xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“เคี้ยวกระท่อม-ปลูกกัญชา” วิบากกรรมที่ยังไม่จบของ “สายเขียว”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์




ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  เป็นประเด็นร้อนสร้างความสับสนให้เกิดอคติต่อ “พืชกระท่อม” เพราะจริงๆ แล้ว คุณสมบัติของมันไม่ได้ให้เกิด “ดีด” ไม่ได้ออกฤทธิ์แบบกระตุ้นประสาท ดังเช่นการแสดงออกของนักแสดง/ดีเจดัง อย่าง “บีม ศรัณยู” ที่ไลฟ์โชว์ “พลังใบ” เคี้ยวใบกระท่อม เผยไลฟสไตล์โลดโผน ขับรถโฟวิล ซิ่งสปีดโบ๊ท ปีนต้นไม้ ฯลฯ ใครเห็นก็พาลเข้าใจว่า “เมาท่อม” จนออกอาการ “ดีด” 


ทั้งที่ความจริงแล้ว “ใบกระท่อม” ออกฤทธิ์เรื่องของการลดอาการอ่อนเพลีย อ่อนล้า แก้อาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ช่วยทำให้จิตใจสดชื่น กระชุ่มกระชวย อาจกระตุ้นประสาทได้บ้างเหมือนกาแฟ อย่างไรก็ตามในท้ายที่สุด “บีมพลังใบ” ถูกดำเนินดคีในหลายข้อหา และเจ้าตัวได้ออกมาสำนึกผิดต่อความคึกคะนองที่กระทำลงไป

ทั้งนี้   นพ.จักราวุธ เผือกคง  ผู้อำนวยการสถาบันการแพทย์แผนไทย กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ให้ข้อมูลความรู้ว่า ใบกระท่อมไม่ได้ออกฤทธิ์แบบกระตุ้นประสาท ไม่ได้ทำให้เกิดอาการดีดในลักษณะสมองถูกกระตุ้นมากไปจนทำงานมากเกินปกติ ในลักษณะเหมือนกับว่าอยู่เฉยไม่ได้ ควบคุมบางอย่างไม่ได้ ซึ่ง อาการดีดเป็นฤทธิ์ของยาประเภทหนึ่งในกลุ่มยาบ้า ที่ใช้ไปเหมือนอาการเหมือนม้าดีด โผงผาง ทำอะไรไม่หยุด กำลังเยอะ อาการพวกนั้นเป็นอาการที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ส่วนอาการเมากระท่อมนั้นเกิดขึ้นได้แต่ไม่หนัก ลักษณะเวียนหัว โคลงเคลง คลื่นไส้ ใจสั่น หน้ามืด เป็นต้น

ที่สำคัญคือ ใบกระท่อมให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวย ทำให้รู้สึกเหมือนทำงานได้มากขึ้น ให้รู้สึกเหมือนว่ามีพลังในการทำงานมากขึ้น นอกจากนี้ ยังช่วยทำให้ร่างกายเผาผลาญน้ำตาลได้ดี การใช้ใบกระท่อมแบบภูมิปัญญาพื้นบ้านที่มีใช้ทั้งใบสด และใบแห้ง หากเป็นใบสดก็นำใบมารูดเอาก้านออกแล้วเคี้ยว ดูดน้ำกิน พอจืดจึงคาย ใบกระท่อมไม่ได้เป็นสมุนไพรที่จะทำให้เกิดอันตรายที่ร้ายแรง ไม่ได้ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท

ด้าน  นายวิชัย ไชยมงคล  เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) อธิบายว่า ตามนโยบายของ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่นำพืชกระท่อมออกจากบัญชียาเสพติดให้โทษนั้น เพื่อต้องการส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนสามารถปลูกและบริโภคกระท่อมตามวิถีชาวบ้าน เพื่อประชาชนจะได้ใช้ประโยชน์ ทั้งด้านการแพทย์และทางเศรษฐกิจ เพื่อให้เกิดประโยชน์กับประชาชนและประเทศชาติรวมทั้งยังสามารถซื้อหรือขายใบกระท่อมโดยไม่ผิดกฎหมาย แต่หากมีการนำไปผสมยาเสพติดอื่นๆ เช่น สี่คูณร้อย ซึ่งเป็นสารเสพติดที่เกิดจากการนำยาน้ำแก้ไอมาผสมกับใบกระท่อม ยังถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม กรณีนักแสดงหนุ่มที่มีอาการคล้ายเมากระท่อม ไลฟ์โชว์กิจกรรมผาดโผน เสี่ยงอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ความที่เป็นบุคคลมีชื่อเสียงมีผู้ติดตามจำนวนมาก ป.ป.ส. ยอมรับว่า มีความกังวลในเรื่องขอพฤติกรรมเลียนแบบ

กล่าวสำหรับ ร่าง พ.ร.บ.พืชกระท่อมนั้น ได้ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว เมื่อเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา ปรากฏว่า ถูก ส.ว.ปรับปรุง แก้ไข เพิ่มเติมไปถึง 11 มาตรา และเพิ่มอีก 1 มาตรา โดยมีการกำหนดมาตรการเพิ่มในการกำกับดูแลพืชกระท่อมในบางกรณี เช่น มาตรา 25 ว่าสถานที่ห้ามขายใบกระท่อม โดยได้เพิ่มเติมห้ามขายผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ มาตรา 34 กำหนดอัตราโทษเป็นสองเท่า กรณีขายใบกระท่อมให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์ สตรีให้นมบุตร หรือขายในสถานที่ห้ามขาย ทำให้ ส.ส.ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล รุมถล่ม ส.ว. ว่า พิจารณากฎหมายแบบเต่าล้านปี ถอยหลังลงคลอง...โดยเฉพาะในประเด็นห้ามขายผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์

 บรรดา ส.ส.มีความเห็นว่า เมื่อห้ามขายออนไลน์ ก็ไม่ต่างอะไรกับการล็อกไม่ให้พืชกระท่อมเป็นพืชเศรษฐกิจใหม่ตามที่ตั้งหวัง เพราะยุคนี้ถ้าไม่ขายในโซเชียลฯ แล้วจะไปซื้อไปขายกันที่ไหน ...ที่สำคัญคือ ถ้าห้ามก็จะมีคนขายเถื่อนอยู่ดี ดังนั้น จึงควรออกกฎระเบียบให้ชัดเจน ซึ่งสุดท้ายที่ประชุมสภาฯ ลงมติไม่เห็นด้วยกับที่ ส.ว.แก้ไขเพิ่มเติม กระบวนการหลังจากนี้คือ ต้องตั้ง กมธ.ร่วมกันของสภาผู้แทนฯ และวุฒิสภา เพื่อพิจารณาหาข้อยุติกันอีกครั้ง ก็ต้องติดตามกันว่า “กฎหมายกระท่อม” จะออกมาหน้าตาเป็นอย่างไร 

นอกจากนี้ ประเด็นเกี่ยวกับสายเขียวที่น่าสนใจไม่แพ้กันก็คือความคืบหน้าของพืช “กัญชา” หลังจากประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เห็นชอบ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. … โดยปลดล็อกกัญชา-กัญชงออกจากบัญชีรายชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 แต่สารทีเอชซีเกิน 0.2 % ยังเป็นยาเสพติดที่ต้องคุมเข้ม

ถึงแม้กัญชาจะไม่ใช่ยาเสพติดอีกต่อไปแล้ว แต่คนไทยก็ยังไม่สามารถปลูกกัญชาเสรีได้ เพราะต้องมีการออกกฎหมายมาควบคุม คือ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กัญชา กัญชง พ.ศ. … ซึ่งจะประกาศในราชกิจจานุเบกษา ก่อนมีผลบังคับใน 120 วัน หลังจากวันที่ 26 ม.ค. 2565 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย เจ้าของนโยบายกัญชาเสรี เข้ายื่นเสนอต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร และประธานรัฐสภา นำเข้าสู่กระบวนการตราเป็นพระราชบัญญัติ

ทว่า ความสับสนเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวก็ยังคงดำรงอยู่ โดยเฉพาะการปลูกของประชาชน ค่าธรรมเนียมที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่าแพงหูฉี่ รวมทั้งข้อโจมตีว่าเป็นกฎหมายที่เอื้อนายทุน

ทั้งนี้ “นายศุภชัย ใจสมุทร” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ยืนยันว่า ในประเด็นเรื่องการปลูกของครัวเรือนให้ดูหมวดที่ 4 การจดแจ้งและรับจดแจ้งการใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง ในครัวเรือน ในมาตรา 18 ชัดเจนเลยว่า ผู้ใดประสงค์จะเพาะ ปลูก เพื่อใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชงในครัวเรือน ต้องจดแจ้งต่อผู้รับจดแจ้ง และเมื่อผู้รับจดแจ้ง ออกใบรับจดแจ้งแล้ว จึงจะดำเนินการได้ หมายความว่าเพียงไปแจ้งอย่างเดียวก็ปลูกได้

ถามว่าแล้วไปแจ้งกับใครหน่วยไหน ร่าง พ.ร.บ. นี้ได้บัญญัติว่า ผู้รับจดแจ้งหมายความว่า ตามมาตรา 4(1) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือผู้ซึ่งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครมอบหมาย สำหรับจดแจ้ง เพื่อใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชงในครัวเรือน กรุงเทพมหานคร มาตรา 4(2) นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด หรือผู้ซึ่งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดมอบหมาย สำหรับการจดแจ้ง เพื่อใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง ในครัวเรือน ในส่วนภูมิภาค การใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง ในครัวเรือน ก็คือ การเพาะ ปลูก เพื่อการบริโภค ส่วนบุคคล เพื่อดูแลรักษาสุขภาพของตนเอง และครอบครัวที่อยู่อาศัยเดียวกัน ทั้งนี้ไม่เกินปริมาณที่กำหนดในกระทรวง ซึ่งในร่างกำหนดชัดเจนหมดครับ

“เรื่องสำคัญที่มีคนไปบิดเบือน คือ บอกว่า การปลูกต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเรื่องนี้ผมขอเรียนว่าไม่มีการกำหนดไว้เลยในกฎหมายว่าครัวเรือนปลูกแล้วจะต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียม การต้องจ่ายค่าธรรมเนียมมีในกรณีมีการปลูกที่มีการขออนุญาต ซึ่งอยู่ในหมวด 5 ซึ่งเป็นเรื่องธุรกิจ เป็นเรื่องอุตสาหกรรม การพาณิชย์ผู้ที่ขออนุญาตสกัด ในแปลงธุรกิจขนาดใหญ่ นั่นต้องขออนุญาตซึ่งเป็นคนละส่วนกับกับครัวเรือน นั่นคือ ค่าธรรมเนียมที่ต้องขออนุญาต อย. ไม่เกี่ยวกับจดแจ้งของพี่น้องประชาชนแต่อย่างใด อย่าดูแค่ 5 บรรทัด 7 บรรทัด แล้วมาตีความ”นายศุภชัยยืนยัน

ขณะที่  “นายอนุทิน ชาญวีรกูล”  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีเสนอจะให้ใช้แอปพลิเคชันในการจดแจ้งปลูกกัญชาในครัวเรือนว่าจะทำให้เกิดความหละหลวมหรือไม่ว่า เวลาจดแจ้งหมายความว่าประชาชนได้มาแสดงความจำนงความประสงค์ว่าจะปลูกเท่านี้ และไม่ใช่แค่บอกว่าจะปลูกกัญชา ต้องบอกด้วยว่าปลูกที่ไหน เท่าไหร่ กี่ต้น ซึ่งภาครัฐจะต้องมีวิธีตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริง

ส่วนเรื่องการกำหนดปริมาณการปลูกในครัวเรือนนั้น นายอนุทินกล่าวว่า อยู่ในร่าง พ.ร.บ. แต่ยังต้องมีการแปรญัตติ ฟังวุฒิสมาชิก สภาผู้แทนราษฎร และมีวาระ 1 2 และ 3 อีก ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) ที่เป็นคนร่างหรือแกนของเรื่องก็ต้องมารับฟังความเห็น ทั้งผู้ปฏิบัติ กรรมาธิการต่างๆ

...ดังนั้น ประชาชนคงต้องติดตามกันต่อไปจนกว่ากฎหมายจะผ่านและมีผลบังคับใช้จริง...




กำลังโหลดความคิดเห็น