xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ยาลม ๓๐๐ จำพวก” ยาอายุวัฒนะ ในตำรายาหลวงสมัยรัชกาลที่ ๕ ต้านอนุมูลอิสระระดับโลก (ตอนที่ ๗) : ปริศนารับประทานยา ๘ เดือน กับ “ท้าวเวสสุวรรณ”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ณ บ้านพระอาทิตย์
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์

คำอธิบายตำรับยา ๓๐๐ จำพวก ที่ได้มีการดำเนินโรคไปนั้น เป็นลักษณะการทายปริศนาทางสรรพคุณเภสัชและทางธรรมมากกว่าตามตัวอักษรที่เห็นแต่เพียงอย่างเดียว โดยมีสรรพคุณที่หลากหลาย แต่ยังคงอยู่ในกรอบ ๕ ด้านด้วยกันคือ

ประการแรก ขับลมในทางเดินอาหาร ขับลมในเส้น

ประการที่สอง แก้พิษในโลหิต ลดน้ำตาลในกระแสเลือด ลดการติดเชื้อของจุลชีพก่อโรค บำรุงน้ำดี ช่วยย่อยอาหาร ย่อยไขมัน

ประการที่สาม ระบายถ่ายพิษและเสมหะ


ประการที่สี่ บำรุงสมอง


ประการที่ห้า เป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยเพราะต้านอนุมูลอิสระสูงติดอันดับโลก

โดยภายหลังจากได้พิจารณาในการวิเคราะห์ตัวยา เปรียบเทียบกับคำอธิบายสรรพคุณของตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกนี้ ระบุว่าระยะเวลา ๗ วัน โดยไม่เกิน ๑ เดือน จะแก้โรคทางเสมหะ และโรคลมกองหยาบ หรือสุขภาพในทางระบบทางเดินอาหาร ดังคำบรรยายว่า

“แก้ลมอันเกิดแต่เท้าให้เท้าตายมือตาย แก้ลมริศดวงก็หายสิ้นแล ให้รับประทานเท่าผลสมอแก้ลม ๓๐๐ จำพวกก็หายแล รับประทานได้ ๗ วัน เสียงดังจั๊กจั่นเรไร ถ้ารับประทานได้ ๑๕ วัน เสียงดังนกการะเวก ถ้ารับประทานได้นานๆ เสียงดังหงษ์ทองอยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์” [๑]

แต่ถ้ารับประทานต่อเนื่องไปถึงระยะเวลา ๑ เดือนขึ้นไปจนถึง ๗ เดือน นอกจากจะบรรเทาไปได้หลายโรคแล้ว ยังเร่ิมมีสรรพคุณในการบำรุงสมอง ความคิด สติปัญญา ดังคำบรรยายของตำรับยาลม ๓๐๐ จำพวกว่า

“ถ้ารับประทานถึงเดือน ๑ เรียนพระไตรปิฎก ๘๔๐๐๐ จบ คาถาปัญญาสว่าง ปราศจากพยาธิ ๕๐๐ จำพวกก็หายสิ้นแล รับประทานถึง ๖ เดือนจักษุสว่างทั้ง ๒ ข้าง รับประทานถึง ๗ เดือน รู้กำเนิดเทวดาในชั้นฟ้า” [๑]

ซึ่งมีข้อน่าสังเกตุว่าเมื่อการรับประทานถึง ๗ เดือนนั้นนอกจากจะมีสติปัญญาในการศึกษาทางธรรมแล้ว ยังจะได้มีความรู้ในเรื่องการกำเนิดของเทวดาในชั้นฟ้าด้วย แต่การที่ได้มีการบรรยายเรื่องเทวดาในชั้นฟ้าในเดือนที่ ๗ นั้น ก็เพื่อนำไปสู่เหตุในการอธิบายการรับประทานยาลม ๓๐๐ จำพวกในเดือนที่ ๘ ด้วย

เพราะการรับประทานยาได้ถึง ๘ เดือนนั้น ปริศนาของตำรับยานี้ได้บรรยายด้วยข้อความที่ต่างออกไปว่า :

“รับประทานถึง ๘ เดือน พระเวสสุวรรณลงมาสู่เราแล” [๑]

เนื่องจากตำรับยานี้เป็นตำรับยาปิดท้ายในพระคัมภีร์ไกษย ซึ่งเป็นหนึ่งในพระคัมภีร์ที่สำคัญในตำรายาหลวง แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และเป็นลักษณะการบรรยายที่ต้องวิเคราะห์ถอดความหมายที่ซ่อนอยู่ในปริศนาของตำรับยานี้

ดังนั้นจึงต้องวิเคราะห์ผ่านความหมายว่าเหตุใดตำรับยานี้จึงได้อัญเชิญ “พระเวสสุวรรณ” มาเกี่ยวข้องกับตำรับยานี้ และการที่พระเวสสุวรรณจะ “ลงมาสู่ผู้ที่รับประทานยาติดต่อกันในเดือนที่ ๘” นั้น ได้ซ่อนความหมายในปริศนานี้อย่างไร?

ปริวัตร ศิระเกียรติกุล และ อรอุษา สุวรรณประเทศ ได้เขียนบทความเรื่อง “ท้าวเวสสุวัณคือใครในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาและฮินดู” เผยแพร่ในทางสาธารณะโดยตีพิมพ์ในวารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เมื่อปี ๒๕๖๐ [๒] เป็นบทความส่วนหนึ่งของวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ซึ่งได้อธิบายในเรื่องความหมายของท้าวเวสสุวรรณ หรือ ท้าเวสสุวัณ เอาไว้ โดยคัดความบางตอนเพื่อให้เห็นภาพโดยรวมดังนี้

พระนามต่างๆ ของท้าวเวสสุวัณมีหลากหลายชนิด เช่น กิตานุ (Ki-tanu)-ผู้มีรูปร่างอัปลักษณ์, ธเนศวร/ธนปติ (Dhana-pati) ผู้เป็นเจ้าแห่งสมบัติ, อุจฉาวสุ (Ichchhavasu)-ผู้ได้รับสมบัติทุกอย่างที่ต้องการ, ยักษ์ราชา (Yaksha-raja)-ราชาแห่งยักษ์, รากษะเสนทรา (Rakshasendra)-หัวหน้าแห่งรากษส, รัตนาครณ-พุงแก้ว, อิศะสขี-เพื่อนพระศิวะ [๒]-[๖]


ส่วนพระนามของท้าวเวสสุวัณ เรียกอย่างเป็นทางการตามเอกสารคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา และคัมภีร์ทางฮินดู พบว่ามีพระนามของท้าวเวสสุวัณ ๓ พระนาม ได้แก่ ๑. ท้าวเวสสุวัณ ๒. ท้าวกุเวร และ ๓. ท้าวไพรศรพณ์ ดังนี้

๑. ท้าวเวสสุวัณ

พระไตรปิฎกฉบับ มหามกุฏราชวิทยาลัย ในพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกายปาฏิกวรรคอาฏานาฏิยสูตร บรรยายว่า

พระนามท้าวเวสสุวัณเป็น “ตำแหน่ง” ของเทพบุตรชื่อ กุเวรในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ซึ่งต่อมาได้ครองราชสมบัติในราชธานี ชื่อวิสาณะ ตั้งแต่นั้นจึงเรียกว่าท้าวเวสสุวัณ มีตำแหน่งในการดูแลสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาซึ่งอยู่ในความปกครองของสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ [๒], [๗]-[๑๒]

ด้วยเหตุผลนี้ คาถาบทบูชาท้าวเวสสุวัณซึ่งเป็นบทสวดในหมู่ผู้นับถือท้าวเวสสุวัณนั้น ได้สะท้อนถึงลักษณะของท่านท้าวเวสสุวัณว่ามีรูปร่างเป็นยักษ์ อุปมาว่ามีพันตา สามารถรู้เห็นโดยรอบ เป็นใหญ่ในหมู่ยักษ์และอมนุษย์ เป็นท้าวมหาราชในชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นนายแห่งภูตผี เป็นผู้ที่ตายจากโลกนี้ ตายโดยไม่เกิด ดับสิ้นซึ่งกิเลสกองทุกข์ไปด้วยบรมสุข[๒] โดยคาถาบูชาท้าวเวสสุวัณมีดังนี้

“นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโตสัมมาสัมพุทธัสสะ( ๓ จบ)
อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ
ท้าวเวสสุวัณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต
เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวัณโณ นะโม พุทธายะ” [๒]

ในขณะที่หนังสือในรามายณะ ฉบับราเมศ เมนอน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้กล่าวเอาไว้ใน อุดรกัณฑ์ ว่าท้าวเวสสุวัณในพระนาม ของเวศรวัณ [ไวศรวัณ] เป็นโอรสพระวิศราวะ [วิศรพ] ผู้ที่ได้รับพรจากพระพรหมให้มีตำแหน่งเทพเป็นโลกบาล [๒],[๑๒]

การรับรู้เกี่ยวกับท้าวเวสสุวัณนั้นในไตรภูมิกถาบรรยายว่า ท้าเวสสุวัณเป็นหัวหน้าของจตุโลกบาลเทพเทวา ปกครองสวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกาปกครองยักษ์ จึงพบเห็นรูปปั้นท้าวเวสสุวรรณปรากฏให้พบเห็นทั่วไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น บริเวณประตูทางเข้าวัด โบสถ์ วิหาร และบางครั้งอาจพบเห็นท้าวเวสสุวัณในรูปลักษณ์ของยักษ์นี้ ถือกระบองยาวหรือคทาอีกด้วย เป็นเรื่องการเคารพนับถือว่าเป็นเครื่องรางของขลังป้องกันภูตผีปีศาจ [๒]

๒.ท้าวกุเวร

พระไตรปิฎกฉบับ มหามกุฏราชวิทยาลัย กล่าวถึงพระนามท้าวกุเวรในพระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค อาฏานาฏิยสูตร บรรยายการกำเนิดของท้าวกุเวรว่า

เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติ มีพราหมณ์คนหนึ่งชื่อกุเวรพราหมณ์ ทำไร่หีบอ้อยขายได้สร้างโรงหีบอ้อย ประกอบเครื่องยนต์ ๗ เครื่อง กุเวรพราหมณ์ได้ให้ผลกำไรซึ่งเกิดขึ้นที่โรงเครื่องยนต์แห่งหนึ่งแก่มหาชนที่มาแล้วได้กระทำบุญ ผลกำไรที่มากกว่าได้ตั้งขึ้นในที่นั้นจากโรงที่เหลือ กุเวรพราหมณ์เลื่อมใสด้วยบุญนั้น จึงถือเอากำไรที่เกิดขึ้นแม้ในโรงที่เหลือให้ทานตลอดสองหมื่นปี กุเวรพราหมณ์ได้ถึงแก่กรรมไปเกิดเป็นเทพบุตรชื่อกุเวรในชั้นสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา [๒],[๗]-[๑๒]

ในรามายณะฉบับ ราเมศ เมนอน กล่าวถึงพระนามท้าวกุเวรปรากฏในอุดรกัณฑ์ว่า เป็นตำแหน่งของเทพผู้หนึ่งในสี่ของจตุโลกบาล ในรามายณะบรรยายว่าครั้งเป็นมนุษย์ ท้าวกุเวรองค์นี้ คือ เวศรวัณ ผู้ซึ่งได้รับพรจากพระพรหมให้เป็นโลกบาล[๒],[๑๒]

และหากวิเคราะห์ตามความเชื่อเกี่ยวกับโลกบาลในยุคมหากาพย์ กล่าวมีท้าวกุเวรมีบทบาทเป็นโลกบาลประจำทิศเหนือ เป็นเทพแห่งทรัพย์สินอันมีศักดิ์เท่าเทียมองค์อินทร์ วรุณเทพ และยมเทพ[๒],[๑๓]

ในรามายณะฉบับ ราเมศ เมนอน ยังแสดงให้เห็นว่า ท้าวกุเวรนั้นได้บำเพ็ญหลายพันปีเป็นที่โปรดปรานของท้าวพรหมมา ที่ท้าวกุเวรมีใจฝักใฝ่กับท่านท้าวพรหมานั้นเป็นเพราะท้าวกุเวรนั้นต้องการบำเพ็ญตบะบารดีหรือสร้างความดีด้วยการเข้าฌาณและบำเพ็ญทุกรกิริยานานนับพันปี จนท้าวพรหมาโปรดปรานประทานบุษบกให้ [๒],[๑๒]

The Encyclopedia of World Mythology บรรยายว่า อันบุษบกนี้หากใครได้ขึ้นไปแล้วสามารถล่องลอย ไปไหนมาไหนได้ตามต้องการ หลังจากนั้นทศกัณฐ์ได้แย่งบุษบกของท้าวกุเวรไป ทั้งนี้ท้าวกุเวรยังได้รับ ประทานพรให้เป็นอมฤต (ไม่มีตาย) กับทั้งยังเป็นหัวหน้าผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งโลกบาลและเป็นเจ้าแห่งทรัพย์ ด้วยอำนาจนั้นจึงได้เป็นผู้รักษาทิศ และได้เป็นเจ้าของทองและเงินแก้วต่างๆ และทรัพย์แผ่นดินทั่วไป [๒],[๑๔]

๓. ท้าวไพศรพณ์

ไตรภูมิกถาฉบับ กรมศิลปากร ในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ แสดงให้เห็นว่าท้าวไพรศรพณ์ เป็นเทพผู้ทำหน้าที่เป็นท้าวจตุโลกบาลประจำทิศเหนือ [๒],[๑๕] และได้บรรยายรูปลักษณ์ของ “ท้าวไพศรพณ์มหาราช” ดังนี้

“ท้าวไพศรพณ์มหาราช ผู้เป็นใหญ่ปกครองหมู่ยักษ์และเทวดาทั้งหลายทางทิศเหนือของ กำแพงจักรวาล ทางทิศเหนือของเขาพระสุเมรุ เครื่องประดับกายของท้าวไพศรพณ์และ บริวารเป็นทองเนื้อสุก งามหมู่ยักษ์ทั้งหลาย บ้างก็ถือค้นถือสากและจามรีล้วนเป็นทองคำทั้งส้ินไม่รู้ว่ากี่ร้อยล้าน หมู่ยักษ์เหล่านี้มีหน้าตาน่ากลัว ท้าวไพศรพณ์มหาราชทรงม้าสีเหลืองดังทองขับพลนำไปถึงกำแพงจักรวาลด้านทิศเหนือ ของเขาพระสุเมรุเดินทางไปทางอากาศจนถึงเขายุคันธรด้านทิศเหนือ”[๒],[๑๕]


จากบทความของ ปริวัตร ศิระเกียรติกุล และ อรอุษา สุวรรณประเทศ เรื่อง ท้าวเวสสุวัณคือใครในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาและฮินดู ได้สรุปบทบาทหน้าที่และความสำคัญของท้าวเวสสุวัณ ท้าวกุเวร และท้าวไพศรพณ์ แม้มีพระนามปรากฏเรียกต่างๆ กัน แต่ไม่ว่าจะเป็นพระนามใดทั้งศาสนาพุทธและฮินดู ท่านมีบทบาทหน้าที่เดียวกันในการเป็นเทพจตุโลกบาล กับทั้งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการ “สั่งสอน” และ “ช่วยเหลือ” [๒]
โดยการ “สั่งสอน” และ “ช่วยเหลือ” ของท้าวเวสสุวัณนั้น นอกจากจากจะเป็นการสั่งสอนและช่วยเหลือตามลายลักษณ์ที่ปรากฏในคัมภีร์แล้ว ยังป็นการสั่งสอนและช่วยเหลือในฐานะ “ทิพยบุคคล ต้นแบบในการปฏิบัติ” อีกทั้งในพระนามของท้าวเวสสุวัณในศาสนาพุทธที่ปรากฏในพระไตรปิฎกนั้นท่านยังมีบทบาทที่สำคัญคือ “การเป็นผู้คุ้มครองดูแลศาสนา” อีกด้วย [๒]

จากการบำเพ็ญทานบารมีและตบะบารมีอันเป็นทิพยบุคคลต้นแบบของบทบาทในการสั่งสอน และช่วยเหลือจนท้าวเวสสุวัณ ได้รับพรให้เป็นเทพแห่งทรัพย์และเป็นจตุโลกบาล
คนจึงนับถือท่านท้าวเวสสุวัณเป็นเทพแห่งทรัพย์ประทานความร่ำรวย [๒]

แต่ผู้เขียนเห็นด้วยกับผู้วิจัยว่าหากศึกษาในทางพุทธศาสนา ท้าวเวสสุวัณได้เป็นแบบอย่างในการบำเพ็ญบารมีในการ “คุ้มครองดูแลศาสนา” จากนั้นท้าวเวสสุวัณจึงได้รับพรเรื่อง “ทรัพย์” และได้เป็นจตุโลกบาล ดังนั้น “ทรัพย์” อาจมีความหมายไปมากกว่าทรัพย์ทางโลก และอาจหมายถึง “อริยทรัพย์” มากกว่า[๒]

พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)
พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ได้กล่าวถึง “อริยทรัพย์ ๗ ประการ” อันหมายถึง ทรัพย์อันประเสริฐ , ทรัพย์คือ คุณธรรมประจำใจอย่างประเสริฐ (Noble Treasures)[๑๖] ดังนี้

๑.ศรัทธา ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการทำความดี - Confidence

๒.ศีล การรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อยประพฤติถูกต้องดีงาม - Morality; good conduct; virtue

๓.หิริ ความละอายใจต่อการทำความชั่ว — Moral shame; conscience

๔. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว — Moral dread; fear-to-err

๕. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก — Great learning

๖. จาคะ ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ — Liberality

๗. ปัญญา (ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล ดีชั่ว ถูกผิด คุณโทษ ประโยชน์ มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รู้พิจารณา และรู้ที่จะจัดทำ — Wisdom [๑๖]

สำหรับผู้เขียนมีความเห็นว่าเมื่อความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ เมื่อผู้ใดได้กินยาลม ๓๐๐ จำพวก ติดต่อไปได้ ๘ เดือนแล้ว จะเห็นการเปลี่ยนแปลงไม่เพียงแต่สุขภาพทางกาย ความคิด ความทรงจำ และสติปัญญาที่ดีขึ้นกว่าเดิมเท่านั้น แต่สุขภาพที่ดีขึ้นดำเนินต่อเนื่องมาถึงเดือนที่ ๘ จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงความคิดและปัญญาเพื่อให้ได้มาซึ่งอริยะทรัพย์ ที่จะทำหน้าที่ สอน และ ช่วยเหลือผู้อื่น และดำรงในการคุ้มครองพระพุทธศาสนาต่อไป เปรียบเสมือน “พระเวสสุวรรณลงมาสู่เราแล”


ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต

อ้างอิง:
[๑] สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ, หนังสือชุดวรรณกรรม หายาก แพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ : ภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยและมรดกทางวรรณกรรมของชาติ, ๑,๐๒๕ หน้า องค์การค้าของ สกสค. จัดพิมพ์จำหน่าย พิมพ์ครั้งที่ ๔ พ.ศ. ๒๕๕๔, จำนวน ๓,๐๐๐ เล่ม, ISBN: ๙๗๘-๙๗๔-๐๑-๙๗๔๒-๓, หน้า ๗๕๐-๗๕๑

[๒] ปริวัตร ศิระเกียรติกุล, อรอุษา สุวรรณประเทศ, “ท้าวเวสสุวัณคือใครในคัมภีร์ทางพุทธศาสนาและฮินดู ตีพิมพ์ในวารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร”, วารสารมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ปีที่ ๑๔ ฉบับที่ ๓ ประจำเดือนกันยายน-ธันวาคม ๒๕๖๐ หน้า ๑๒๑-๑๓๖
https://so03.tci-thaijo.org/index.php/jhnu/article/download/172218/123651/

[๓] ประจักษ์ ประภาพิทยากร, เทวนุกรมในวรรณคดี, กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์, พิมพ์ครั้งที่ ๒, พ.ศ. ๒๕๒๙, หน้า ๑๒-๑๔

[๔] พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว,เทพเจ้าและสิ่งน่ารู้, กรุงเทพฯ:ศรีปัญญา, ISBN: ๙๗๘๗๖๑๖๗๑๔๖๓๙๓, ๒๕๕๖, หน้า ๑๒๕-๑๓๐

[๕] สมบัติ พลายน้อย, เทวนิยาย, กรุงเทพฯ: ยิปซี, ๒๕๕๕, หน้า ๒๑๑

[๖] สุรศักดิ์ ทอง, สยามเทวะ, กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๕๓ หน้า ๑๕๓

[๗] มหามกุฏราชวิทยาลัย, พระไตรปฎิ กและอรรถกถาแปลพระสุตตันตปิฎก ฑีฆนิกาย ปาฏิก วรรค ภาค ๓ เล่ม ๒ . นครปฐม: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย, หน้า ๑๓๕

[๘] สมบัติ พลายน้อย, เทวนิยาย, กรุงเทพฯ: ยิปซี, ๒๕๕๕, หน้า ๒๑๗-๒๒๑

[๙] แสงฉาย อนงคาราม, พระไตรปิฎก มหาวิตถารนัย ๕๐๐๐ กัณฑ์ พระสุตตันตปิฎก คัมภีร์ที่ ๑ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์ลูก ส. ธรรมภักดี, ๒๕๒๑ หน้า ๑๒๔

[๑๐] อดิศร ถีรสีโล, เล่าเรื่องท้าวเวสสุวัณ เทพเจ้าผู้พิทักษ์โลกของชาวพุทธโบราณ, สิรินธรปริทรรศน์, ๒๕๔๙, ๗(๑๗),๑๕-๒๐

[๑๑] อรรถกถา ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค อาฏานาฏิยสูตร อรรถกถาอาฏานาฏิยสูตร, ปฐมภาณวารวณฺณนา, เว็บไซต์ 8400.org,
https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=11&i=207

[๑๒] ราเมศ เมนอน, รามายณะ แปลจาก The Ramayana โดย วรวดี วงสง่า, กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, ๒๕๕๑ หน้า ๖๖๔-๖๖๗

[๑๓] ณัชพล ศิริสวัสดิ์, โลกบาลในวรรณคดีพุทธศาสนา, วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๕๕, หน้า ๑๐๔-๑๐๕

[๑๔] Cotterell, Arther & Strom, Rachel. (2014). The Encyclopedia of World Mythology. London: Hermes House, an imprint of Anness Publishing Ltd. pp 372-373

[๑๕] กรมศิลปากร, ไตรภูมิกถาฉบับถอดความ, กรุงเทพฯ: บริษัท เอดิสัน เพรส โพรดักส์ จำกัด, ๒๕๕๕, หน้า ๑๘๔, ๑๙๐,๑๙๑, ๑๕๖,๑๕๗

[๑๖] พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) พระธรรมปิฎก (ประยุทธ์ ปยุตฺโต), อริยทรัพย์ ๗, พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม, เว็บไซต์ 8400.org
https://84000.org/tipitaka/dic/d_item.php?i=292


กำลังโหลดความคิดเห็น