น่าจะเบาๆ ลงไปมั่งแล้ว...สำหรับความเข้มขมึงตึงเครียดของ “แนวรบยุโรปตะวันออก” โดยเฉพาะหลังจากการพบปะเจ๊าะแจ๊ะ เจรจา ระหว่างผู้นำฝรั่งเศส “นายเอมมานูเอล มาครง” กับผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ชนิดที่ผู้นำตราไก่ ถึงกับหยิบเอามาคุยโม้ คุยโต ว่าสามารถ “แช่แข็ง” ความเคลื่อนไหวทางทหารในแนวรบด้านนี้ ได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล ก่อนที่จะบินไปพบปะเจรจากับผู้นำยูเครน เป็นรายต่อไป...
ส่วนหมีขาวรัสเซีย...ที่เคยบอกมาไม่รู้จะกี่ครั้งต่อกี่ครั้งว่าไม่คิดจะบุกยูเครน แค่สั่งให้ทหารระดับเป็นแสนๆ ออกกำลังแข้งกำลังขา ออกมาเคลื่อนไป-เคลื่อนมา หรือออกมา “ซ้อมรบ” ภายในดินแดนตัวเอง โดยไม่ได้คิดจะบุกยูเครนภายในเดือนกุมภาฯ หรือภายใน 72 ชั่วโมง ตามที่บรรดานักการเมืองและสื่อตะวันตกทั้งหลาย พยายามโหมประโคม ตีปี๊บ ตีฉิ่ง ตีฉาบมาโดยตลอด ดังนั้น...เมื่อช่วงวันวานที่ผ่านมา โฆษกกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย คุณ “มาเรีย ซาคาโรวา” (Maria Zakharova) ผู้มีศิลปะลีลาในการแถลงข่าว ได้อย่างชนิดเจ็บปวดรวดร้าว ไม่น้อยกว่าอดีตนักเทนนิสมือวางอันดับหนึ่งของรัสเซีย หรือผู้ที่ได้ชื่อ ฉายา ว่า “มารดาแห่งการครางง์ง์ง์” อย่างคุณน้อง “มาเรีย ชาราโปวา” เธอเลยคงอดไม่ได้ที่จะต้องออกมา “ทวีต” ถึงฉากสถานการณ์ระหว่างยูเครนและรัสเซีย เอาไว้ประมาณว่า...
“เมื่อวันเวลาได้ล่วงเลยผ่านไป...และรัสเซียก็ยังไม่ได้บุกโจมตียูเครน จึงพอเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า เจตนาของผู้พยายามโหมดนตรี (แห่งความขัดแย้ง) อย่างสหรัฐฯ และพันธมิตรอังกฤษของเขา ต่อสิ่งที่เขาเรียกว่า...ภัยคุกคามจากรัสเซียนั้น ก็เป็นเพียงแค่ความพยายามตกแต่งตัวเองให้เป็นเสมือนหนึ่งวีรบุรุษนักสู้ เป็นโอกาสที่เขาจะได้ระบายอาวุธมูลค่านับพันๆ ล้านดอลลาร์ ไปยังประเทศที่ยังไม่ได้ถึงกับมั่นคงในทางประชาธิปไตย และเป็นหนทางที่เขาพอจะได้ฟื้นฟูภาพลักษณ์แห่งการเป็นผู้ที่มิมีผู้ใดสามารถต่อกรได้ หลังจากที่พวกเขาทั้งหลายได้ประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงมาจากอัฟกานิสถาน...”
นี่...เจ็บ-ไม่เจ็บ ปวด-ไม่ปวด ก็ลองไปพิจารณาเอาเองก็แล้วกัน แต่เอาเป็นว่า...ไหนๆ เมื่อวานนี้ ได้หยิบเอาเรื่อง “แนวรบตะวันออกกลาง” มาพูดจาว่ากล่าวไว้บ้างเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะในแง่ความ “อ่อนไหว” และ “เปราะบาง” ที่เผลอๆ...อาจมากซะยิ่งกว่าแนวรบด้านอื่นๆ ก็เป็นได้ เผอิญว่าช่วงวันอังคาร (8 ก.พ.) ที่ผ่านมา ก็ถือเป็นช่วงการเจรจารอบที่ 8 หรืออาจถือเป็น “รอบสุดท้าย” เอาเลยก็ไม่แน่ ของการเจ๊าะๆแจ๊ะๆ ระหว่างคุณปู่อิหร่าน กับบรรดาชาติมหาอำนาจอย่างจีน รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ รวมทั้งคุณพ่ออเมริกา ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ในเรื่องการคิดจะกลับ-ไม่กลับไปสู่ “ข้อตกลงนิวเคลียร์” หรือ “JCPOA” (Joint Comprehensive Plan of Action) ที่คุณพ่ออเมริกาเคยร่วมตกลงกับบรรดาประเทศดังกล่าวทั้งหลาย เอาไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2015 แต่พอมาถึงยุค “ทรัมป์บ้า” ก็เกิดการสะบัดตูดลุกหนีเอาดื้อๆ เมื่อช่วงปีค.ศ. 2018 และเมื่อผู้ที่ยังไม่ถึงกับ “บ้า” แต่อาจออกไปทาง “ซึมๆ เซาๆ” อย่างผู้นำอเมริการายใหม่ หรือ “ผู้เฒ่าโจ” คิดจะปรับเปลี่ยนแนวคิด ทิศทาง ให้ผิดแผกแตกต่าง ไปจากผู้นำรายเก่า การตั้งโต๊ะเจรจา (โดยอ้อม) ระหว่างอเมริกากับอิหร่านโดยมีบรรดามหาอำนาจอีก 5 ชาติเข้าร่วมด้วย จึงเริ่มดำเนินมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว จนมาถึง ณ บัดนี้...ก็น่าที่จะพอรู้เรื่อง รู้ราว ได้เรื่อง ได้ราว กันตามสมควร...
โดยผลของการเจรจาจะออกมาในแนวไหน ต่อแนวไหน ก็ยังยากส์ส์ส์ที่จะสรุปได้ คือขณะคุณพ่ออเมริกาท่านพยายาม “ผ่อนคลาย” ด้วยการแสดงถึงความเป็นไปได้ ที่อาจยกเลิกมาตรการ “แซงชั่น” บางส่วนต่ออิหร่าน เช่น ไม่คิดจะเล่นงาน ลงโทษ ผู้ที่คิดไปทำธุรกรรมกับโครงการนิวเคลียร์ของพลเรือน หรืออาจปล่อยให้สามารถส่งออกน้ำมันได้โดยเสรี สามารถเข้าถึงเม็ดเงินรายได้อิหร่านที่เคยถูกเก็บกักเอาไว้ ระดับปาเข้าไปนับแสนๆ ล้านดอลลาร์ ฯลฯ ถ้าหากฝ่ายอิหร่านยอมปฏิบัติตามข้อกำหนดในเรื่องการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม แบบชนิดตรงไป-ตรงมา แต่ฝ่ายอิหร่านที่เป็นฝ่ายที่ “ถูกเบี้ยว” เขาอาจต้องการอะไรที่มากมายเกินไปกว่านั้น เช่น ต้องยกเลิกการแซงชั่นทั้งมวล หรือต้องหาหลักประกันว่าจะไม่ถูกเบี้ยวอีกครั้ง โดยเฉพาะถ้าหาก “ทรัมป์บ้า” ดันหวนกลับมาเป็นประธานาธิบดีรอบใหม่ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ยังไม่แน่ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง ที่ทำให้ต้องยืดเยื้อ คาราคาซังมาชนิดข้ามปี....
แต่สิ่งที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือประเทศไม่ได้เกี่ยวพันใดๆ กับเจ๊าะแจ๊ะ เจรจาในคราวนี้ แต่เกี่ยวพันในฐานะ “ศัตรูคู่กัด” หรือคู่อาฆาตชนิดอยู่ร่วมโลกด้วยกันแทบมิได้กับอิหร่าน แถมยังเป็น “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” กับคุณพ่ออเมริกาอีกด้วยต่างหาก อย่างคุณทวดอิสราเอล ที่คงไม่ใช่แค่หวาดกลัว หวาดวิตก ในเรื่องการเพิ่มสมรรถนะนิวเคลียร์อิหร่าน ว่าจะสามารถพัฒนาเป็น “อาวุธ” ได้ในตอนไหน หรือไม่ อย่างไร แต่ยังออกอาการโกรธ เกลียด เคียดแค้น อาฆาตพยาบาท ริษยาและชิงชังต่ออิหร่าน ในอีกหลายเรื่องต่อหลายเรื่อง ไม่ว่าเรื่องการสนับสนุนเงิน-อาวุธให้พวกเฮซบอลเลาะห์ พวกฮามาส ไปจนถึงพวกกบฏเยเมน ฯลฯ ที่ไม่ต่างไปจาก “สงครามตัวแทน” อันถือเป็น “ภัยคุกคามอิหร่าน” ต่ออิสราเอลยิ่งกว่าการเสริม-ไม่เสริมสมรรถนะนิวเคลียร์เป็นไหนๆ...
ดังนั้น...ไม่ว่า “ผลการเจรจา” จะออกมาในรูปใด แต่ถ้าหากไม่ได้มีส่วนทำให้ประเทศอิหร่าน หรือ “ระบอบปกครองอิหร่าน” ต้องอ่อนแอปวกเปียก หรือต้องพังพินาศฉิบหายลงไปบ้าง การหาทางขจัดกวาดล้าง “ภัยคุกคามอิหร่าน” ก็ยังคงถือเป็น “วาระแห่งชาติ” ของคุณทวดอิสราเอลอย่างไม่มีวันผันแปรไปเป็นอื่น และนั่นเอง...ที่ทำให้บรรดาลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอนทั้งหลาย จึงมองว่าการคิดจะหวนกลับไปสู่ข้อตกลง “JCPOA” ของคุณพ่ออเมริกา ไม่ว่าจะออกมาในรูปใดก็ตาม ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของอิสราเอลไม่ว่าทางหนึ่ง ทางใด อยู่แล้วแน่ๆ หรืออย่างที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติอิสราเอล “นายEyal Hulata” ได้สรุปเอาไว้เมื่อวันอังคาร (8 ก.พ.) ก่อนบินไปพบ “นายJake Sullivan” ที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาวนั่นแหละว่า... “การที่สหรัฐฯ ต้องสูญเสียเครื่องมืออันแข็งแกร่งในการบังคับอิหร่านในระยะยาว กำลังปรากฏให้เห็นจากสิ่งที่เรียกว่า...ข้อตกลงนิวเคลียร์นั่นเอง” ไปจนกระทั่งอดีตนายกรัฐมนตรีคนก่อน “นายเบนจามิน เนทันยาฮู” ที่ออกมาเยาะเย้ย ถากถาง รัฐบาลปัจจุบันเอาไว้ประมาณว่า “นายกรัฐมนตรีอิสราเอล(คนปัจจุบัน) ไม่ได้คิดต่อสู้เพื่อไม่ให้เกิดการกลับไปสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์ใดๆ เลย และรัฐมนตรีต่างประเทศก็เงียบเหมือนปลา” อาจถือเป็นภาพสะท้อนถึง “ปฏิกิริยา” ของอิสราเอล ต่อการเจรจาคราวนี้ได้เป็นอย่างดี...
แต่ก็นั่นแหละ...คุณพ่ออเมริกาท่านก็ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าบรรดาลูกหลานชาวยิวทั้งหลาย คิดยังไง รู้สึกยังไง การคิดจะหวนกลับไปสู่ข้อตกลง “JCPOA” ของอเมริกา จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการสร้าง “แรงกระตุ้น” ให้กับอิสราเอลในการจัดการปัญหา “ภัยคุกคามอิหร่าน” ให้ยิ่งดุเดือดรุนแรงยิ่งขึ้นไปเท่านั้น และแม้ว่ารู้ทั้งรู้นี่แหละ...แต่รัฐบาลอเมริกันของ “ผู้เฒ่าโจ” ท่านกลับ “เปิดไฟเขียว” ให้อิสราเอลแบบชนิดสว่างโร่ หรืออย่างที่นายกรัฐมนตรีอิสราเอลคนปัจจุบัน “นายNaftali Bennett” ได้เปิดเผยเอาไว้เมื่อช่วงวันจันทร์ (7 ก.พ.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “ประธานาธิบดีไบเดนรู้ดีว่า อิสราเอลมีเสรีภาพที่จะปฏิบัติการใดๆ ก็ได้ แม้ว่าอเมริกาจะตกลงกับอิหร่านได้หรือไม่ อย่างไร” แถมยังพร้อมซ้อมรบร่วมในแผนปฏิบัติการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านกับอิสราเอลซะอีกด้วย ซ้อมเติมน้ำมันเครื่องบินกลางอากาศ และยังสัญญิงสัญญา ว่าพร้อมจะเติมคลังอาวุธให้กับระบบป้องกันภัยทางอากาศ “Iron Dome” ของอิสราเอลไม่ให้พร่องโดยเด็ดขาด ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ดูจะทำให้ “แนวรบในตะวันออกกลาง” จึงเป็นอะไรที่ร้อนฉ่า ร้อนแรง ยิ่งกว่า “แนวรบยุโรปตะวันออก” หรือ “แนวรบทะเลจีนใต้” ไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า ด้วยเหตุเพราะผู้ที่ไม่ได้มีส่วนร่วมเจรจาข้อตกลง “JCPOA” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับได้รับความมั่นอก-มั่นใจจากคุณพ่ออเมริกา ต่อ “เสรีภาพในการปฏิบัติการ” (Freedom of Action) ในการโจมตีประเทศอิหร่านเมื่อไหร่และตอนไหน ก็ย่อมได้!!!