ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ชื่อเสียงของ “ท้าวเวสสุวรรณ” หรือ “ท้าวกุเวร” เป็นที่รู้จักมาช้านาน คนไทยต่างให้ความเคารพบูชากันอย่างกว้างขวาง
“ท้าวเวสสุวรรณ” เป็นหนึ่งในสี่ของ “จตุโลกบาล” สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นหัวหน้าเทพในระดับมหาราช ซึ่งทำหน้าที่รักษาทิศทั้ง 4 ในสวรรค์ชั้นแรกบนสวรรค์ทั้ง 7 ชั้น โดย “ท้าวเวสสุวรรณ” เป็นเทพประจำทิศเหนือ หรือเป็นผู้ปกครองโลกด้านทิศเหนือ คอยผู้ปกปักรักษาดูแลโลกมนุษย์
แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้โมงยามนี้ “ท้าวเวสสุวรรณ” กลายเป็นเทพที่มาแรงสุดๆ ในประเทศไทย ก็เพราะเป็นมหาเทพแห่งความมั่งคั่งร่ำรวย คอยรักษาสมบัติของเทวโลก เป็นเจ้าแห่งยักษ์เจ้าแห่งภูตผีปีศาจ มีอำนาจปกครองดูแลยักษ์และภูตผีปีศาจทั้งหลาย จึงมีความเชื่อกันว่าการบูชา “ท้าวเวสสุวรรณ” จะดลบันดาลโชคลาภเงินทองมั่งมี รวมทั้งปกปักรักษาจากสิ่งชั่วร้ายภยันตรายต่างๆ
และแน่นอนว่า ในห้วงที่คนไทยกำลังเผชิญความยากลำบากจากการดำรงชีวิต ขาดที่พึ่งทางใจและจำต้องหันหน้าไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ ผู้คนจึงพากันเดินทางไปกราบไหว้บูชาและขอพร “ท้าวเวสสุวรรณ” ที่ประดิษฐานอยู่ตามวัดดังต่างๆ กันอย่างเนื่องแน่น จนอาจใช้คำว่า “ฟีเวอร์” ไม่แพ้ “จุตคามรามเทพ” หรือ “ไอ้ไข่” เลยก็ว่าได้
กล่าวสำหรับวัดที่มี “ท้าวเวสสุวรรณ” ประดิษฐานและดังที่สุดในเวลานี้ เห็นทีจะหนีไม่พ้น “วัดจุฬามณี อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม" ซึ่งทางประชาสัมพันธ์ของทางวัดจุฬามณี เปิดเผยว่า ทุกๆ วัน จะมีพุทธศาสนิกชนเรือนหมื่นหลั่งไหลกันมาไหว้ โดยในวันธรรมาดาจะมีนักท่องเที่ยวแห่มากราบไหว้พระขอพรไม่ต่ำกว่า 10,000 คน ส่วนเสาร์ - อาทิตย์ เพิ่มขึ้น 20,000 - 30,000 คน
และเนื่องจากมีประชาชนไหลทะลักมากราบไหว้ “ท้าวเวสสุวรรณ” จำนวนมากส่งผลให้การจราจรบริเวณรอบวัดติดขัดจนถูกประชาชนในพื้นที่ร้องเรียน ทางวัดจึงซื้อที่ดินข้างวัด 23 ไร่ มูลค่า 130 ล้านบาท สร้างที่จอดรถกว่า 600 คัน และปิดปรับปรุงระหว่างวันที่ 12-26 มกราคม 65 รวมเป็นระยะ 15 วัน ซึ่งทันทีที่วัดจุฬามณีเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาเข้าสักการะบูชาอีกครั้งในวันที่ 27 มกราคม 2565 ผู้คนจำนวนมหาศาลแห่ไปกราบไหว้ขอพรกันอย่างเนื่องแน่นเช่นเดิม
ทั้งนี้ ท้าวเวสสุวรรณของที่วัดจุฬามณีนั้นจะแตกต่างออกไปจากวัดอื่น เพราะจะมีอยู่ด้วยกันถึง 4 ปาง ดังนี้ ปางพรหมาสูติเทพ องค์สีทอง และสวมใส่ภูษาสีทองเช่นกัน ให้พรแก่ผู้ที่มาขอในเรื่องโชคลาภเงินทอง, ปางเทพบุตรสูติเทพ องค์สีทอง สวมใส่ภูษาสีแดง ให้พรในเรื่องความรัก คู่ครองความปรารถนาต่าง ๆ, ปางจาตุมหาราช องค์สีเขียวออกดำ สวมใส่ภูษาสีเขียว ช่วยคุ้มครองสิ่งชั่วร้าย และปางมนุษย์ ให้พรในเรื่องการดำเนินชีวิตที่ราบรื่น ทำสิ่งใดก็ไม่มีอุปสรรค
ที่เนื่องแน่นไม่น้อยไปกว่ากันคือ “ท้าวเวสสุวรรณ วัดเถรพลาย อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี” ซึ่งประดิษฐานท้าวเวสสุวรรณ 2 องค์ ที่อยู่หน้าเจดีย์เก่าสมัยกรุงศรีอยุธยา ไฮไลท์อยู่ที่ท้าวเวสสุวรรณองค์ขวา ในมือถือ “กระดานชนวน” เรียกกันว่า “ปางสางบัญชี” ซึ่งชาวบ้านขนานนามว่า “ท้าวปลดหนี้” มีความเชื่อว่ากราบไหว้บูชาจะช่วยเรื่องหนี้สิน ขจัดสิ่งไม่ดี และหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้า
หรือที่ได้รับความนิยมไม่น้อยไปกว่ากัน คือ “วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร” จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ “ท้าวเวสสุวรรณ” สุดอันซีนหนึ่งเดียวในไทยข้างองค์พระพุทธชินราช หล่อด้วยสำริดลงรักปิดทองเหลืองอร่าม ในท่าปางประทับนั่ง ถือ คทาวุทธัง (กระบองวิเศษ เป็นอาวุธ) สถิตถวายการอภิบาลอยู่ที่ฐานชุกชีรัตนบัลลังก์ ข้างพระชานุ (เข่า) ด้านซ้ายขององค์พระพุทธชินราช ซึ่งทางวัดใหญ่ระบุว่าสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา
ดร. บุญยิ่ง คงอาชาภัทร หัวหน้าสาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) กล่าวว่า เมื่อโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะด้านใด ๆ ก็ตาม โดยธรรมชาติของมนุษย์ก็จะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตให้สอดคล้องไปกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นเพื่อความอยู่รอด
และปฏิเสธไม่ได้ว่าการหันไปพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตลอดจนความเชื่อเรื่องโชคลาง เป็นการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดอย่างหนึ่งของมนุษย์
อ้างอิงงานวิจัยการตลาด “Marketing in the Uncertain World การตลาดของคนอยู่เป็น” ระบุว่าหลากหลายปัจจัยที่ทำให้คนไทยเกิดความกังวลและรับรู้ถึงความไม่แน่นอน ซึ่งจากความกังวลและความไม่แน่นอนดังกล่าว ทำให้คนไทยต้องหาวิธีจัดการกับความรู้สึกซึ่งพบว่าคนไทยหันหน้าพึ่งความเชื่อโชคลาง (Superstitious) ซึ่ง 5 อันดับความเชื่อโชคลางที่มีผลต่อคนไทยมากที่สุดคือ 1.พยากรณ์ โหราศาสตร์ ลายมือ ไพ่ยิปซี 2.พระเครื่องวัตถุมงคล 3.สีมงคล 4.ตัวเลขมงคล และ 5.เรื่องเหนือธรรมชาติ
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยการที่ผู้คนแห่กราบไหว้ขอพร “ท้าวเวสสุวรรณ” กันอย่างท่วมท้นในวันนี้ เทียบเคียงได้กับ “ปรากฏการณ์ไอ้ไข่” ซึ่งครั้งหนึ่งคลื่นศรัทธาของประชาชนเรือนหมื่นหลั่งไหลสู่ วัดเจดีย์ ต.ฉลอง อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช เพื่อกราบไหว้บูชาขอพรขอโชคลาภ เป็นภาพสะท้อนสภาวะเปราะบางทางจิตใจของสังคมไทย ผู้คนขาดความมั่นคงในชีวิต ขาดที่พึ่งที่ยึดเหนี่ยวทางใจ จนต้องหันหน้าไปพึ่งพาความเชื่อ ยิ่งพุทธคุณของกุมารไอ้ไข่ตอบโจทย์เรื่องโชคลาภเงินทอง ยิ่งกระตุ้นศรัทธางมงายให้คนหันมาบูชาผี หวังลมๆ แล้งๆ ให้ตนหลุดพ้นจากความยากจน
อย่างไรก็ดี ผู้ยังคงแสวงหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยึดเหนียวทางจิตใจ และวันนี้พลังอำนาจบารมีของ “ท้าวเวสสุวรรณ” กำลังปลุกความหวังของประชาชน “ท้าวเวสสุวรรณ” ซึ่งมีนัยเป็นพญายักษ์แห่งความมั่งคั่งร่ำรวย คอยรักษาสมบัติของเทวโลก เป็นเจ้าแห่งยักษ์และภูตผีปีศาจทั้งปวง กับชุดความเชื่อ กราบไหวบูชาจะมีมั่งมีเงินทอง มีโชคมีลาภร่ำรวย แคล้วคลาดภยันตรายต่างๆ จึงไม่แปลกที่คนไทยจำนวนมาก ฝ่าโควิด-19 เดินทางไปกราบไหว้ “ท้าวเวสสุวรรณ”
สำหรับกระแสศรัทธา “ท้าวเวสสุวรรณ” การที่ประชาชนเรือนหมื่นหลั่งไหลกราบไหว้ตามวัดต่างๆ เป็นปรากฎการณ์ทางสังคมที่ต้องจับตามอง เพราะสะท้อนถึงความทุกยากข์ความสิ้นหวังของประชาชน ที่มีต่อ “รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ฉะนั้น เมื่อพึ่งรัฐบาลไม่ได้ ก็ต้องหันหน้าพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แทน