xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” ถึงเวลา “ลุงตู่” เล่นเอง จับตา “กองกำลังลับ” ขยับ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - สะกดคำว่า “ชนะ” ไม่เป็นเสียแล้วสำหรับ “ค่ายหลวงพ่อป้อม” พรรคพลังประชารัฐ ที่เคยสร้างสถิติกินรวบสนามเลือกตั้งซ่อมตลอด หลังล่าสุดปราชัยแบบเละตุ้มเป๊ะในสนามเลือกตั้งซ่อม ส.ส.กทม. เขต 9 หลักสี่-จตุจักร ที่เป็นเจ้าของพื้นที่แท้ๆ

ส่งผลให้ต้องพ่ายแพ้ติดกัน 3 สนาม ช็อตต่อเนื่องมาจาก เขต 1 จ.ชุมพร และ เขต 6 สงขลา เมื่อเดือนมกราคม 2565 ที่ผ่านมา

สองสนามพื้นที่ที่ด้ามขวานยังพอแถไถได้ เพราะไปในฐานะผู้ท้าชิง ที่มีเพื่อร่วมรัฐบาล “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์ เป็นแชมป์เก่า แต่สนามเลือกตั้งเมืองกรุง ปี 2562 “สิระ เจนจาคะ” ยี่ห้อพรรคพลังประชารัฐ กวาดไป 3 หมื่นกว่าคะแนน รอบนี้ “มาดามหลี” สรัลรัศมิ์ เจนจาคะ ภรรยาสุดที่เลิฟ ได้ไม่ถึงหมื่น คะแนนหายแบบเหมือนโดนยกเค้า เอาของไปหมดบ้าน

ขณะที่พรรคฝ่ายค้าน กวาดคะแนนได้เป็นกอบเป็นกำ “เสี่ยอ๊อบ” สุรชาติ เทียนทอง จากพรรคเพื่อไทย ฟาดไปเกือบ 3 หมื่นคะแนน “เพชร” กรุณพล เทียนสุวรรณ จากพรรคก้าวไกล กวาดไป 2 หมื่นกว่าคะแนน

ส่วนกัลยาณมิตร “ลุงตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม อย่าง “เสี่ยเอ๋” อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี เลขาธิการพรรคกล้า ได้ไป 2 หมื่นกว่าคะแนน คู่คี่กับพรรคก้าวไกล และพรรคไทยภักดีของ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ได้ไปเพียง 5 พันกว่าคะแนน

เอาคะแนน “ทีมลุงตู่” รวมกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ พรรคไทยภักดี และพรรคกล้า ยังสู้คะแนน “ขั้วตรงข้าม” คือพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกล รวมกันไม่ได้

งานนี้ฝ่ายที่อ้างตัวเองเป็น “ฝ่ายประชาธิปไตย” ระริกระรี้เป็นปลากระดี่ได้น้ำ ได้จังหวะขย่ม “บิ๊กตู่” และรัฐบาลแบบเต็มปากเต็มคำ หมดเวลาเผด็จการ ประชาชนไม่ไว้วางใจให้บริหารประเทศอีกต่อไปแล้ว

แม้เป็นเขตเลือกตั้งเดียว แต่เอาไปเคลมได้ เพราะคะแนนของ “มาดามหลี” ต่ำเตี้ยเรี่ยดินไม่สมกับเป็นแชมป์เก่า แล้วน่าจะเป็นเลือกตั้งซ่อมเพียงไม่กี่ครั้ง ที่เจ้าของพื้นที่เดิมแพ้กระจุยกระจายแบบนี้

จะว่าไป เลือกตั้งซ่อมหนนี้ พรรคอื่นมีวิวัฒนาการหมด ทั้งพรรคเพื่อไทยได้คะแนนสูงปรี๊ด ทิ้งคู่แข่งไม่เห็นฝุ่น พรรคก้าวไกลส่ง “เพชร กรุณพล” มาเปิดซิงการเมือง และพรรคกล้า ยังได้คะแนนถึง 2 หมื่นกว่า หรือแม้แต่พรรคไทยภักดี แม้จะได้น้อยกว่า “มาดามหลี” แต่ยังก็ประเดิมลงแข่งครั้งแรกแบบไร้ต้นทุนไปได้ถึงเกือบ 6 พันคะแนน ก็ไม่น่าเกลียดอะไร

หรือขนาดพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ได้ลงแข่ง ยังออกมาเคลมหน้าตาเฉยว่า คะแนนที่เคยได้เมื่อเลือกตั้ง 2562 ยังอยู่ แค่ผ่องถ่ายไปให้พรรคพันธมิตรเฉพาะกิจเท่านั้น

 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
ถอดบทเรียนสั้นๆ ได้ใจความ “พลังประชารัฐ” เจ๊งบ้งอยู่พรรคเดียว แถมเจ๊งแบบหามุมดีปลอบใจตัวเองแทบไม่ได้ และจะว่าไปก็โทษใครไม่ได้ เพราะดัน “เลือกและส่ง” ผู้สมัครแบบไม่สนใจประชาชนเจ้าของพื้นที่ โดยเฉพาะคำว่า “สภาผัวเมีย” ที่เสียดแทงหัวใจคนกรุงและคนไทยอยู่เป็นทุนเดิม

เจอคู่แข่งขย่มซ้ำไม่เท่าไร ยังมาเจอ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา อดีตแม่บ้านใหญ่พรรคพลังประชารัฐ ที่เพิ่งย้ายสำมะโนครัวไปอยู่ “พรรคเศรษฐกิจไทย” เปิดปฏิบัติการขยี้ด้วยปริศนาคำฝรั่งที่ว่า “The enemy of my enemy is my friend” แปลเป็นไทย “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” หลังรู้ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการอีก

ประโยคสั้นๆ ของ “ผู้กองนัส” บนหน้าเฟซบุ๊ก แม้ไม่มีเสียง แต่สัมผัสได้ถึง “ความสะใจ”

สะใจในความล้มเหลวของพรรคพลังประชารัฐ และสะใจในชัยชนะของพรรคเพื่อไทยที่คว้าชัยสนามหลักสี่-จตุจักร รวมทั้งพรรคก้าวไกลที่มาเป็นอันดับ 2 ล้วนแล้วแต่เป็น “ศัตรู” ของพรรคพลังประชารัฐ ที่หมายรวมไปถึง “นายกฯตู่”

ตีความตามบริบทการเมือง ถึงวันนี้ “ธรรมนัส” ก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพรรคพลังประชารัฐ และ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างเป็นทางการแล้ว

ส่วนมิตรที่ว่าคงหมายถึงพรรคเพื่อไทย ตามกระแสข่าวลือก่อนหน้านั้นว่า หลังเลือกตั้งครั้งหน้า “ซุ้มธรรมนัส” จะร่วมจัดตั้งรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย

เปิดไพ่กันให้เห็นและไม่มีจุดต้องเกรงใจ ขณะเดียวกันยังคล้ายตั้งใจแบไต๋ให้ “บิ๊กตู่” เห็น “พรรคเศรษฐกิจไทย” ชายคาใหม่ของ “ผู้กองนัส” จะยืนอยู่สถานะไหนในสภาผู้แทนราษฎรหลังจากนี้

แม้ “นายป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จะออกมาแสดงความเป็นเจ้าของพรรคเศรษฐกิจไทย แถมการันตีให้ว่า เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเหมือนเดิม

แต่ท่าที “ผู้กองนัส” ในจังหวะเยาะเย้ย เหยียบซ้ำ รัฐบาลที่กำลังหกล้ม ตลอดจนการมีชื่อคนสนิทของ “บิ๊กป้อม” อย่าง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ที่ได้ยื่นใบลาออกจากสมาชิกพรรค และคาดว่าจะไปเป็นหัวหน้าพรรคเศรษฐกิจไทย

เป็นการบ่งบอกอย่างชัดสถานะ “พรรคพลังป้อมสาขา 2” คือ พรรคร่วมรัฐบาลแผนก “หอกข้างแคร่” ชัวร์ป้าบ

พรรคที่ขึ้นตรงกับ “บิ๊กป้อม” แต่ไม่ได้ขึ้นตรง “บิ๊กตู่” อยู่ในโหมดแล้วแต่จะใช้บริการ ตัวแปรสำคัญที่จะทำให้รัฐบาล-สภาฯ กระเพื่อมได้ตลอดเวลา

จากนี้ไม่ว่าจะฝ่ายบริหารหรือนิติบัญญัติ คงไม่รู้จักคำว่า “สงบสุข” ตลอดเทอมที่เหลือของรัฐบาล

จังหวะเคลื่อนของ “ธรรมนัส” ถูกผูกโยงไปถึง “เฮียโทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากมีใครอยากให้รัฐบาลประยุทธ์ล้มคว่ำมากที่สุด ก็คงไม่พ้น “พี่โทนี่”

ประโยค “ศัตรูของศัตรูคือมิตร” ที่ “ธรรมนัส” ทิ้งปริศนาไว้ถูกนำไปถาม “ทักษิณ”ผ่านรายการ CARE ClubHouse เมื่อค่ำวันที่ 1 ก.พ.65

ทว่า “ทักษิณ” เลือกตอบแบบการเมืองจ๋าว่า “ผมไม่รู้ใครเป็นศัตรู ร.อ.ธรรมนัส ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เป็นรุ่นน้องเตรียมทหาร ตอนที่เป็นนายกฯ ผมเป็นคนรับสนองให้ พล.อ.ประยุทธ์เป็นนายพล ไม่มีทางเป็นศัตรู แต่การเมืองแน่นอน มีการแข่งขัน มีการลูบคมกัน แต่ไม่ใช่ศัตรู ผมก็ไม่ใช่ศัตรูของ พล.อ.ประยุทธ์ และไม่ใช่ศัตรู ร.อ.ธรรมนัส เพราะ ร.อ.ธรรมนัส เป็นรุ่นน้องเยอะเลย เคยอยู่พรรคเพื่อไทย เป็นคนเหนือด้วยรู้จักกันดี”

จนมีการนำคำพูดดังกล่าวของ “ทักษิณ” ไปขยายต่อในแผนเพจของสื่อในเครือข่ายดูไบ แต่ไม่นานก็ต้องลบโพสต์อย่างไม่มีคำอธิบาย เชื่อกันว่าเพราะความไม่ชัดเจนของ “ทักษิณ” ที่อุตส่าห์มีคนชงหวานเจี๊ยบให้ถล่ม “พล.อ.ประยุทธ์” กลับสงวนท่าที และเน้นว่า “ไม่เป็นศัตรูกับ พล.อ.ประยุทธ์” ทำเอาเอฟซีโห่กันลั่น

ในอารมณ์ผิดหวัง แต่ไม่ผิดคาด เพราะรู้กันดีว่า “ทักษิณ” ถนัดสู้แบบ “อยู่เป็น-สู้ไป กราบไป” อยู่แล้ว

เพราะเอาเข้าจริงขนาด ติ่งเพื่อไทย-ก้าวไกล เสื้อแดง-สามนิ้ว ที่ล่วงรู้แผนการ “กบฏผู้กอง” เมื่อครั้งอภิปปรายไม่ไว้วางใจต้นเดือนกันยายน 2564 ที่เป็นจุดแตกหักของ “ประยุทธ์-ธรรมนัส” ภายหลัง ยังเทใจเชียร์ “ธรรมนัส” สนั่นว่า หากล้ม “บิ๊กตู่” สำเร็จ เตรียมรับตำแหน่ง “วีรบุรุษประชาธิปไตย” กันมาแล้ว

อย่างไรก็ดี มีกระแสข่าวว่า “ผู้กองนัส” ที่บินลัดฟ้าไปประเทศแถบยุโรป มี “นัดสำคัญ” พบ “เจ้านายเก่า” จิบกาแฟแลเทือกเขาแอลป์ วางเกมการเมืองที่ไม่เป็นบวกกับ “บิ๊กตู่”

จึงน่าสนใจไม่น้อยว่าเกมการเมืองหลัง “ธรรมนัส” กลับสู่มาตุภูมิแล้วจะเป็นเช่นไร เพราะยามนี้บอกได้ว่า รัฐบาลไปเร็วหรือไปช้า “ค่ายเศรษฐกิจไทย” นี่แหละ “หัวเชื้อ” ชั้นดี หาก 18 เสียงของ “ผู้กองนัส” ตุกติกเวลาลงมติในสภา พาคว่ำ พาหงายกันได้เลย

สถานการณ์รัฐบาล แค่ผลักก็ล้ม เหมือนที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เย้ยหยันเอาไว้ ทางออก “บิ๊กตู่” ตอนนี้มีทางเลือกเหลืออยู่แค่ 3 ทาง “ลาออก-ยุบสภา-รัฐประหาร” อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่มีเป็นอื่นไปกว่านี้

ตัดความเป็นไปได้น้อยที่สุดออก ประตู “ไขก๊อก” ลงกลอนไปได้เลย เพราะเท่ากับพาตัวเองไปสู่ทางตัน ตัดอนาคตทางการเมืองตัวเอง คัมแบ็กลำบาก ไม่มีทางที่ “คนแพ้ไม่เป็น” อย่าง “บิ๊กตู่” จะเลือกทางนี้

ขณะที่ประตู “ยุบสภา” บานนี้เปิดอ้าซ่า มีความเป็นไปได้มากที่สุด เพราะมีโอกาสหวนคืนสู่อำนาจ แต่จะยุบเมื่อไหร่เท่านั้น กัดฟันเดินต่อไปได้อีกแค่ไหน เพราะ “พรรคเศรษฐกิจไทย” เปิดแสตนด์บายโหมดปั่นป่วนแล้ว

อยู่แค่ว่า จะลงมือตอนไหน ขนาดวันนี้ยังปั่นประสาท รัฐบาลยังออกอาการเสียขนาดนี้ อย่างในคิว “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หลุดปากประเด็น “บิ๊กป้อม” คอยคุ้มหัว “ผู้กองนัส” มือขวาอย่าง “เสี่ยไผ่” ไผ่ ลิกค์ ส.ส.กำแพงเพชร ยังรีบกระโดดงับ

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐขณะลงพื้นที่ช่วยมาดามหลีหาเสียงก่อนพ่ายแพ้ไปอย่างหมดรูป
ขยายภาพ “ทีมลุงตู่” ไม่เห็นหัว “ลุงป้อม” พร้อมกับขู่ กังวลแทน “เสี่ยโอ๋” จะไม่รอดตอนศึกซักฟอกงวดหน้า ทำเอาอีกฝ่ายต้องรีบออกโรงเคลียร์ด่วน เพราะงวดก่อนข่าวก็ว่า เจอ “ผู้กองนัส” ที่วันนั้นยังเป็น “พวกเดียวกัน” จับยัดตะกร้าให้ฝ่ายค้านชำแหละ
ไม่เพียงแต่การแยกตัวออกไปพรรคเศรษฐกิจไทย ตั้งตัวเป็น “หอกข้างแคร่” ชัดเจนเท่านั้น เพราะในพรรคพลังประชารัฐก็ยังมี “ซุ้มผู้กอง” หมกอยู่อีกไม่น้อย รออาณัติสัญญาณพร้อมชิ่งได้ตลอดเวลา

และไม่ว่าพรรคเศรษฐกิจไทยจะยังอยู่ในกระดานการเมืองต่อหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ มีภารกิจวันนี้ต้องทำให้พรรคพลังประชารัฐถูกลบออกจากกระดานให้ได้

ก็อยู่ที่ “บิ๊กตู่” จะแก้เกมอย่างไร เพราะไพ่ในมือมีไม่มาก หากจะรักษา “พลังประชารัฐ” ไว้เป็นนั่งร้าน ต้องรีบเข้ามาซ่อมแซมปะผุ รีแบรนด์ใหม่ เพียงแต่สภาพมันเละเกินกว่าจะทะนุบำรุง

เพราะผลเลือกตั้งซ่อมที่ “หลักสี่-จตุจักร” ย่อมสะท้อนไปถึงการเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะดูทรงแล้ว “พลังประชารัฐ” คงไม่อาจรักษา “แชมป์ ส.ส.กทม.” ได้ เผลอๆ อาจถึงขึ้นสูญพันธุ์เสียด้วยซ้ำไป และแน่นอนว่า สามารถพยากรณ์ถึงภาพรวมของทั้งประเทศได้ในทำนองเดียวกัน

ทางเดียวคือ “บิ๊กตู่” ต้องลงมาเล่นเอง มานำทัพด้วยตัวเองเท่านั้น ถึงพอจะลุ้นกอบกู้ภาพลักษณ์ได้

“บิ๊กตู่” ต้องเล่นเอง เจ็บเอง ไม่ใช้สแตนอิน ไม่ยืมจมูกคนอื่นหายใจ

แต่เมื่อประเมินขุมกำลังที่เหลืออยู่ใน “พลังประชารัฐ” ก็บอกได้ว่า “บิ๊กตู่” เหนื่อยหนักแน่ เพราะ “ส่วนใหญ่” ก็ยังภักดีอยู่กับ “นายป้อม” ที่นับวันยิ่งคุยกันคนละภาษากับ “น้องตู่”

ที่ยืนหยัดอยู่กับ “นายตู่” ก็อาจจะมีแค่ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่พร้อมบู๊แหลกถวายชีวิต หรือ “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ที่พร้อมดับเครื่องชน “ก๊วนผู้กอง” แต่ลึกๆ “เสี่ยโอ๋” ก็ยังเป็นเด็กในคาถา “นายป้อม” มากกว่า

ส่วน “สันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคลัง ที่ได้รับหน้าเสื่อเป็นแม่บ้านพลังประชารัฐชั่วคราว ก็ประเภท “นกรู้” เดินการเมืองเหยียบเมฆ พร้อมตีจากหากสถานการณ์ไม่ดี

ขณะที่ “กลุ่มสามมิตร” นำโดย สมศักดิ์ เทพสุทิน - สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ - อนุชา นาคาศัย ที่แม้เป็นต้นไอเดียให้ “บิ๊กตู่” เข้ามามีบทบาทในพรรคมากขึ้น เพราะมองว่าการตัดสินใจของ “หัวหน้าป้อม” ที่มีเงาของ “ผู้กองนัส” อยู่ข้างหลังออกไปในทางไม่เด็ดขาด และปล่อยให้ “ก๊วนผู้กอง” เป็นปัญหาคาใจนายกฯ รวมทั้งทำให้รัฐบาลอ่อนแอ

แต่ “สามมิตร” กับ “สันติ” รวมไปถึง “ซุ้มบ้านใหญ่” ก็เป็น “นักการเมืองอาชีพ” เดินเกมชั้นเซียน พร้อมตีจากทุกเมื่อ และในทางตรงกันข้ามก็ต้องไม่ลืมว่า พวกเขาคือ “นักการเมืองอาชีพ” ที่พร้อมจะปรับตัวถ้าหากสถานการณ์เปลี่ยนไปได้เช่นกัน

เอาเป็นว่าถ้า “พลังประชารัฐ” พังเกินกว่าจะซ่อม ก็ต้องมองไปที่ “นั่งร้าน” ตัวใหม่ เพื่อไปตายเอาดาบหน้า ตอนนี้ “กองกำลังลับ” สาย “ลุงตู่” หลายกลุ่ม ก็ไปปลูกทิ้งเอาไว้รอ ไม่ว่าจะเป็น “ไทยสร้างสรรค์” ของ “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ที่ร่วมมือกับ ก๊วน กปปส. ปั้นเอาไว้จนเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง

หรือจะเป็น “รวมไทยสร้างชาติ” ที่ “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำรอไว้ โดยมีชื่อของ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา และ “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ถูกใช้ลงไปตระเตรียมการ โดยมี “บิ๊ก ด.” ควบคุมการก่อสร้าง

ตามรูปการณ์ปัจจุบัน “บิ๊กตู่” ต้องรีบหาที่สิงสถิตย์ให้เร็วที่สุด หากให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ แบบนี้ ทางเลือกจะค่อยๆ แคบลงเช่นเดียวกัน เพราะผลงานไม่มีให้โปรโมต เรื่องฟื้นความสัมพันธ์ซาอุดิอาระเบียก็โป้งเดียวซาไปแล้ว

เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ “บิ๊กตู่” จะต้องตัดสินใจถ้าหากยังอยากจะเล่นการเมืองและอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย จะมามัวนั่งฝันหวานอยู่ใน “ทุ่งลาเวนเดอร์” และพึ่งพา “บิ๊กป้อม” เหมือนที่ผ่านมาไม่ได้ ดังพุทธศาสนาสุภาษิตที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

จะเดินหน้ายึด “พรรคพลังประชารัฐ” หรือไปอยู่ “พรรคใหม่” ที่เตรียมการไว้ก็ให้ไว

หรือตั้งใจจะปล่อยให้เกิด “สุญญากาศ” ตามคิวที่ “หมอชลน่าน” ออกมาดักทางได้กลิ่นรัฐประหารโชยตามลม เพราะมีกลิ่นทะแม่งๆ พิกลไม่น้อย โดยเฉพาะคิวที่ “ซินแสเข่ง” ชนม์ทรรศน์ ฤทัยผ่อง ผู้อำนวยการสถาบันโหราศาสตร์พยากรณ์แห่งประเทศไทย ทำนายเหมือน “ตามน้ำ”

ฟันธงว่า จะไม่มีการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และเลือกตั้งใหญ่ภายในปีนี้ รวมถึงจะไม่มีการยุบสภา แต่มีโอกาสเกิด “รัฐประหาร” โดยให้จับตาเดือนเมษายน พฤษภาคมและสิงหาคมให้ดี

สุรชาติ เทียนทอง จากพรรคเพื่อไทยที่สามารถคว้าชัยในศึกเลือกตั้งซ่อม “หลักสี่-จตุจักร”
ทำนายแบบนี้ถูกตั้งข้อสังเกตเหมือนเป็นการ “โยนหินถามทาง” ถ้าอีกพัก “โหร คมช.” วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ แห่งสำนักสุขิโต จ.เชียงใหม่ ออกมาทางเดียวกัน ก็โป๊ะเชะว่า “บิ๊กท๊อปบูต” คิดอ่านอะไรอยู่

ว่ากันตามไทม์ไลน์มีช่องให้เกิด “สุญญากาศ” เพียบ โดยเฉพาะกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเลือกตั้ง ทั้งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง ที่หาก “บิ๊กตู่” กดปุ่มยุบสภาก่อนคลอดยุ่งแน่

ตามคำให้การของ “นักกฎหมายประเทศไทย” วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ขอให้กฎหมายลูกแล้วเสร็จเสียก่อน

เพราะต้องแก้ด้วยการให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกประกาศขึ้นมาแทน แน่นอนว่า กกต.ยืนอยู่บนความเสี่ยงกระทำผิดกฎหมาย หากพลาดพลั้งเขียนผิดหลักการรัฐธรรมนูญ ทำการเลือกตั้งเป็นโมฆะ เกิดสุญญากาศ เปิดเงื่อนไขให้ใช้ “อำนาจพิเศษ”

หรือแม้แต่การให้รัฐบาลออก พ.ร.ก.แก้ขัด รัฐบาลต้องเป็นคนออกกติกาเอง ออกไปออกมา ขัดรัฐธรรมนูญขึ้นมา ก็สุญญากาศเช่นกัน

หรือจะยอมยุบสภา หรือมีเหตุให้ยุบสภา เพราะร่างกฎหมายสำคัญอย่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2566 ไม่ผ่าน ก็ไปวัดกันในสนามเลือกตั้ง เพราะมีกำลังหลักอย่าง ส.ว. 250 คน คอยสกัดดาวรุ่งฝ่ายตรงข้าม ด่านสำคัญชี้ว่าใครจะได้เป็นนายกฯ อยู่

ลองดูผลคะแนนว่า น่าเกลียดขนาดไหน หากฝ่ายเสื้อคลุมประชาธิปไตยชนะท่วมท้วน แค่ ส.ว. 250 คน ไม่ร่วมประชุม เพราะไม่ยอมรับ แค่นั้นก็พาประเทศเข้าสู่ “เดดล็อก” แล้ว

หากปล่อยให้ถึงขนาดนั้น บ้านเมืองอลหม่านแน่

...ถึงตรงนี้ บทสรุปเพียงหนึ่งเดียวของ พล.อ.ประยุทธ์ถ้าอยากเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัยก็คือ ต้องเป็นนักการเมืองระดับ “เขี้ยวลากดิน” พร้อมระดมทุกสรรพกำลังที่มีอยู่เร่งเครื่องทำงานแข่งกับเวลาเท่านั้น เพราะไม่มีทางเลือกอื่นให้เดินแล้ว.





กำลังโหลดความคิดเห็น