xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

พยัคฆ์ตัดพยัคฆ์ “กบฏผู้กอง” แค่บังหน้า “เสือป้อม” เดินเหนือเมฆ บีบ “เสือตู่” เข้าตาจน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ – สะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งกระดานการเมืองไทย

ผลพวงจากความพ่ายแพ้เลือกตั้งซ่อมทั้ง 2 เขตที่ จ.สงขลา และชุมพร นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญภายใน “พรรคพลังประชารัฐ(พปชร.)”

ตามที่ที่ประชุมร่วมกรรมการบริหารพรรค และ ส.ส. เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2565 ที่มี “หัวหน้าป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นประธาน มีมติขับ “ผู้กองธรรมนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรค พร้อมพวกรวม 21 ส.ส.ออกจากพรรคพลังประชารัฐ ด้วยข้อหา “สร้างความขัดแย้งภายในพรรค”

โดยรายชื่อ ส.ส.21 คน ที่ถูกขับออกจากพรรค ประกอบด้วย 1.ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา, 2.บุญสิงห์ วรินทร์รักษ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ, 3.ไผ่ ลิกข์ ส.ส.กำแพงเพชร, 4.จีรเดช ศรีวิลาส ส.ส.พะเยา, 5.ปัญญา จินาคำ ส.ส.แม่ฮ่องสอน, 6.วัฒนา สิทธิวัง ส.ส.ลำปาง, 7.ธนัสถ์ ทวีเกื้อกูลกิจ ส.ส.ตาก, 8.ภาคภูมิ บุญประมุข ส.ส.ตาก, 9.พรชัย อินทร์สุข ส.ส.พิจิตร, 10.เอกราช ช่างเหลา ส.ส.บัญชีรายชื่อ

11.นายวัฒนา ช่างเหลา ส.ส.ขอนแก่น, 12.สมศักดิ์ คุณเงิน ส.ส.ขอนแก่น, 13.เกษม ศุภรานนท์ ส.ส.นครราชสีมา, 14.สมศักด์ พันธ์เกษม ส.ส.นครราชสีมา, 15.ทัศนาพร เกษเมธีการุณ ส.ส.นครราชสีมา, 16.สะถิระ เผือกประพันธุ์ ส.ส.ชลบุรี, 17.ณัฐพงษ์ จรัสพีพงษ์ ส.ส.สุรินทร์, 18.จอมขวัญ กลับบ้านเกาะ ส.ส.สมุทรสาคร, 19.ยุทธนา โพธสุธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ, 20.พล.ต.ต.ยงยุทธ เทพจำนงค์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ 21.ธนะสิทธิ์ โควสุรัตน์ ส.ส.อุบลราชธานี

มองผิวเผินอาจ “เข้าใจผิด” ว่าเกมนี้เป็นชัยชนะของ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ขจัด “กบฎผู้กอง” ที่เป็นเสี้ยนหนามตำใจ ออกจากพรรคพลังประชารัฐได้สำเร็จ

แต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะทั้งหลายทั้งปวง เป็นหมากที่ “ฝ่ายผู้กอง” วางไว้ทั้งหมด

ถึงขั้นว่า ข้อหา “สร้างความขัดแย้งภายในพรรค” ที่เป็นเหตุให้ถูกขับออกจากพรรคนั้น “ธรรมนัส” เป็นผู้ยัดข้อหาให้ตัวเองด้วยซ้ำ

ยิ่งท่าทีของ “ธรรมนัส” ที่ดูจะไม่ได้เดือดร้อนอะไรกับชะตากรรมที่ถูกขับออกจากพรรค ตามที่โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กความว่า

“ผมขอกราบขอบพระคุณทุกกำลังใจและความห่วงใยจากพ่อแม่พี่น้องประชาชนรวมถึงสมาชิกพรรคพลังประชารัฐทุกท่าน
ผมในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรยังคงมุ่งมั่นตั้งใจที่จะเดินหน้าทำงานเพื่อพ่อแม่พี่น้องประชาชน

เพื่อพัฒนาประเทศชาติต่อไปอย่างที่ผมตั้งใจไว้ และสัญญากับประชาชนทุกคนไว้ตลอดมาครับ”

ท้ายโพสต์ติดแฮชแท็กด้วยว่า “#ไปอยู่พรรคไหนดีครับ”

ปมแตกหักคงหนีไม่พ้น กรณี “แชทหลุด” ที่ปรากฎชื่อ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ผู้ที่วันนี้ปวารณาตัวเป็น “สายตรงนายกฯ” เปิดประเด็นให้ทำ “โพลชี้นำ” ถึงสาเหตุความตกต่ำของพรรคพลังประชารัฐ ในกลุ่มไลน์ “ทีมโฆษกวิปรัฐ” ที่มีสมาชิกอยู่ 8 คน โดยมีสายตรงนยายกฯ อีกคนอย่าง “แรมโบ้” เสกสกล อัตถาวงศ์ กรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี เป็นลูกคู่สนับสนุนไอเดียอย่างออกหน้าออกตา

พร้อมล็อกเป้าว่า เพราะ “ธรรมนัส” เป็นเลขาธิการพรรคอยู่ หรือเพราะ “ธรรมนัส” ไม่มีคนยอมรับ

ไม่นาน “เสี่ยเฮ้ง” ก็ออกมาแอ่นอกยอมรับว่า ไลน์ที่พูดคุยกันนั้น เป็นไลน์ของตัวเองจริง แต่ไม่ใช่ความลับอะไร และบริสุทธิ์ใจเพื่อให้รู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์ของพรรคพลังประชารัฐ

ก่อนนั้น ก็เป็น “เสี่ยเฮ้ง” ในฐานะผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อม เขต 6 จ.สงขลา ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ให้สัมภาษณ์หลังปิดหีบ และรู้ผลว่าพรรคแพ้การเลือกตั้งซ่อม ในทำนอง “โยนขี้” ไปที่ “ผู้กองธรรมนัส” ที่ไปช่วยหาสเสียงในช่วงโค้งสุดท้ายว่า เป็นสาเหตุที่ทำให้พรรคต้องพ่ายแพ้ โดยเฉพาะคำปราศรัยที่ว่า “คนมีตังค์” ที่เหมือนส่งหอกไปให้ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปตย์ หยิบไปปั่นวาทกรรมโจมตี จนกระแสตีกลับมาไปทิ่มแทงพรรคพลังประชารัฐ

การที่สายตรง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกมาแอกชันกันอย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย ก็อ่านไม่ยากว่า ไม่ได้แค่หวังตีกินดิสเครดิต “ธรรมนัส” เท่านั้น

แต่หมุดหมายไปถึงการเปลี่ยนเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ

อันเป็นความปรารถนาของ “นายกฯ ตู่” ที่ “แค้นฝังหุ่น” กับ “ธรรมนัส” ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ “กบฎผู้กอง” ครั้งลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจต้นเดือนกันยายน 2564 จนเป็นเหตุให้ “ผู้กองจากเมืองเหนือ” ต้องหลุดจากเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์ แต่เป็น “พี่ป้อม” ที่กางปีกปกป้องจนอยู่รอดปลอดภัยมาถึงตอนนี้

การเสนอทำโพลของ “สุชาติ” จึงเป็นเพียง “หน้าฉาก” ของ “เกมโค่นผู้กอง” เท่านั้น เพราะ “หลังฉาก” มีความเคลื่อนไหวเช็กขุมกำลัง “ทีมผู้กอง” กับ “ทีมไม่เอาผู้กอง” ภายในพรรคพลังประชารัฐ เพื่อ “เขี่ย” ร.อ.ธรรมนัส ออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค

ฝ่าย “ผู้กองนัส” ก็ไม่ใช่ “หมูการเมือง” ที่จะยอมให้เชือดง่ายๆ ก็แก้เกมโดย “ก่อหวอด” ส.ส.ได้ถึง 21 คน และบลัฟกลับทันทีว่า พร้อม “กามิกาเซ่” ลาออกจากพรรค ที่จะส่งผลให้หลุดจาก ส.ส.ไปด้วย

โดยเชื่อว่าหากเสียง ส.ส.หายไป 20 เสียง รัฐบาลระส่ำระสาย ไปถึงขั้น “ยุบสภา” และต้องมีการเลือกตั้งใหม่อย่างแน่นอน


ถือว่าเหนือความคาดหมายจากที่ “ทีมลุงตู่” ที่ประเมินไว้ว่า หากไล่บี้ “ธรรมนัส” จนกระดาน เต็มที่เจ้าตัวคงลาออกไปพร้อม “เลือดแท้” ไม่กี่คน แต่นี่รวบรวมไพร่พลได้มากกว่า 20 ส.ส. ซึ่งส่งผลต่อ “เสียงข้างมาก” ในสภาผู้แทนราษฎร

ที่ขนาดยังไม่เกิดเรื่องก็ยังรักษาองค์ประชุมได้ยาก จนเกิดเหตุการณ์ “สภาล่ม” บ่อยครั้ง นำมาซึ่งสมญา “สภาอับปาง” ที่สื่อมวลชนประจำสภาฯ ประเคนให้เมื่อปีก่อน

แม้จะมีความพยายามหยิบเงื่อนไขว่าหาก ส.ส.เขตลาออก ต้องมีการจัดเลือกตั้งซ่อม และ ส.ส.เดิมต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งหลักหลายล้านบาทต่อเขต แต่ทาง “ทีมผู้กอง” ก็ยักไหล่แบบไม่ยี่หระ

ไม่เท่านั้นทีมผู้กองแผน “กามิกาเซ่” เพื่อให้ยุบสภา ที่เตรียมไว้จึงถูกหยิบมาใช้ก่อนกำหนด เดินเกม “รุกฆาต” ทันที หลังมีกรณี “ไลน์หลุด” มาเป็นปัจจัยเร่ง

ว่ากันว่า “ธรรมนัส” ได้หารือกับ “ลุงป้อม” ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ฐานบัญชาการของพี่ใหญ่รัฐบาล พร้อมแจ้งว่า จะมีการลาออกจากพรรคพลังประชารัฐ ทำให้ “บิ๊กตู่” ต้องต่อสายหา “บิ๊กป้อม” เพื่อขอให้ยับยั้ง “ทีมผู้กอง” ทันที และได้ยื่นข้อเสนอ “ต่อรอง” ว่า จะหาเหตุขับ “ส.ส.กลุ่มผู้กอง” ออกจากพรรค เพื่อเปิดทางให้ไปหาสังกัดพรรคใหม่ภายใน 30 วัน

ก่อนที่ “ธรรมนัส” จะยินยอมย้ายไปสังกัดพรรคใหม่ โดยไม่ลาออกจาก ส.ส. และได้ยื่นเงื่อนไขให้ “นายกฯ ตู่” ปรับคณะรัฐมนตรี เพื่อคืนเก้าอี้รัฐมนตรี 2 ที่นั่งในโควตาที่เคยถูกปรับออกคืนให้ “กลุ่มผู้กอง” แต่ด้วยจำนวน ส.ส. 20 เสียงขึ้น ต้องระดับ “ว่าการ” เท่านั้น

โดยคาดว่า “ส.ส.ซุ้มผู้กอง” ทั้ง 21 คน จะย้ายไปอยู่ “พรรคเศรษฐกิจไทย” ซึ่งเป็นพรรคสำรองที่เตรียมไว้อยู่แล้ว และ“บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ คนสนิทของ “บิ๊กป้อม” ก็จะลาออกไปเป็นหัวหน้าพรรค รวมทั้งดึง “เสี่ยโต” อภิชัย เตชะอุบล ที่เป็นนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่เป็น ส.ส.บัญชีรายชื่อ และนายทุนของพรรคประชาธิปัตย์ในปัจจุบัน ไปเป็นเลขาธิการพรรค

ที่สำคัญยังมีชื่อ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ น้องชาย พล.อ.ประวิตร เป็นที่ปรึกษาพรรคด้วย

เมื่อเปิดตัวละครออกมา ก็ยิ่งฉายภาพว่า ทุกขั้นตอนมีการวางแผนเตรียมกันไว้ทั้งหมดโดย “ฝ่ายผู้กอง”

โดยเฉพาะการปรากฎชื่อ “คนสนิท-น้องชาย” ของ “บิ๊กป้อม” ไปเป็นคีย์แมนที่รังใหม่ของ “ธรรมนัส” ก็ยิ่งสะท้อนได้ว่า “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” รู้เห็น และเป็นใจกับการเคลื่อนไหวของ “ธรรมนัส”

เฉกเช่นที่ร่ำลือกันหนาหูว่า ความเคลื่อนไหวล้มนายกฯ เมื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจหนก่อน “พี่ป้อม” ก็รู้เห็นตั้งแต่ต้น โดยมี “บิ๊กป๊อด” ให้การสนับสนุนด้วย

จนมีคำถามว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นสงครามตัวแทนของ “น้องตู่-ประยุทธ์” กับ “พี่ป้อม-ประวิตร” หรือไม่ เพราะเอาเข้าจริง “พี่น้อง 2 ป.” ก็มีเรื่องราว “กินใจ” กันมาต่อเนื่องตั้งแต่สมัยเรืองอำนาจในรัฐบาล คสช. กระทั่งเกือบ 3 ปีของรัฐบาลชุดนี้

หลังจากที่ “พี่ป้อม” ถูกริดลอนอำนาจที่เคยถือไว้ และใหญ่คับประเทศในฐานะรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ดูแลทหาร-ตำรวจ ไปจนเกือบ “หมดมือ” หรือการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แม้ตั๋วของ “บิ๊กป้อม” ยังพอผ่านเข้าไปใน “สภาสูง” บ้าง แต่สาย “บิ๊กป๊อด-พัชรวาท” ที่เป็นขาประจำหายเกลี้ยง

มาถึงรัฐบาลหลังเลือกตั้งยิ่งไปกันใหญ่ งานในตำแหน่งรองนายกฯ แทบไม่เหลือ มีแค่ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สนทช.) ให้ดูแล กลายเป็นว่า “พี่ใหญ่รัฐบาล” ต้องไปนั่งสู้รบกับ “ผักตบชวา” เท่านั้น

กระทั่ง “พี่ใหญ่” ได้เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ก็ได้ “ผู้กองธรรมนัส” และ “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ที่ตอนนั้นเป็น รมช.เกษตรและสหกรณ์ และ รมช.แรงงาน เข้ามาเป็นคนข้างกาย และเพิ่มบทบาทของ “บิ๊กป้อม” ขึ้นมาบ้าง แต่ทั้งคู่ก็มาโดน “บิ๊กตู่” ปลดออกไปอีก

จนมีอาการงอนตุ๊บป่อง “พี่น้อง 3 ป.” ที่รวมถึง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ต้องมาสร้างภาพรักกันหวานชื่น ประกาศความตายเท่านั้นจะพรากพวกเรา ออกสื่ออยู่เป็นเดือนๆ

ยังไม่รวมปัญหาขัดแย้งในการบริหารอำนาจผ่าน ส.ว.-องค์กรอิสระ ที่มีอยู่เนืองๆ หรือการสรรหา คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม กิจการโทรทัศน์ และกิจการกระจายเสียง (กสทช.) ล่าสุด ก็มีข่าวว่า b” ขัดกันไม่น้อย

 พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ

 ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า

 พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา

 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา
ล่าสุดร่ำลือหนาหูถึงการเลือกตั้งซ่อมที่ จ.ชุมพร ซึ่ง “บิ๊กป้อม” ทุบโต๊ะกลับลำส่งผู้สมัครลงแข่งกับพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมจัด “กระสุน” ลงไปในพื้นที่ หวังปักธงที่เมืองชุมพรเสริมบารมีให้ตัวเอง แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ไปอย่างหลุดลุ่ย แล้วมารู้ทีหลังว่า “บิ๊กตู่” ก็ส่งสรรพกำลังทั้ง “คน-กระสุน” ลงไปเช่นกัน แต่ไปหนุนกับฝ่ายตรงข้าม ทำเอาพี่น้องแตกคอกันใหญ่โตเลยทีเดียว
เมื่อความขุ่นเคืองกันเองใน “พี่น้องบูรพาพยัคฆ์” ผสมโรงกับ “ธรรมนัส” ก็เลยแตกโพล๊ะเป็นเรื่องใหญ่ และสถานการณ์ต่างๆ ไม่ได้ทำให้ “บิ๊กตู่” อยู่ในจุดที่ได้เปรียบ เพราะที่ผ่านมาพึ่งพาฐานการเมืองจากบารมี “พี่ป้อม” มาตลอด

การแตกไลน์จาก “พลังประชารัฐ” ไปที่ “เศรษฐกิจไทย” โดยที่ “บิ๊กป้อม” ยังคุมทั้ง 2 พรรค ย่อมไม่ใช่ผลดีกับ “บิ๊กตู่” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่มี ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลอย่างน้อย 21 เสียง ใน “ซุ้มผู้กอง” ไม่อยู่ในอาณัติพรรคพลังประชารัฐอีกต่อไป

เท่ากับว่าขณะนี้ ส.ส.ที่พอจะนับเป็น ส.ส.รัฐบาลได้ มีเพียง 247 เสียงเท่านั้น แม้จะยังมากกว่าฝ่ายอยู่ แต่ลำบากตรงที่องค์ประชุมสภาฯ ปัจจุบันอยู่ที่ 237 เสียง ย่อมส่งผลให้การทำงานในสภาฯ ยากที่จะราบรื่น

ขนาด “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี เนติบริการของรัฐบาลยังแสดงความเป็นห่วงว่า รัฐบาลอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง จะเจออุบัติเหตุทางการเมืองได้ทุกเมื่อ

จึงน่าสนใจไม่น้อยกับคำประกาศกร้าวของ “นายกฯ ประยุทธ์” ที่ว่า ไม่คิดที่จะยุบสภา หรือปรับคณะรัฐมนตรี อีกทั้งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับ “กลุ่มผู้กอง” ออกจากพรรคพลังประชารัฐด้วย

เข้าใจดีว่าในฐานะ “ผู้นำสูงสุด” ต้องยืนกรานว่า “ไม่ยุบสภา” ให้หนักแน่นที่สุด เพราะมีผลกระทบไปถึงความเชื่อมั่นในหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในยามที่ “กฎหมายลูก” เกี่ยวกับการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับแก้ไข ยังไม่เรียบร้อย

แต่ย่อมต้องมีคำถามถึงการปฏิเสธในเรื่องการ “ปรับ ครม.” ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นเงื่อนไขสำคัญของการเปลี่ยนแปลงในพรรคพลังประชารัฐ และเป็นข้อแลกเปลี่ยนว่า “กลุ่มผู้กอง” จะทำหน้าที่เป็น ส.ส.ฝ่ายรัฐบาล เพื่อประคองรัฐบาลต่อไป

หากไม่มีการปรับ ครม.จะส่งผลให้ข้อตกลงที่มีไว้กับ “กลุ่มผู้กอง” ทั้งการทำหน้าที่ ส.ส.รัฐบาล หรือการไม่ลาออกจาก ส.ส.จะถูกยกเลิกไปด้วยหรือไม่

ย้อนไปเมื่อครั้งเกิด “กบฏผู้กอง” ว่ากันว่า คราวนั้นมีการตั้งเป้ารวบรวม ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลให้ได้ราว 40 เสียงเพื่อโหวตคว่ำ “ประยุทธ์” กลางสภาฯ แต่ถูกพับแผนเสียก่อน

ครั้งนี้หากมีจังหวะได้-เสีย เดินเกมเดิมขึ้นมา อย่างน้อย “ทีมผู้กอง” มีเสียงตั้งต้นอยู่แล้ว 21 เสียง บวกกับ “พรรคเล็ก” และ “งูเห่า” ที่ “ธรรมนัส” ฝากเลี้ยงไว้ในพรรคพลังประชารัฐ เชื่อว่า 40 เสียงที่จะเขย่าเก้าอี้ “นายกฯตู่” อีกครั้งไม่ใช่เรื่องยาก

สภาพแบบนี้ “นายกฯตู่” ย่อมหวั่นไหวไม่น้อย จนมีข่าวว่า ได้สั่งการให้ดึง “กฎหมายการเงิน” ออกจากวาระการพิจารณาของสภาฯ ทั้งหมดแล้ว

ด้วยรู้ว่าหาก “กฎหมายการเงิน-กฎหมายสำคัญ” ถูกคว่ำในสภาฯ ก็เท่ากับต้องลงจากตำแหน่งนายกฯ เพื่อรับผิดชอบทันที

เช่นเดียวกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งสุดท้ายของรัฐบาลนี้ที่จะมีขึ้นในสมัยประชุมหน้า ช่วงเดือนพฤษภาคม 2565 เป็นต้นไป ที่คงไม่สามารถปล่อยให้ฝ่ายค้านยื่นขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ ถ้าเสียง ส.ส.ในมือยังมีอยู่แค่นี้ สุ่มเสี่ยงโดนน็อกคาสภาฯได้ง่ายๆ

หนทางแก้เกมของ “บิ๊กตู่” หากต้องการอยู่จนครบเทอมต้นปี 2566 ก็คือต้องหาเสียงจากฝ่ายค้านมาเติมอีกอย่างน้อย 40 เสียงเพื่อค้ำบัลลังก์เก้าอี้นายกฯ ซึ่งก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่ ส.ส.ฝ่ายค้านจะฆ่าตัวตายโดยการสลับขั้วมาอยู่กับ “ประยุทธ์” ในช่วงปลายเทอมก่อนเลือกตั้ง อีกทั้งผู้ที่ถนัด “เกมดูด-แจกกล้วย” มากที่สุดก็ไม่พ้น “ธรรมนัส”

ไม่เท่านั้นยังต้องระแวง “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่อาจมี “ลูกเล่น” ในช่วงปลายเทอม เพื่อกู้ศรัทธา สร้างคะแนนนิยม และอาจหวังเตะตัดขา “ประยุทธ์” ให้ไปต่อไม่ได้ในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า

เท่ากับว่าชะตา “บิ๊กตู่” ที่ลอยตัวจากการเมืองมาตลอด “แขวนไว้บนเส้นด้าย” และยังเป็นเส้นด้ายที่อยู่ในมือ “พี่ป้อม” เสียด้วย

อีกทั้งการที่ “บิ๊กป้อม” ดึง “พัชรวาท” ที่รู้ทั้งรู้ว่า ไม่ถูกกับ “ประยุทธ์” มาออกหน้า ก็เหมือน “ชักธงรบ” กับ “น้องตู่” ไปในตัว

และยังอาจไปได้อีกว่า เป็นการวาง “น้องป๊อด” มาเป็นทายาท ในยามที่ “น้องตู่” ดูจะไปต่อไม่ไหว และยังมีชนักเรื่องนายกฯ 8 ปีคาไว้ให้ตีความอีก

ทำไปทำมาดรามาการเมืองหนนี้ ประเด็น “กบฏธรรนนัส” อาจเป็นแค่ยอดภูเขาน้ำแข็ง แต่ลึกๆ แล้วกลายเป็น “ศึกพยัคฆ์ตัดพยัคฆ์” ที่ “พี่ป้อม-น้องตู่” กำลังรบกันเอง

โดยที่ “พยัคฆ์ป้อม” เปิดฉากเดินหมากอย่างแยบยล ขณะที่ “พยัคฆ์ตู่” เข้าตาจน-ตกที่นั่งลำบาก

มีรายงานข่าวว่า “ลุงตู่” ที่หน้าตาเคร่งเครียดนับแต่มีเรื่องตัดสินใจเดินทางเข้าหารือกับ “ลุงป้อม” ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ เมื่อวันที่ 20 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก็ไม่รู้ว่า สองศรีพี่น้องคุยอะไรกันและคุยจบหรือไม่ แต่ถ้าจะให้ฟันธงก็บอกว่า ทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถ้าคุยรู้เรื่อง สถานการณ์คงไม่เดินมาถึงจุดนี้

กระนั้นก็ดี หลายคนมองว่า ถึงอย่างไร “พี่น้อง 3 ป.” ยังไม่แตกหัก หากแต่แบ่งกันเล่นคนละบท เมื่อรู้ว่า กุ้ง หอย ปู ปลา อยู่ในข้องเดียวกันไม่ได้ก็แยกข้อง แต่ทั้งหมดยังอยู่ในบ่อเดียวกัน น้ำเดียวกัน

อย่างไรก็ดี ประเด็นที่น่าสนใจอยู่ตรงที่ว่า เมื่อ “น้ำแยกสายไผ่แยกกอ” กันไปอย่างนี้ เมื่อถึงเวลาเลือกตั้งครั้งใหม่จะเอาอะไรไปสู้กับ “ค่ายเพื่อไทย-ก้าวไกล” ก๊วนลุงป้อมกับผู้กองจะเอาอะไรเป็นจุดขายไปสู้ เพราะรู้อยู่แก่ใจว่า “ชื่อขายไม่ได้” จะให้ “ผู้กอง” ชู “ลุงตู่” เป็นนายกฯ อีกรอบคงไม่ใช่ ส่วน “ทีมลุงตู่-ลุงป๊อก” ที่เคยปล่อยให้ “ลุงป้อม” ทำงานการเมืองให้จะจัดทัพจัดกระบวนท่าไปรักษาอำนาจได้อย่างไร

แต่ที่แน่ๆ เชื่อว่า คนที่กำลังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างมีความสุขในเวลานี้ก็คือ “ทักษิณ ชินวัตร”.





กำลังโหลดความคิดเห็น