ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - จับตานโยบาย “กัญชาเสรี” ความไม่ชัดเจนการตีความระหว่าง “สารเสพติด” หรือ “ยาสมุนไพร” ความไม่ลงรอยระหว่าง “ฝ่ายการเมือง” และ “ฝ่ายปราบปราม” ที่มีชีวิตประชาชนเป็นเดิมพัน รวมทั้งการผลักดันกัญชาอย่างเต็มสูบของพรรคภูมิใจไทย จะทำได้จริงตามที่หาเสียงไว้หรือไม่?
ความคิดต่างขั้วระหว่าง “ฝ่ายการเมือง” กลุ่มผลักดันนโยบายกัญชา ที่ประกาศว่า “ปลูกกัญชา ไม่ผิดกฎหมาย” หลังจากมีการ “ปลดกัญชาออกจากบัญชียาเสพติด” ซึ่งผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ธ.ค. 2564 หลังจาก ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564
“ประมวลกฎหมายยาเสพติด ปลดกัญชาจากประเภท 5 ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 29 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ที่ระบุว่ากัญชาเป็นยาเสพติด ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว ท่านสามารถปลูกและใช้ประโยชน์จากกัญชาได้ หากท่านถูกดำเนินคดี ทางพรรคภูมิใจไทยยินดีส่งทนายความไปช่วย ดูแลในคดีให้กับท่าน” นายศุภชัย ใจสมุทร ส.ส.บัญชีรายชื่อ นายทะเบียนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) และรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด รัฐสภา เป็นผู้ออกมาเปิดประเด็นร้อน โดยกล่าวว่าประชาชนสามารถปลูกกัญชาได้แล้วอย่างถูกกฎหมาย
ตามด้วยเสียงตอบโต้จาก “ฝ่ายปราบปราม” ในทันที โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ยืนกรานชัดเจนว่า “ปลูกกัญชาโดยไม่ได้รับอนุญาต ผิดกฎหมาย” เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุข
นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (เลขาธิการ ป.ป.ส.) ในฐานะโฆษก สำนักงาน ป.ป.ส. ระบุว่าหลังจากประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2564 ซึ่งในหมวดประเภทของยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ ไม่มีชื่อ “กัญชา” อยู่ในยาเสพติดประเภท 5 ว่า ประเภท 5 ยาเสพติดให้โทษที่มิได้เข้าอยู่ในประเภท 1 ถึงประเภท 4 เช่น พืชฝิ่น
แม้ว่าประมวลกฎหมายยาเสพติดใหม่ จะไม่มีชื่อ “กัญชา” อยู่ในยาเสพติดประเภท 5 แต่ประมวลกฎหมายยาเสพติดฯ ใหม่นั้น ได้ประกาศไว้ถึงการระบุชื่อยาเสพติดให้โทษว่า ยาเสพติดให้โทษชื่อใดอยู่ในประเภทใด ให้เป็นไปตามกระทรวงสาธารณสุข โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการ ป.ป.ส. ประกาศกำหนด
ดังนั้น หากปลูกกัญชาโดยที่ไม่ได้รับอนุญาต เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เพราะกัญชายังเป็นยาเสพติดประเภท 5 แม้จะปลดล็อกในบางส่วนของพืชกัญชาเช่น เปลือก เส้นใย ใบ รวมถึง สาร CBD แต่มีข้อแม้ว่าส่วนประกอบดังกล่าวต้องมีที่มาจากแหล่งผลิตที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น
หากผู้ใดผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษ ในประเภท 5 อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 93 ของพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 500,000 บาท ถ้าเป็นการกระทำเพื่อการค้า ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปีถึง 15 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 1,500,000 บาท
การตีความที่แตกต่างของ “ฝ่ายการเมือง” และ “ฝ่ายปราบปราม” สร้างความสับสนในสังคมไทย กลายเป็นว่าใครเชื่อน้ำคำนักการเมือง ปลูกกัญชาเองที่บ้าน อาจถูกจับกุมมีความผิดตามกฎหมาย เพราะการปลูกกัญชาถูกกฎหมาย ณ วันนี้ ต้องดำเนินการเป็นลักษณะร่วมกับหน่วยงานรัฐ หรือวิสาหกิจชุมชน และต้องจดแจ้งขออนุญาต ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่ หรือ อย. ในท้องที่
อย่างไรก็ดี ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ซึ่งมีผลบังคับใช้ เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 2564 ในประมวลฯ ไม่ได้ระบุชื่อ “กัญชา” และ “กัญชง” ในยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 แต่ขั้นตอนการปลดล็อก “กัญชา-กัญชง” ออกจากรายชื่อยาเสพติดให้โทษ ยังต้องรอความชัดเจน ซึ่งอยู่ระหว่างดำเนินการตามขั้นตอน
โดย นพ.วิทิต สฤษฎีชัยกุล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยในประเด็นการปลดล็อกกัญชา-กัญชง ออกจากรายชื่อเสพติดให้โทษ ขั้นตอนแรก คือ การระบุชื่อยาเสพติดให้โทษ ที่เป็นกฎหมายระดับรอง โดยจะออกเป็นลักษณะของประกาศกระทรวงสาธารณสุข ภายใต้ ประมวลกฎหมายยาเสพติด
ซึ่งมติที่ประชุมคณะอนุกรรมการกลั่นกรองการระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ที่มี นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการ อย.ฯ เป็นประธาน เห็นชอบให้ควบคุมสารสกัดจากทุกส่วนของกัญชา และกัญชง โดยเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. .... ซึ่งกำหนดให้การระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 คือ สารสกัดจากพืชกัญชา กัญชง ที่เป็นพืชในตระกูลแคนนาบิส (Cannabis) ยังเป็นยาเสพติดให้โทษ ยกเว้นที่ไม่เป็นยาเสพติดให้โทษ คือ ก.สารสกัดจากพืชกัญชา กัญชง เฉพาะที่ได้จากการอนุญาตปลูกในประเทศ ในทุกส่วนที่มีปริมาณสาร THC ไม่เกิน 0.2% โดยน้ำหนัก และ ข. สารสกัดจากเมล็ดกัญชา กัญชง ที่ได้จากการปลูกในประเทศเช่นกัน
และขั้นตอนต่อมา จะดำเนินการเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ที่มี “นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต” ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานฯ หลังจากนั้นกระทรวงสาธารณสุขจะเสนอ (ร่าง) ประกาศดังกล่าวต่อ “คณะกรรมการ ป.ป.ส.” ที่มี “นายวิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฯ เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบตามมาตรา 29 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด
หากผ่านความเห็นชอบจาก “คณะกรรมการ ป.ป.ส.” จึงจะเสนอต่อ “นายอนุทิน ชาญวีรกูล” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มีอำนาจตามประมวลยาเสพติด เห็นชอบเพื่อลงนามประกาศใช้ต่อไป
กล่าวคือ คณะกรรมการ ป.ป.ส. จะเป็นผู้กำหนดทิศทางของนโยบายกัญชา แต่สำหรับตอนนี้อยู่ระหว่างพิจารณา ซึ่งทาง นายวิษณุ เครืองาม ในฐานะประธานฯ คณะกรรมการ ป.ป.ส.
ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ที่ประชุมคณะกรรมการควบคุมยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 มีมติเห็นชอบ (ร่าง) ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 พ.ศ. … โดยปลดล็อกกัญชา-กัญชงออกจากบัญชีรายชื่อยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 (ยส.5) เตรียมส่งไม้ต่อ “คณะกรรมการ ป.ป.ส.” พิจารณาแล้ว
นายอนุทิน รมว. สธ. เปิดเผยว่ามติค่อนข้างเป็นเอกฉันท์ที่ประชุมผ่านร่างประกาศระบุชื่อยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ถือเป็นการปลดล็อกกัญชา เพื่อสนองนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ที่ประกาศต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในการพัฒนาพืชกัญชา กัญชง เพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ และสุขภาพ ตลอดจนพัฒนาเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์สำหรับการเสริมสร้างรายได้ของประชาชน และนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สินค้า อุตสาหกรรมต่างๆ ขึ้นมา
หลังจากนี้การพิจารณาขึ้นอยู่กับ ป.ป.ส. ฝากว่าขอให้คำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนประโยชน์ของบ้านเมือง อย่าคำนึงถึงอำนาจตัวเองที่เคยมีว่าจะสูญหายไป ซึ่งจะทำให้เกิดความสูญเสียในการบังคับใช้กฎหมาย เพราะวันนี้กัญชาเป็นพืชที่มีประโยชน์
ทั้งนี้ ตามข้อมูล อย. ได้ออกใบอนุญาตแล้ว ทั้งหมด 2,782 รายการ ใบอนุญาตเฉพาะการปลูก 342 รายการ คิดเป็นพื้นที่ขอปลูก 87,716 ตารางเมตร จำนวน 197,811 ต้น โดย จ.บุรีรัมย์ มีจำนวนใบอนุญาตมากที่สุด 32 รายการ รวมพื้นที่ขอปลูก 13,447 ตารางเมตร จำนวน 39,355 ต้น (ข้อมูล ณ วันที่ 17 ธ.ค. 2564)
โดยมีการศึกษาวิจัยเรื่อง “การถอดบทเรียนการปลูกกัญชาทางการแพทย์ของวิสาหกิจชุมชน กรณีศึกษาบ้านโนนมาลัย” ใน อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ ซึ่งปลูกกัญชาครัวเรือนละ 6 ต้น โดย ภก.ชัยสิทธิ์ สุนทรา เภสัชกรชำนาญการ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์อุบลราชธานี พบว่า การปลูกกัญชา 6 ต้น นั้น สามารถสร้างผลกำไร ให้แก่เกษตรกรได้ตั้งแต่รอบแรกของการปลูก โดยมีในช่วงระยะเวลา 8 เดือน พบว่าในภาพรวม 7 แปลงปลูกกัญชา มีต้นทุนคงที่ 80,201 บาท ต้นทุนผันแปร 37,931 บาท รวมต้นทุนทั้งหมด 118,132 บาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว สามารถสร้างรายได้สุทธิ 148,285 บาท ชัดเจนว่าการปลูกกัญชาสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ และหากชาวบ้านทั่วไปสามารถปลูกได้อย่างถูกกฎหมายรายได้จะกระจายสู่ชุมชน
สุดท้ายเรื่องการปลูกกัญชาอย่างถูกกฎหมาย เป็นประเด็นต้องติดตามแบบห้ามกระพริบตา เพราะหาก “คณะกรรมการ ป.ป.ส เห็นชอบ” หมายความว่าคนไทยจะสามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรอย่างเสรี พึ่งพาตัวเองได้ สามารถใช้สมุนไพรในการบำบัดรักษาในครัวเรือน และทุกคนจะเข้าถึงพืชเศรษฐกิจอย่างกัญชาอย่างเท่าเทียม ส่วนบทสรุปเกี่ยวกับนโยบายปลูกกัญชาทั้งหมดยังคงต้องรอความชัดเจน