ไม่ว่ากองทัพหมีขาวรัสเซีย...เขาคิดจะ “บุกยูเครน” ในเดือนนี้-เดือนหน้า วันนี้-วันหน้า หรือวันไหนๆ ก็แล้วแต่ แต่คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้ว่า ภายใต้สีสัน บรรยากาศ ที่ยังแทบไม่รู้จะออกหัว-ออกก้อย ออกหมู่-ออกจ่า แต่ผู้ที่ออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือ แถมยังโคตะระยุแยงตะแคงรั่ว แบบชนิดไม่คิดจะลดราวาศอกเอาเลยแม้แต่น้อย ก็คงหนีไม่พ้นไปจาก...คุณพ่ออเมริกา...ของเราผู้นี้นี่เอง!!!
คือไม่ใช่แค่สำนักข่าวระดับโลกอย่าง “Bloomberg” จะออกมาทำปืนลั่น มือลั่น ขึ้นข่าวพาดหัวแบบชนิดเฟกนิวส์ ฟักนิวส์ ว่ากองทัพรัสเซียบุกยูเครนไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงวันอาทิตย์ (6 ก.พ.) ที่ผ่านมา แต่บรรดา “สื่อตะวันตก” รวมทั้งนักการเมืองผู้ทรงอำนาจอิทธิพลทั้งหลายในอเมริกา ยังพยายามออกข่าว เต้าข่าว ปล่อยข่าว ถึงความพังพินาศฉิบหายของฉากสถานการณ์ยูเครนอย่างเป็นระลอก ไม่ว่าการคาดคำนวณว่าจะมีพลเรือนชาวยูเครนต้องล้มตายเพราะการบุกของกองทัพรัสเซียไม่น้อยกว่า 50,000 ราย ทหารยูเครนอาจบาดเจ็บล้มตายไม่น้อยกว่า 25,000 คน ไปจนถึงชาวยูเครนนับล้านๆ อาจต้องอพยพหลบหนีลี้ภัยเข้าไปในประเทศยุโรปแต่ละประเทศ ชนิดน่าขนลุก ขนพอง น่าสยองขวัญสั่นประสาทเอามากๆ แม้กระทั่งระดับที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขา “นายJake Sullivan” ก็ยังมิวายออกมากระพือข่าว ขยี้ข่าว สำทับเข้าไปอีกต่างหาก ว่ายังไงๆ...ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” คงต้องตัดสิน “บุกแน่” ไม่ว่าวันนี้-วันไหน หรือนับจากนี้เป็นต้นไป...
เรียกว่า...เล่นเอาบรรดาชาวยูเครนแท้ๆ ไม่ว่าตั้งแต่ระดับประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีกลาโหม ต่างประเทศ ไปจนถึงคนสนิทของประธานาธิบดี ฯลฯ ต้องออกมาแก้ข่าว ไขข่าว ไขข้องใจ อย่างชนิดแทบลิ้นพันกันเอาเลยถึงขั้นนั้น เช่น รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครน “นายDmytro Kuleba” ที่ถึงกับต้องออกมาป่าวประกาศถึงขั้นว่า...อย่าไปได้เชื่อเด็ดขาด!!! ต่อการคาดการณ์ ต่อคำพยากรณ์ในแบบคล้ายๆ วันสิ้นโลก (Apocalyptic prediction) อะไรประมาณนั้น หรือตัวประธานาธิบดี “Volodymyr Zelensky” เอง ที่ต้องเอะอะโวยวายเอาไว้ก่อนหน้านั้น ว่าเป็นเพราะการออกข่าว ปล่อยข่าวกระพือข่าวของบรรดาสื่อและนักการเมืองตะวันตกนั่นเอง ที่ทำให้บรรดา “นักลงทุน” ต่างเผ่นหนีไปจากยูเครนชนิดแทบเกลี้ยงประเทศ หรือแม้แต่นักยุทธศาสตร์ยูเครน ที่เคยเป็นถึงอดีตรัฐมนตรีกลาโหมและยังคงให้คำปรึกษาทางยุทธศาสตร์ผ่านทางหน่วยงานอย่าง “The Centre for Defence Strategies” อย่าง “นายAndriy Zagorodnyuk” ที่แม้ว่ายังไม่อาจสรุปถึงความชัดเจนของยุทธศาสตร์รัสเซียชัดเจนนัก แต่ก็ได้ประเมินเอาไว้คร่าวๆ ว่า การที่ต้องเจอกับการต่อสู้แบบเต็มรูปแบบของกองทัพยูเครน ความสูญเสียที่ต้องเกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่าย รวมทั้งความเสียหายทางเศรษฐกิจจากการ “แซงชั่น” ของตะวันตก ไปจนถึงการขยายตัวของสงครามที่อาจทำให้กองทัพรัสเซียต้องสู้กับประเทศยุโรปทั้งมวล ฯลฯ น่าจะทำให้รัสเซียไม่ได้คิดจะเอาแต่บุกยูเครน หรือคิดจะยึดยูเครน แต่เพียงลูกเดียว...
เช่นเดียวกับผู้นำฝรั่งเศส ประธานาธิบดี “Emmanuel Macron” ที่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวจาก “Journal du Dimanche” ก่อนเดินทางไปพบปะหารือกับผู้นำอเมริกาเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (6 ก.พ.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า เอาเข้าจริงๆ แล้ว “เป้าหมาย” ของรัสเซียนั้นไม่ได้อยู่ที่ยูเครน ไม่ว่าการบุก-ไม่บุก ยึด-ไม่ยึดในบางส่วน หรือในระดับทั่วทั้งประเทศ แต่อยู่ที่การรับมือกับนาโตที่มีอเมริกาเป็นหัวหอกและกับประเทศอียู นั่นแหละเป็นสำคัญ และสิ่งเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ “พื้นที่ทางการทูต” ยังคงเปิดกว้างเอาไว้เสมอๆ ไม่ต่างไปจากคนสนิทของประธานาธิบดียูเครน “นายMykhailo Podolyak” ที่มองว่าบรรดาความเคลื่อนไหวทางทหารของกองทัพรัสเซีย ซึ่งทำให้กระทั่งที่ปรึกษาความมั่นคงทำเนียบขาว อย่าง “นายJake Sullivan” เชื่อว่ารัสเซียต้อง...บุกแน่ ไม่ต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น น่าจะเป็นแค่ “สงครามจิตวิทยา” ของรัสเซียเท่านั้นเอง...
ยิ่งถ้าดูจาก “แถลงการณ์ร่วม” ของจีนและรัสเซีย หลังการพบปะของประธานาธิบดี “ปูติน” และ “สี จิ้นผิง” ระหว่างพิธีเปิดกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมา การตัดสินใจใดๆ ของรัสเซียต่อ “แนวรบด้านยุโรปตะวันออก” ย่อมมีความเกี่ยวพันยึดโยงอยู่กับการตัดสินใจของจีนต่อ “แนวรบในทะเลจีนใต้” หรือต่อการบุก-ไม่บุกไต้หวัน อย่างมิอาจแยกออกจากกันได้เลย เพราะด้วยฉากสถานการณ์แห่งการต้องเผชิญหน้า “ศึก 2 ด้าน” ภายในเวลาเดียวกัน หรือพร้อมๆ กันไปเท่านั้น ที่จะทำให้ “เครื่องจักรสังหาร” อย่างกองทัพอเมริกัน “ไปไม่เป็น” หรือไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี ได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง หรือพูดง่ายๆ ว่า “เป้าหมาย” ของจีนและรัสเซียนั้น คงไม่ได้เกี่ยวกับการบุก-ไม่บุกยูเครนมากมายสักเท่าไหร่แต่อยู่ที่การ “เปลี่ยนโลก” หรือ “เปลี่ยนระบบโลก” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ด้วยเหตุนี้...ก็คงไม่ถึงกับต้อง “หูแหก-ตาแหก” มากมายเกินไปนัก เพราะอย่างที่เคยว่าๆ เอาไว้แล้วว่า เอาเข้าจริงๆ แล้วไม่ว่าจะเป็น “แนวรบยุโรปตะวันออก” หรือ “แนวรบทะเลจีนใต้” ก็ตาม ยังไม่ถึงกับเปราะบาง อ่อนไหวสักเท่าไหร่ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับ “แนวรบในตะวันออกกลาง” ที่โอกาสจะเกิดการ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” โดยกองทัพอิสราเอล ด้วยการโจมตีฐานที่ตั้งโรงงานนิวเคลียร์อิหร่าน ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ ยิ่งเมื่อการเจรจาโดยทางอ้อม ระหว่างอเมริกาและอิหร่านในเรื่องการกลับ-ไม่กลับ เข้าไปสู่ “ข้อตกลง JCPOA” ที่ผ่านมาแล้ว 8 ครั้ง นับจากเดือนเมษายนปีที่แล้ว มาจนถึง ณ บัดนี้ ณ กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ได้เกิดข้อสรุปโดยคร่าวๆ ประมาณว่า รัฐบาลอเมริกันอาจตัดสินใจ “ผ่อนคลาย” บรรยากาศ ด้วยการยกเลิกการ “แซงชั่น” บางส่วน ต่อโครงการนิวเคลียร์ของพลเรือน หรือเปิดโอกาสให้บริษัทหรือบรรดาประเทศต่างๆ สามารถทำธุรกรรมกับหน่วยงานด้านพลังงานอิหร่าน เช่น “Busher power station”, “Tehran Research Reactor” หรือ “Arak heavy water Plant” ฯลฯ โดยไม่ต้องถูกไล่ล่า ถูกลงโทษโดยอเมริกาแต่อย่างใด...
แม้ว่าการผ่อนคลาย ผ่อนบรรยากาศในลักษณะเช่นนี้ จะยังไม่ถึงกับถึงอก-ถึงใจ หรือยังไม่ใช่สิ่งที่ฝ่ายอิหร่านมุ่งหวังและต้องการ อันได้แก่การยกเลิกการแซงชั่นทั้งมวล แต่ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิด “ปฏิกิริยา” ต่อ “ศัตรู-คู่กัด” ของอิหร่าน อย่างคุณทวดอิสราเอลมิใช่น้อย ดังที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของอิสราเอล “นายNaftali Bennett” ได้ออกมาบอกกล่าวกับคณะรัฐมนตรีอิสราเอลเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (6 ก.พ.) ที่ผ่านมานั่นแหละว่า... “ความเสียหายของอิสราเอลจากความพยายามหวนกลับไปสู่ข้อตกลง JCPOA ของอเมริกา กำลังเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ” และ “ใครก็ตาม...ที่คิดว่าข้อตกลงดังกล่าวจะทำให้เกิดเสถียรภาพความมั่นคงเพิ่มขึ้น คนนั้น...คิดผิด!!!”
ว่ากันว่า...นายกรัฐมนตรีอิสราเอลรายนี้ กำลังอยู่ระหว่างพบปะเจรจา จับเข่า จับหัวหน่าว กับ “ผู้เฒ่าโจ ไบเดน” และพร้อมจะเชิญผู้นำอเมริการายนี้มาเยี่ยมเยือนอิสราเอลอย่างเป็นทางการ แต่ไม่ว่าผลแห่งการพบปะ พูดคุย แต่ละครั้ง จะออกมาในรูปไหนก็ตาม อิสราเอลเขาก็ได้ป่าวประกาศเอาไว้แล้วล่วงหน้าว่า การตัดสินใจบุกโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านของกองทัพอิสราเอลนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกลับ-ไม่กลับไปสู่ข้อตกลง “JCPOA” ของอเมริกาและอิหร่านแต่อย่างใด หรือถือเป็นอิสระ เสรี ตามอำนาจอธิปไตยของอิสราเอลเอง ที่จะ “บุก-ไม่บุกอิหร่าน” อีกไม่นานนับจากนี้ ปฏิบัติการ “ซ้อมรบ” ระหว่างกองทัพอากาศอิสราเอลกับอเมริกา ที่ผ่านมาเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ตามรายงานข่าวของ “Kan News” จึงระบุเอาไว้ชัดเจนถึงการซ้อมสำหรับการเติมน้ำมันเครื่องบินกลางอากาศ ไปจนถึงการซ้อมโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านด้วยขีปนาวุธระยะไกล ฯลฯ...
อีกทั้งหลังจากกองทัพอิสราเอลได้พัฒนาระบบป้องกันภัยทางอากาศชนิดใหม่ โดยความร่วมมือระหว่างหน่วยงาน “MAFAT” (Defense Ministry’s Directorate of Research and Development) กับบริษัท “Rafael Advance Defense Systems” จนสามารถประดิษฐ์คิดค้น “อาวุธเลเซอร์” ที่สามารถทำลายการโจมตีจากจรวด ขีปนาวุธหรือเครื่องบินโดรน ฯลฯ ได้อย่างเป็นมรรค เป็นผล และได้นำมาประจำการพร้อมกับระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบเดิมๆ คือระบบ “Iron Dome” จนทำให้เชื่อๆ กันว่าประเทศอิสราเอลสามารถเผชิญการตอบโต้ของอิหร่านได้แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด อันนี้นี่แหละ...ที่อาจทำให้การ “จุดไฟนรกสุดขอบฟ้า” ขึ้นมาใน “แนวรบตะวันออกกลาง” เป็นไปได้ยิ่งกว่าแนวรบด้านอื่นๆ เอาเลยก็ไม่แน่!!!