ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จัทร์โอชา ลดงบประมาณด้านสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อ “ผู้พิทักษ์ป่า” ทำให้ทางกรมอุทยานฯ ต้องเลิกจ้างเจ้าหน้าที่ 1,731 คน คิดเป็น 33% ซึ่งบางส่วนยอมให้ปรับลดเงินเดือนลง 25% เพื่อแลกกับการไม่ถูกเลิกจ้าง และยังมีบางส่วนถอดใจทะยอยลาออก ส่งสัญญาณวิกฤตต่อสัตว์ป่าและป่าไม้ ด้วยกำลังคนน้อยลง อาจเปิดช่องให้เกิดการลอบตัดไม้-ล่าสัตว์มากขึ้น
ปีงบประมาณ 2565 กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถูกหั่นงบประมาณ เหลือเพียง 8,534 ล้านบาท จากเดิมในปี 2564 ได้งบประมาณ 16,143 ล้านบาท หรือลดลงกว่า 47% ประกอบกับการจัดเก็บเงินรายได้อุทยานแห่งชาติจำนวน 155 แห่ง จากค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ ในปี 2564 นั้นลดลงกว่า 975 ล้านบาท มีเงินรายได้จากค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ จำนวน 390,862,987 ล้านบาท ลดลงจากปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่จัดเก็บเงินรายได้รวมกว่า 1,366,711,004 ล้านบาท
การปรับลดงบประมาณในส่วนนี้ ส่งผลกระทบต่อกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ต่อการจัดจ้าง “พนักงานพิทักษ์ป่า” (พนักงานจ้างเหมา) ในการดูแลและคุ้มครองผืนป่าและสัตว์ป่าในพื้นที่อนุรักษ์โดยตรง
ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ทางทะเล วิพากษ์ถึงประเด็นดังกล่าวว่า กรมอุทยานฯ มีงบประมาณ 2 ส่วนหลักคือ “เงินงบประมาณและเงินรายได้” โดยสมัยก่อนพึ่งเงินงบเป็นหลัก เพราะยังอยู่ในยุคสีเทา เงินรายได้มีน้อย แต่หลังจากเกิดกรณีทวงคืนเงินอุทยาน ส่งผลทำรายได้พุ่งพรวด บางปีเกือบ 3 พันล้าน ซึ่งเมื่อมีรายได้เพิ่ม สำนักงบฯ จึงตัดเงินงบประมาณลง เพื่อให้อุทยานฯ ไปใช้เงินรายได้ในการจ้างบุคลากร ฯลฯ แทน ซึ่งก็เคยเตือนและตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า มีความเสี่ยง เพราะระบบไปพึ่งกับเงินรายได้มากไป และเรื่องงบประมาณก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกรมอุทยานฯ เพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ดี ในช่วงนั้นยังไม่มีปัญหา เพราะนักท่องเที่ยวมีปริมาณมาก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เสียค่าเข้าอุทยานสูงกว่าคนไทยหลายเท่า ทำให้สามารถบริหารจัดการได้ราบรื่น
ทว่า หลังเกิดการแพร่ระบาดของโควิด- 19 ทุกอย่างก็เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวต่างชาติที่หายไปจากประเทศไทยจากมาตรการปิดประเทศ
นายดำรัส โพธิ์ประสิทธิ์ ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ กรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช เปิดเผยถึงมาตรการปรับลดจำนวนเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ของกรมอุทยานแห่งชาติฯ ว่า ให้แต่ละอุทยานฯ ไปพิจารณา 2 ทางเลือกคือ “ปรับคนออก” และ “ปรับลดเงินลง” ซึ่งส่วนใหญ่ 80 % เลือกวิธีลดเงินเดือนลง เพราะไม่อยากให้ตกงานทันที มีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดู เพื่อประคับประคองจึงขอปรับลดเงินเดือนลง แต่ปีนี้บางคนที่อยู่ต้องยอมลดเงินเดือนลงจากเฉลี่ย 9,000 บาท เหลือเพียงเดือนละ 7,500 บาท
“ปีงบประมาณ 2565 กรมอุทยานฯ ถูกปรับลดงบภาพรวมลงไปเฉลี่ย 900 ล้านบาท มีการปรับลดงบประมาณต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา และหนักที่สุดคือปี 2565 เทียบปี 2564 อัตราจ้างพนักงานพิทักษ์ป่า 5,163 คน ล่าสุด ถูกตัดเหลือ 3,432 คน หายไป 1,731 คนคิดเป็นอัตรา 33 % แต่ไม่ได้ลดทั้งหมด กรมฯ นำเงินรายได้ค่าธรรมเนียมมาสนับสนุนปีละกว่า 200 ล้านบาท เหมือนเป็นเงินประคอง ทำให้เจ้าหน้าที่ถูกให้ออกบางส่วน แต่ถูกส่วนหนึ่งยังอยู่ด้วยกัน มีเบี้ยเลี้ยงจากการเดินป่าชั่วโมงละ 50 บาท หรือเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 2,000 บาท ช่วยประคับประคอง ผู้พิทักษ์ป่าทุกคนมีจิตใจที่มุ่งมั่นในการทำงาน คือผู้ปิดทองหลัง เดินอยู่ในป่ากินนอนในป่าปกป้องทรัพยากรของไทย”
จากการปรับลดกำลังคนน่าเป็นห่วงเรื่องพื้นที่การลักลอบตัดไม้และล่าสัตว์ป่ามากขึ้น ต้องติดตามว่าจะส่งผลกับคดีป่าไม้-สัตว์ป่าเพิ่มขึ้นหรือไม่ ทั้งนี้ มีข้อสั่งการให้สั่งแกนพื้นที่เสี่ยงโดยเฉพาะอุทยานแห่งชาติในภาคเหนือ ภาคอีสาน และโซนป่าตะวันตก ที่มีกลุ่มไม้มีค่า ทั้งอีสาน ภาคเหนือ ตะวันตก ที่มีคดีสัตว์ป่า รวมทั้ง อาจต้องโยกคนในกลุ่มงานบริการท่องเที่ยวไปเสริมทัพแทน
และแน่นอนว่า นอกจากรัฐบาลแล้ว บุคคลที่ตกเป็นเป้าย่อมหนีไม่พ้น นายวราวุธ ศิลปอาชา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เพราะไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้ โดยถูกตั้งคำถามว่า เหตุใดจึงปล่อยให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น
นายวราวุธชี้แจงถึงแนวทางการแก้ไขว่า แม้จะเข้าใจสาเหตุความจำเป็นที่สำนักงบประมาณตัด แต่ภารกิจของ ทส. มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อความยั่งยืนของประเทศไทย โดยเตรียมของบกลาง และเสนอเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เป็นวงเงิน 251 ล้านบาท เพื่อจัดจ้างเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ทั้ง 4,000 นาย ตั้งแต่เดือน มีนาคม-กันยายน 2565
และที่ไม่สามารถเริ่มเดือนกุมภาพันธ์ได้ เนื่องจากยังต้องมีขั้นตอนของการจัดซื้อจัดจ้าง ทำสัญญา จัดเบิกงบประมาณ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 เดือน รวมทั้งเป็นที่น่าเสียดายว่าทางกระทรวงทส. ไม่สามารถขอตกเบิกย้อนหลังกลับไปถึงเดือนตุลาคม ปี 2564ได้
“ทุกปีที่ผ่านมากระทรวงทส.ได้ของบประมาณแบบปีต่อปี ทุกครั้ง เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ไม่ได้ถูกจ้างเป็นพนักงานราชการ หรือข้าราชการประจำ จึงต้องต่อสัญญาแบบปีต่อปี คงต้องขอฝากไปยังสำนักงบประมาณและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่าขอความกรุณา งบประมาณส่วนนี้ 251 ล้านบาท เป็นงบประมาณสำหรับ 7 เดือน หากเพิ่มอีก 5 เดือน ให้ครบ 1 ปี ก็เพิ่มมาไม่มาก เบ็ดเสร็จแล้วในการจ้างเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า 4,000 คน ปีละ 500-600 ล้านบาท ในการให้ดูแลป่าทั่วประเทศ ขอความกรุณาและขอความเห็นใจว่าอย่าปรับงบฯ ในปีต่อๆ ไปเลย เพราะเจ้าหน้าที่เหล่านี้ทำงานด้วยการใช้ใจ ทุ่มเทเป็นอย่างยิ่ง อย่าให้เขาต้องมากังวลว่า ปีหน้าจะได้รับการต่อสัญญาหรือไม่ เค้าจะได้ทำหน้าที่พิทักษ์ป่าได้อย่างเต็มที่ ซึ่งความวิตกกังวลของเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์ป่าปีต่อปีแบบนี้ คือประเด็นสำคัญที่กระทรวงทส.มี เพราะเราต้องทำของบประมาณอย่างนี้ทุกปี”
“อย่างไรก็ตามนายกรัฐมนตรี ได้ทราบถึงปัญหาดังกล่าวนี้แล้ว และเมื่อทราบก็ได้เร่งอนุมัติงบกลางมาให้ และเมื่อตนชี้แจงรายละเอียดให้นายกรัฐมนตรีทราบ นายกฯก็บอกให้รีบเสนอเรื่องเข้ามา นายกฯให้ความเป็นห่วงเรื่องดังกล่าวอยู่เช่นกัน”นายวราวุธกล่าว
ส่วนข้อเรียกร้องให้ทำเป็นงบประจำหรืองบผูกพัน เพื่อไม่ให้ผู้พิทักษ์ป่าเหล่านั้นเกิดความกังวลแบบปีต่อปี รมว.ทส.อธิบายว่า กำลังหาวิธี โดยหารือกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ ว่าจะทำอย่างไรให้แก้ปัญหาตรงนี้ได้บ้างอยู่ เพราะเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าเหล่านี้แต่ละปีมีการหมุนเวียนเข้าออกเป็นระยะ
กล่าวสำหรับ “ผู้พิทักษ์ป่า” เป็นบุคลากรสำคัญของการดูแลปกป้องทรัพยากรธรรมชาติจากการใช้ระบบการลาดตระเวนเชิงคุณภาพ (SMART Patrol) ที่ต้องใช้บุคลากรในการเดินลาดตระเวน โดยจะใช้เวลาอยู่ในป่าเดือนละ 15 - 20 วัน เพื่อป้องปรามผู้กระทำผิดจากการตัดไม้ หรือลักลอบล่าสัตว์ป่า พร้อมเก็บข้อมูลเชิงนิเวศ เพื่อนำไปสู่การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่
และถึงแม้ “ผู้พิทักษ์ป่า” จะมีรายได้เพียงน้อยนิด แต่พวกเขาเหล่านี้ต่างปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละอย่างแท้จริง เพื่อต้องการปกปักรักษาสัตว์ป่าและผืนป่าเมืองไทย เป็นงาน “ปิดทองหลังพระ” ที่ทำให้ประเทศไทยมีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์
รายงานกองทุนเพื่อผู้พิทักษ์ป่า มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุว่า ประเทศไทยมีเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าประมาณ 14,700 คน ดูแลพื้นที่ป่ากว่า 102,484,072.71 ไร่ คิดเป็นร้อยละ 31.68 ของประเทศ โดยในปี 2564 พบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ รวม 26 คน บางรายเสียชีวิตจากการปะทะกับพรานล่าสัตว์ บางรายเสียชีวิตจากอุบัติเหตุสัตว์ป่าทำร้าย บางรายเสียชีวิตด้วยโรคภัยระหว่างเดินลาดตระเวน
ข้อมูลจากมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ระบุว่า ค่าแรงขั้นต่ำถูกกำหนดไว้ที่ 320 บาทต่อวัน แต่เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ากลับได้รับค่าตอบแทนเพียงเดือนละ 6-7 พันบาทเท่านั้น และไม่มีสวัสดิการต่าง ๆ หากนำมาหาร 25 วันทำงาน (ตัดวันหยุดเสาร์อาทิตย์ออกไป) จะตกวันละ 240 - 280 บาทเท่านั้น ขนาดพนักงานประจำยังต้องมีโบนัสเพื่อสร้างแรงจูงใจในการทำงาน แต่สำหรับเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า เงินเดือนเท่านี้ จะเอากำลังใจที่ไหนมาปกป้องป่า
เจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่า ส่วนใหญ่เป็นพนักงานจ้างเหมาของอุทยานแห่งชาติ หรือ TOR งบประมาณสำหรับจ่ายค่าตอบแทนส่วนใหญ่มาจากรายได้หลักจากการเก็บค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ แต่ในปี 2564 นั้นรายได้ลดลงกว่า 975 ล้านบาท เนื่องจากสถานการณ์โควิด ทำให้ส่งผลกระทบต่อการจัดจ้างพนักงานพิทักษ์ป่า (พนักงานจ้างเหมา) ในการดูแลและคุ้มครองผืนป่าและสัตว์ป่า ในพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งอาจถูกเลิกจ้างสูงสุดถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในช่วง 10 ปี ที่ผ่านมา เงินเดือนและสวัสดิการต่างๆ แทบไม่ได้ต่างจากเดิม
ถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐต้องตระหนักและให้ความสำคัญกับ “ผู้พิทักษ์ป่า” ซึ่งเป็นกำลังหลักในการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ เพราะจะว่าไปก็มิได้มีเม็ดเงินมากสักเท่าไหร่ หากเทียบกับภารกิจและหน้าที่ของพวกเขา ที่สำคัญคือ ประชาชนเห็นตรงกันว่า ทุกวันนี้รัฐบาลจัดสรรงบไปทำ “เรื่องไม่จำเป็น” ให้เห็นอยู่เป็นจำนวนมาก.