายไปสังกัด ก็ประเดิม “โหวตสวน” มติพรรคพลังประชารัฐทันที แม้ตัว “ธรรมนัส” จะไม่โหวต แต่ ส.ส.ในกลุ่ม 14 คนก็ลงมติไม่เห็นด้วยในการส่งร่าง พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่.. ) พ.ศ. ... หรือ “พ.ร.บ.สุราก้าวหน้า” ที่เสนอโดย “ส.ส.เท่า” เท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล และคณะ ไปให้ ครม.พิจารณาก่อนส่งคืนให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาภายใน 60 วัน

ถึงจะไม่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลแพ้ แต่คะแนน 207 ต่อ 196 เสียง ห่างกันเพียง 11 คะแนน ก็พอทำให้เห็น “สัญญาณ” บางประการ

เป็นสัญญาณที่เชื่อว่า “ประยุทธ์” คงไม่กล้าเดินเข้าสังเวียนอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ตามคิวจะบรรเลงกันในสภาผู้แทนราษฎรช่วงสมัยประชุมหน้า เดือน พ.ค.65 เป็นต้นไป

เป็นสัญญาณ “บีบไข่” ที่ “แรมโบ้อีสาน” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ให้เป็นเหตุผลในการลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ และไปขับเคลื่อน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” เพื่อเป็นนั่งร้านใหม่ “บิ๊กตู่”

“ในฐานะที่เป็นผู้ช่วยนายกฯ ถ้าเราไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่หาทางออกเผื่อสำหรับนายกฯ สมมุติว่าหากวันดีคืนดีพรรคพลังประชารัฐไม่เสนอ พล.อ.ประยุทธ์เป็นแคนดิเดตนายกฯ อีก นายกฯ จะมีประตูทางเดินออกหรือไม่ หรือตอนอภิปรายไม่ไว้วางใจมีกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ลงคะแนนให้นายกฯ ถ้าเราไม่เตรียมการหาบ้านหลังใหม่เผื่อนายกฯ ตั้งแต่วันนี้ นายกฯ ก็จะถูกกดดัน ภาษาบ้านผมเรียกว่าจะมาบีบไข่นายกฯ แบบนี้ตลอดไม่ได้ ผมจะไม่ยอมให้นายกฯ โดดเดี่ยวเดียวดาย ยืนยันว่าไม่ได้เป็นพรรคสำรอง และอย่าเพิ่งเรียกว่าเป็นพรรคนายกฯ เพราะผมเตรียมเผื่อนายกฯ” เจ้าของสมญา “แรมโบ้อีสาน” ว่าไว้

เอาเข้าจริงชื่อของ “รวมไทยสร้างชาติ” ไม่ใช่ของใหม่ มีการจดตั้งพรรคมาร่วมปีแล้ว แต่เงียบๆ ไปเพราะกติกาบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เหมือนๆ “พรรคสำรอง” ยี่ห้ออื่น เพิ่งมาหวือหวาอย่างมากในปลายเทอมของรัฐบาล หลังเกิด “กบฏธรรมนัส” และพรรคเศรษฐกิจไทย

เป็นชนวนให้ “แรมโบ้” เริ่มออกตัวแรง เคลื่อนไหวอย่างหนักทันที พร้อมกับดึง “เสี่ยปาล์ม” ปรพล อดิเรกสาร อดีต ส.ส.สระบุรี ยื่นใบลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ เพื่อจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ตามคำเชิญชวน

แน่นอนว่า “ปรพล” ไม่ได้เป็น “บิ๊กเนม” ก็จริง แต่ก็เดินการเมืองแบบไม่ธรรมดา ตามประสา “ทายาทราชครูรุ่นที่ 4” ที่มีตัวเลือกมากกว่าไปตายเอาดาบหน้ากับ “รวมไทยสร้างชาติ” หรือเอาชื่อไปผูกกับ “เสกสกล” ที่ไม่ได้มีเครดิตชนิดให้คนอย่าง “ปรพล” ก้มหน้าก้มตาเดินตาม หากแต่ยี่ห้อราชครูย่อมต้องรู้ว่า พรรคนี้ไม่ได้ตั้งมาแค่เล่นๆ

แม้ปัจจุบันจะมีพรรคอะไหล่ พรรคสำรอง ที่ตั้งขึ้นมาเป็นนั่งร้านเตรียมให้ “บิ๊กตู่” มากมายก่ายกอง ไม่ว่าจะเป็น “พรรคไทยสร้างสรรค์” ของ “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต รมว.ศึกษาธิการ กับผองเพื่อนอดีตแกนนำ กปปส. หรือ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” ของ “กำนันเทือก” สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เป็นตัวเลือกรออยู่ รวมทั้ง “พรรคไทยภักดี” ของ “นพวรงค์ เดชกิจวิกรม” ที่มีจุดยืนหนุน “บิ๊กตู่” แบบไม่มีกั๊กแล้ว

ว่ากันว่า “รวมไทยสร้างชาติ” นี่แหละคือ นั่งร้านอันใหม่ที่ “บิ๊กตู่” เลือกจะเอามาใช้อย่างจริงจังในครั้งหน้า ตั้งแต่ชื่อพรรคที่เป็นคนไฟเขียวให้ “แรมโบ้อีสาน” เอามาใช้

เพราะ “บิ๊กตู่” เอง เป็นคนคิดค้นคำนี้ขึ้นมา และชื่อชอบคำๆ นี้มาก เหมือนกับเมื่อครั้งไฟเขียวให้ “4 กุมาร” ไปตั้ง “พรรคพลังประชารัฐ” ที่ชื่อพรรคก็ผ่านการกลั่นกรองจากคนบนตึกไทยคู่ฟ้าก่อนแล้ว

ขณะเดียวกัน พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้มีคีย์แมนเพียง “แรมโบ้อีสาน” เท่านั้น เพราะลำพังแค่ตัวละครนี้ขายไม่ได้แน่นอน ต่อให้ขึ้นชื่อว่า เป็นคนที่จงรักภักดีกับ “บิ๊กตู่” มากคนหนึ่งในยุคนี้ แต่แค่ถูกมอบหมายให้รับบท “หนังหน้าไฟ” เคลื่อนไหวบนดิน เพื่ออำพรางฉากข้างหลังที่ล้วนแล้วแต่มี “กองกำลังลับ” ที่ถูกซ่อนไว้มากมาย

หนึ่งในนั้น คือ บิ๊กเซอร์ไพร์สที่ไม่เซอร์ไพร์สของ “แรมโบ้อีสาน” อย่างอักษรย่อ “ต.เต่า” ที่ไม่ต้องเดาว่าคือใคร อย่าง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐของ “บิ๊กป้อม”

ตัวละครตัวนี้นี่แหละที่ทำให้ “รวมไทยสร้างชาติ” ไม่ได้เป็นแค่พรรคกะโหลกกะลาเอาฮาอย่างเดียว หากแต่เป็น “สายตรงไทยคู่ฟ้า” ของ “บิ๊กตู่” เพราะ “พีระพันธุ์” คือ มือกฎหมายที่ “บิ๊กตู่” หมายมั่นปั้นมือจะเอาไว้ใช้ข้างกายในสมัยหน้า หลังจาก “เนติบริกร” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ซือแป๋ที่ใช้บริการมาแล้ว 8 ปี แจ้งความประสงค์จะหยุดพักหลังจบรัฐบาลชุดนี้

อดีต รมว.ยุติธรรมในรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รายนี้ไม่ได้มีแค่ความชำนิชำนาญในด้านกฎหมาย เพราะเป็นอดีตผู้พิพากษาเก่าเท่านั้น แต่ศึกษาเกี่ยวกับการทำพรรคการเมืองจริงจัง เคยทำพิมพ์เขียวปรับโครงสร้างพรรคพลังประชารัฐเอาไว้เล่มหนึ่ง ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรคพลังประชารัฐ ที่มี “บิ๊กป้อม” นั่งหัวโต๊ะ เคยนำเข้าไปพิจารณา โดยมีเขาคอยนั่งอธิบายยาวเหยียด

แต่แล้วพิมพ์เขียวของ “พีระพันธุ์” ก็เป็นหมัน เพราะครั้งหนึ่ง “บิ๊กป้อม” ต้องการนำเรื่องนี้เข้าไปเพื่อลดแรงกระเพื่อมภายในพรรคพลังประชารัฐ โดยเฉพาะการคืบคลานจะยึดพรรคของ “บิ๊กตู่” โดยมี 6 รัฐมนตรีสายจันทร์โอชา ร่วมก่อการ

การนำพิมพ์เขียวของ “เสี่ยตุ๋ย” เข้าไป เพื่อลดแรงเสียดทานให้ “ผู้กองนัส” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่กำลังถูก “บิ๊กตู่” หมายหัวในตอนนั้นเท่านั้น โดยเฉพาะไอเดียแต่งตั้งรองหัวหน้าพรรคแต่ละภาค เพื่อลดอำนาจเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ แต่จนแล้วจนรอด ไม่มีการปรับโครงสร้างพรรคใดๆ ตามพิมพ์เขียวของ “เสี่ยตุ๋ย” เลย

อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบัน “พีระพันธุ์” จะยังเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ และยังไม่ได้ลาออก มิหนำซ้ำยังกินตำแหน่ง “ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค” คู่กับ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม แต่เขาก็แทบไม่มีบทบาทอะไรในพรรคเลย หลังมีการตั้ง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา คนสนิทของ “บิ๊กป้อม” มาคานอำนาจ ในฐานะประธานยุทธศาสตร์พรรค

นอกจากนี้ ยังลือกันว่า ที่ปรึกษา “บิ๊กตู่” คนนี้คือ คนๆ เดียวกับที่ร่างหนังสือ ให้กับ “เสี่ยเบี้ยว” สมศักดิ์ พันธ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา ขอให้ “หัวหน้าป้อม” ทบทวนมติขับ 21 ส.ส.

ต้องไม่ลืมว่า ครั้งหนึ่ง “พีระพันธุ์” เคยตัวลงชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชูธงสังคายนาพรรค แต่ไม่สามารถเปลี่ยนใจผู้บริหารพรรคสีฟ้าให้คล้อยตามได้ สุดท้ายเมื่อพ่ายแพ้ก็เก็บข้าวเก็บของออกจากบ้านหลังเก่าที่อยู่มานาน กระทั่งมาซบ “บิ๊กตู่” เหมือนเป็นปมในใจที่ต้องการทำพรรคให้สู้กับพรรคเพื่อไทย และพรรคอื่นๆ ได้

ดังนั้น “พีระพันธุ์” คือ แม่งานใหญ่เบื้องหลังที่กำลังปลุกปั้นพรรครวมไทยสร้างชาติ และยังมีแรงหนุนจาก “กำนันสุเทพ” ที่ส่ง “ลูกขิง” เอกณัฏ พร้อมพันธุ์ อดีต ส.ส.กทม. และลูกบุญธรรมของสุเทพ มาช่วยเดินงานให้กับ “พีระพันธุ์” มาระยะหนึ่งแล้ว

กระนั้นก็ดี บิ๊กเซอร์ไพร์สของ “แรมโบ้อีสาน” ไม่ใช่ “ต.เต่า” เพราะบิ๊กเบิ้มของจริงคือ “บิ๊ก ด.” อดีตนายทหารคนดัง เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่นของ “เสี่ยตุ๋ย” คนที่ขึ้นชื่อว่า เป็นน้องเลิฟของ “บิ๊กตู่”

โดยรายนี้อาจจะไม่ได้มาอยู่หน้าฉาก แต่จะรับภารกิจ “แบ็กอัพ” ให้กับพี่ชายสุดที่เลิฟอย่างที่ทำมาตลอดตั้งแต่สมัย คสช.

ขณะที่ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ที่จะเข้ามาอยู่ในทีม ส.ส. จะเป็น ส.ส.ภาคใต้ และกทม.ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ต้องอาศัยแสงจาก “บิ๊กตู่” เช่นเดิม นอกเหนือจากนี้ ยังมีสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางคนที่เตรียมเก็บข้าวเก็บของมาอยู่ด้วย โดยมีระดับ “บิ๊กเนม” ที่ระยะหลังทำงานใกล้ชิด “บิ๊กตู่” จนถูกคนใน “พรรคสีฟ้า” เขม่น

แม้ “บิ๊กป้อม” จะยืนยันว่า จะทำพรรคพลังประชารัฐต่อ พร้อมกับประกาศกร้าวว่า ครั้งนี้จะกวาดให้ได้ 150 ที่นั่ง แต่ทุกคน แม้แต่ลูกพรรคต่างรู้ว่า เป็นการ “บลัฟ” ไปแบบนั้น ทั้งที่ห่างไกลความเป็นจริง เพื่อให้เห็นความสลักสำคัญของ “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่ตัวเองเป็นหัวหน้าอยู่

เพราะหาก “บิ๊กป้อม” มั่นใจว่าสามารถกวาด ส.ส.ในสนามเลือกตั้งได้อย่างที่คุยโว คงไม่ปล่อยให้มือขวาอย่าง “ผู้กองนัส” แตกสาขาออกไปเป็นพรรคเศรษฐกิจไทยแน่นอน

“พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” เองรู้ดีอยู่เต็มอกว่า พรรคพลังประชารัฐ หลังนี้ “ผุพัง” จนยากจะซ่อมแซมได้ หากแต่ที่ต้องคอยให้คำมั่นกับลูกพรรคก็เพื่อประคองสถานการณ์ไปจนยุบสภาเท่านั้น

 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม | ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ | สุเทพ เทือกสุบรรณ
ที่สำคัญ “บิ๊กป้อม” รู้ว่า “บิ๊กตู่” ไม่มีทางจะใช้นั่งร้านที่สภาพทรุดโทรมเกินจะบูรณะอันนี้อีกแล้ว และ “รวมไทยสร้างชาติ” นั้นคือ นั่งร้านอันใหม่ที่น้องเล็กแห่งบูรพาพยัคฆ์จริงจัง

การดันทุรังใช้พรรคพลังประชารัฐต่อมีแต่ “เจ๊งกับเจ๊ง” อาจกลายเป็นพรรคต่ำสิบในการเลือกตั้งครั้งหน้า เพราะหาก “บิ๊กป้อม” ยังเป็นหัวหน้าพรรค คงเอาไปเร่ขายเพื่อเรียกคะแนนไม่ได้

ผลการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ใน 3 สนาม ไม่ว่าจะเป็นที่ จ.สงขลา ชุมพร และ กทม.หนหลังสุดคือ เครื่องการันตีได้เป็นอย่างดี

ตามรูปการณ์แม้วันนี้ “พี่ป้อม” จะร่วมเป็นหนึ่งใน “แก๊งบีบไข่นายกฯ” แต่หากจะทำการเมืองต่อ จำเป็นต้องมี “บิ๊กตู่” เป็นตัวชูโรงเหมือนเดิม หาก “บิ๊กตู่” ไม่มาพรรคพลังประชารัฐ อย่างไรก็ไปต่อลำบาก

หันไปดูที่ค่ายเศรษฐกิจไทย ที่คาดว่าจะมี “บิ๊กน้อย" พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เป็นหัวหน้าพรรค มี “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. น้องในไส้ “พี่ป้อม” เป็นที่ปรึกษา และมี “ผู้กองนัส” เป็นตัวชูโรง อาจได้ในแง่ “งานใต้ดิน” กับนักเลือกตั้ง แต่เชื่อว่า ไม่ได้ใจชาวบ้านเจ้าของเสียงแน่นอน

เช่นเดียวกับ “พลังดูด” ที่เคยทรงพลานุภาพ ก็จะไม่หวือหวาเหมือนกับมีชื่อ “บิ๊กตู่” ที่มี “ทุนใหญ่” ผูกเสี่ยวไว้อยู่

หากแต่ปัญหาของ “รวมไทยสร้างชาติ” คือ จะทำอย่างไรให้แต่ละพรรค แต่ละมือทำงาน ที่ปวารนาตัวเป็นนั่งร้านให้ “บิ๊กตู่” มารวมตัวกันอยู่ที่จุดๆ เดียว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “คีย์แมน” ที่ยังอยู่ในพรรคพลังประชารัฐ ทั้ง สันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง รักษาการเลขาธิการพรรค, “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม รักษาการรองหัวหน้าพรรค, “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ที่มีข่าวว่าตั้งพรรคไว้รอนายกฯเช่นกัน หรือหลายคนก็ยังมีคอนเนกชั่นกับ “มูลนิธิป่ารอยต่อฯ” อยู่

หรือกลุ่มสามมิตร ของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ - สมศักดิ์ เทพสุทิน - อนุชา นาคาศัย ที่เป็นประเภท “นกรู้” เลือกอยู่กับผู้ชนะได้ตลอด รวมถึงผู้เล่นข้างสนามที่ยังพอมีฝีมือ อย่าง “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ กับกลุ่มอดีต กปปส.

หากถึงเวลาที่ทุกคนต้องผละจากพรรคพลังประชารัฐ ต้องมี “บิ๊กดีล” แบบปฏิเสธไม่ได้ ให้บ่ายหน้ามาที่จุดหมายเดียวกันที่ “รวมไทยสร้างชาติ” ถึงจะพอปั้นพรรคให้แข็งแกร่งไม่น้อยกว่าพรรคพลังประชารัฐในการเลือกตั้งปี 2562

เพราะตามกติกาบัตรเลือกตั้งสองใบ ยุทธศาสตร์การ “แตกแบงก์พันเป็นแบงค์ร้อย” ใช้การไม่ได้ หากต่างฝ่ายต่างสร้างอาณาจักรตัวเอง คะแนนจะกระจัดกระจาย เสียเปรียบฝ่ายตรงข้าม

ภารกิจหลักของ “รวมไทยสร้างชาติ” ตอนนี้คือ รวบรวมกำลังพลให้มาอยู่กันเป็นกลุ่มก้อน เพื่อเพิ่มโอกาสชนะเลือกตั้ง และ “สร้างตู่” ไม่ให้ตกอยู่ในสภาพโดน “ขี่คอ” แบบที่เป็นมา หรืออย่างน้อยต้องปั้นเสียงให้พอสมควร ไม่ต่ำกว่า 100 ที่นั่ง เพื่อไปรวมกับ “พรรค ส.ว.” ที่ยังได้ร่วมโหวตนายกฯอีกหน

ง่ายกว่าหาก “บิ๊กตู่” รีบแสดงความชัดเจน ชี้นิ้วไปให้ “นักการเมือง-นักเลือกตั้ง” เห็นว่า “รวมไทยสร้างชาติ” นี่แหละใช่เลย รีบแต่งตัวเตรียมเลือกตั้งกันแต่เนิ่นๆ

หรือง่ายที่สุด “ลุงตู่” ก็รับเทียบเชิญนั่งเป็นหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ เล่นเอง เจ็บเอง ไม่ต้องไปยืมจมูกคนอื่นหายใจ

ขืนทำเหนียมๆ รอไปถึงช่วงโค้งสุดท้ายใกล้เลือกตั้ง จะไม่ทันเอานะโยม.





กำลังโหลดความคิดเห็น