"ปัญญาพลวัตร"
"พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต"
เพียงช่วงเดือนแรกของปี 2565 มีการกระทำของนักการเมืองหลายอย่าง ซึ่งแตกต่างจากแบบแผนเดิม การกระทำบางอย่างดูน่าฉงน ด้วยมีลักษณะแตกต่างจากประสบการณ์และระเบียบทางความคิดเดิมในอดีต ขณะที่บางอย่างอาจเคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นแบบแผนเดิมที่สามารถทำความเข้าใจโดยเชื่อมโยงกับประสบการณ์ในอดีต การเปลี่ยนแปลงการกระทำเป็นผลมาจากการเปลี่ยนความคิด และความปรารถนาของผู้แสดงทางการเมือง ที่มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับบริบทแวดล้อม และส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ของระบบการเมืองและองค์การที่คนเหล่านั้นเป็นสมาชิก
ความเกรงใจต่อผู้มีอำนาจเหนือกว่าเป็นระเบียบความคิดและแบบแผนการกระทำปกติของคนไทย รวมทั้งบรรดานักการเมือง แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการกระทำต่อผู้มีอำนาจที่เคยเหนือว่า ในลักษณะที่ท้าทายและแตกต่างจากแบบแผนเดิม ย่อมแสดงให้เห็นว่า ผู้กระทำไม่เกรงใจอีกต่อไป และมีนัยว่า อำนาจที่เคยเหนือกว่าของบุคคลใดบุคลหนึ่งกำลังตกอยู่ในสภาวะโรยรา
ความแปลกใหม่ของพฤติกรรมทางการเมืองอย่างหนึ่งเกิดขึ้นช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 นั่นคือ การที่รัฐมนตรีของพรรคภูมิใจไทยทั้งหมด 7 คน ไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 8 กุมภาพันธ์ โดยอ้างเหตุผลว่าไม่เห็นด้วยกับกระทรวงมหาดไทยที่จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบการต่อสัมปทานสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียว ทั้งที่ยังมีปัญหาข้อกฎหมายที่ยังจัดการไม่เรียบร้อย พฤติกรรมแบบบอยคอตทั้งพรรค ทั้งที่ยังร่วมรัฐบาลอยู่ไม่เคยเกิดมาก่อนในการประชุมคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลประยุทธ์ และอาจรวมถึงรัฐบาลอื่น ๆ ในอดีตด้วย
พรรคภูมิใจไทยมีเหตุผลอะไร ที่แสดงพฤติกรรมที่ไร้ความเกรงใจพลเอกประยุทธ์เช่นนี้ และการกระทำของพรรคภูมิใจไทยมีนัยอะไรบ้างทางการเมือง เป็นเรื่องที่เราจะทำความเข้าใจ แต่ก่อนอื่น ผมขอกล่าวถึงแบบแผนการตัดสินใจและแนวปฏิบัติบางอย่างในการประชุม ซึ่งมีสองแบบหลักคือ การประชุมที่มีการลงมติอย่างเป็นทางการโดยการลงคะแนนเสียง กับการประชุมที่ไม่มีการลงมติอย่างเป็นทางการ โดยประธานเป็นผู้สรุปมติการประชุม
การประชุมที่มีการลงมติอย่างเป็นทางการเราเห็นได้ในการประชุมของสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภา หรือการประชุมในประเด็นที่องค์การต่าง ๆ กำหนดอย่างชัดเจนว่าต้องมีการลงมติอย่างเป็นทางการ ในการประชุมลักษณะนี้ มีการเสนอประเด็นเพื่อพิจารณา มีการอภิปรายสนับสนุนหรือคัดค้านประเด็นนั้น และมีการลงมติอย่างเป็นทางการ ผลการลงมติถูกบันทึกอย่างชัดเจนว่าสมาชิกผู้ใดบ้างสนับสนุนหรือคัดค้าน
การประชุมในแบบที่ไม่มีการลงมติอย่างเป็นทางการ มักเกิดขึ้นในการประชุมเชิงบริหารขององค์การต่าง ๆ ในการพิจารณาประเด็นเพื่อตัดสินใจ ประธานที่ประชุมจะถามความเห็นสมาชิก หากไม่มีสมาชิกคนใดเสนอความเห็นแย้ง ประธานก็จะสรุปว่าที่ประชุมเห็นชอบ โดยไม่มีการลงมติและบันทึกการลงมติของสมาชิกแต่ละคนอย่างเป็นทางการ ข้อสรุปของประธานมีนัยว่า ที่ประชุมเห็นชอบในประเด็นนั้นอย่างเป็นเอกฉันท์
ประเด็นใดที่มีสมาชิกเสนอความเห็นแย้งขึ้นมา ประธานก็พยายามถามสมาชิกคนอื่น ๆ เพิ่มเติม และหากพบว่า มีสมาชิกที่เห็นด้วยมากกว่าสมาชิกที่เห็นแย้ง ประธานก็มักสรุปว่า ที่ประชุมเห็นชอบ โดยไม่มีการลงมติอย่างเป็นทางการเช่นเดียวกัน และมีนัยว่า การตัดสินใจของที่ประชุมเป็นไปอย่างเอกฉันท์ และไม่มีการบันทึกความเห็นแย้งของสมาชิกแต่อย่างใด ยกเว้นในบางกรณี ที่สมาชิกผู้เห็นแย้ง มองว่า มีความสุ่มเสี่ยงต่อการถูกฟ้องร้องภายหลังได้ สมาชิกก็อาจขอให้มีการลงมติอย่างเป็นทางการ และขอให้ที่ประชุมบันทึกความเห็นแย้งของตนเองเอาไว้เป็นหลักฐาน ส่วนแนวทางการไม่เข้าประชุมเพื่อปกป้องตนเองจากประเด็นที่สุ่มเสี่ยงนั้นอาจเกิดขึ้นบ้างในบางโอกาส
รัฐมนตรีสังกัดพรรคภูมิใจไทยเลือกวิธีการไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ทั้งที่พวกเขาสามารถเข้าร่วมประชุมได้ และเมื่อถึงวาระพิจารณาเรื่องการต่ออายุสัมปทาน พวกเขาก็สามารถเสนอความเห็นแย้งในที่ประชุมได้ หากเกรงว่า ประธานจะรวบรัดตัดความหรือใช้อำนาจสรุปว่าที่ประชุมเห็นชอบอย่างเป็นเอกฉันท์ ก็สามารถร้องขอให้มีการลงมติอย่างเป็นทางการ และบันทึกความเห็นแย้งเป็นหลักฐานเอาไว้ได้ ในภายหลัง หากมีการฟ้องร้อง บรรดารัฐมนตรีเหล่านั้นก็จะรอดตัวไป
เหตุผลอีกประการหนึ่ง ที่แกนนำบางคนของพรรคภูมิใจอธิบายคือ ไม่ต้องการเผชิญหน้าและถกเถียงกับเจ้ากระทรวงที่เสนอประเด็นนี้เข้ามา นัยว่า หากมีการพูดคุยถกเถียงแบบเผชิญหน้าอาจทำให้ความขัดแย้งขยายตัวยิ่งกว่าการเขียนความเห็นลงในเอกสาร เพราะมีความเป็นไปได้ว่า ระหว่างการถกเถียงกันแบบซึ่งหน้า แต่ละฝ่ายตอบโต้กันไปมาเพื่อเอาชนะกัน แต่ฝ่ายต่างเชื่อในข้อมูลและเหตุผลของตนเองและไม่ฟังอีกฝ่าย ในที่สุดอารมณ์ก็ครอบงำเหตุผล ทำให้มีความขุ่นข้องหมองใจเพิ่มมากขึ้น ขณะที่การเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรจะกระพือโหมพลวัตของอารมณ์น้อยกว่า
อย่างไรก็ตาม หากนายกรัฐมนตรียังคงมีอำนาจที่แข็งแกร่ง แม้ว่าพรรคร่วมรัฐบาลไม่เห็นด้วยกับการลงมติเห็นชอบในประเด็นใด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม พวกเขาก็มักสงบปากสงบคำไม่กล้าโต้แย้งหรือแสดงความไม่เห็นด้วยในที่สาธารณะแต่อย่างใด แต่เมื่อมีการกระทำที่แหวกขนบเดิมด้วยการประท้วงไม่เข้าร่วมประชุมและประกาศให้สาธารณะทราบอย่างทั่วหน้า แสดงให้เห็นถึงการหมดความเกรงอกเกรงใจในตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทยอย่างสิ้นเชิง และนั่นมีนัยว่า พลังอำนาจของผู้นำรัฐบาลทั้งสองอ่อนแอลงอย่างมหาศาลเมื่อเทียบกับอดีต
ผลที่ตามมาคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่กล้าให้คณะรัฐมนตรีลงลงมติเห็นชอบกับข้อเสนอของกระทรวงมหาดไทย แต่เลือกส่งเรื่องกลับไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อทบทวนและหาทางแก้ไขข้อท้วงติงของพรรคภูมิใจไทย และให้นำกลับมาพิจารณาอีกครั้งในสองสัปดาห์ถัดไป ถัดมาเพียงวันเดียวมีการะทำที่บ่งบอกว่า พรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ ไม่พอใจการกระทำของพรรคภูมิใจไทยเป็นอย่างยิ่ง
ความไม่พอใจของพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ แสดงออกในการลงมติไม่รับหลักการร่างกฏหมายที่พรรคภูมิใจไทยเสนอเข้าสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีการลงมติวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ฉบับแรกคือ ร่างพ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาวิธีพิจารณาความอาญา พ.ศ.. ที่ประชุมลงมติไม่เห็นด้วย 231 เสียง เห็นด้วย 146 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง และฉบับที่สองคือ ร่างพ.ร.บ อนุญาโตตุลาการ(ฉบับที่..) พ.ศ. … ที่ประชุมลงมติไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ดังกล่าว 376 เสียง เห็นด้วย 6 เสียง งดออกเสียง 11
โดยทั่วไป หากยังมีความกลมเกลียวกันภายในพรรคร่วมรัฐบาล ร่าง พ.ร.บ. ที่เสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาลพรรคใดพรรคหนึ่ง มักจะได้รับการสนับสนุนจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ อย่างน้อยก็ในมีการรับหลักการในวาระแรก ส่วนประเด็นรายละเอียดที่ยังเห็นไม่สอดคล้องกันก็จะนำไปพูดคุยและหาข้อตกลงร่วมกันในขั้นกรรมาธิการ หากตกลงกันไม่ได้ ก็อาจลงมติค้านในวาระสองก็ได้ แต่เมื่อมีการหักกันตั้งแต่วาระแรก ก็ย่อมแสดงให้เห็นถึงรอยร้าวอย่างรุนแรงระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคร่วมรัฐบาลอื่น ๆ
อันที่จริงหากย้อยกลับไปดูในอดีต ความแปลกแยกระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพลเอกประยุทธ์มีมาตั้งแต่แนวทางการบริหารจัดการเพื่อแก้ปัญหาโควิด 19 พลเอกประยุทธ์ ได้ยึดอำนาจและบทบาทการนำมาไว้ในมือของตนเองและผู้ใกล้ชิด ขณะที่ไม่ค่อยให้ความสำคัญแก่นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขแต่อย่างใด ส่งผลให้แกนนำพรรคภูมิใจไทยอึดอัดใจไม่น้อย แต่ในช่วงแรกพวกเขาอาจต้องจำทน ไม่กล้าแตกหัก เพื่อรักษาสถานะและอำนาจในตำแหน่งรัฐมนตรีเอาไว้ แต่มาถึงในยามนี้ ที่เหลือเวลาไม่นานรัฐบาลจะหมดอายุ รวมทั้งมีความเป็นไปได้สูงว่าอาจมีการยุบสภาในอนาคตอันใกล้นี้ พรรคภูมิใจไทยจึงมีการกระทำที่แข็งกร้าวและท้าทายอำนาจของพลเอกประยุทธ์มากขึ้น และหากพลเอกประยุทธ์และเครือข่ายใกล้ชิดตอบโต้กลับด้วยความรุนแรง ก็จะทำให้ความขัดแย้งภายในรัฐบาลยิ่งบานปลายขยายตัว มีความเป็นไปได้ว่าภายในสองถึงสามเดือนข้างหน้า สถานการณ์อาจเคลื่อนตัวไปถึงจุดที่ทำให้พรรคภูมิใจไทยตัดสินใจถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล
ในปัจจุบัน สถานภาพและอำนาจของรัฐบาลประยุทธ์ง่อนแง่นเต็มที อำนาจวาสนาที่เคยมีมาก็เจือจางลงไป ผู้คนจำนวนมากที่เคยสวามิภักดิ์ ก็หันไปท้าทาย กดดัน และแยกตัวออกห่าง รัฐบาลเดินสู่สภาวะที่เรียกว่า “เป็ดง่อย” อย่างเต็มตัวแล้ว นั่นคืออยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถตัดสินใจนโยบายที่สำคัญ และไม่สามารถขับเคลื่อนการบริหารได้อีกต่อไป รัฐบาลเป็ดง่อยจะทำให้การทำงานของกลไกรัฐอยู่ในสภาวะหยุดนิ่ง เพราะบรรดาข้าราชการ ซึ่งปกติมีประสิทธิภาพไม่มากอยู่แล้ว ก็ยิ่งชลอการทำงานลงไปอีก เพื่อรอดูทิศทางในอนาคต นั่นคือข้าราชการกำลังปรับไปใช้ “เกียร์ว่าง” ในการทำงานมากขึ้น
ลักษณะของการเมืองที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าเป็นเรื่องความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาล ความขัดแย้งระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับรัฐมนตรีว่าการทรวงมหาดไทยและพลเอกประยุทธ์ การที่ผู้สนับสนุนของพลเอกประยุทธ์ตั้งพรรคการเมืองใหม่ขึ้นมาเพื่อรองรับ และการตกต่ำและการเสื่อมความนิยมอย่างรุนแรงของรัฐบาล เป็นสัญญาณแห่งความร่วงโรยของอำนาจอย่างลึกซึ้งของรัฐบาล และคาดว่าคงล่มสลายในอีกไม่นาน สำหรับตัวของพลเอกประยุทธ์เอง โอกาสที่จะกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งคงริบหรี่เต็มที