xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ความเป็นจีนที่เปลี่ยนไป (จบ)

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ละครจีนทางโทรทัศน์เรื่อง เจี้ยวสิ่งเหนียนไต้ (ยุคแห่งการตื่นรู้, The Awakening Age) ซึ่งสร้างจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีน โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญญาชนจีนเมื่อต้นศตวรรษที่ 20
ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 ถึงแม้ว่าความเป็นจีนของชาวจีนแผ่นดินใหญ่ในปัจจุบันจะเปลี่ยนไปจากเดิมมากแล้วก็ตาม แต่มิได้หมายความว่าชาวจีนแผ่นดินใหญ่จะไร้ซึ่งวัฒนธรรมที่ดีไปด้วย ความจริงแล้วยังมีอยู่ แต่เป็นวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนฐานคิดแบบยุคสมัยใหม่ และผสมผสานกับวัฒนธรรมขงจื่ออยู่เช่นกัน จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับค่านิยมของแต่ละคน


อย่างหลังนี้เกิดขึ้นหลังจากที่จีนเข้าสู่ยุคปฏิรูปหลัง ค.ศ.1978 ไปแล้ว เพราะในยุคที่ว่านี้จีนมิได้ต่อต้านวัฒนธรรมขงจื่ออีกแล้ว แต่ก็มิได้ส่งเสริมจนเหมือนกับยุคเก่าก่อน

ที่สำคัญ ในยุคที่ว่านี้จีนให้ความสำคัญกับการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก ชาวจีนที่ยากจนมานานก็ขานรับเช่นกัน ดังนั้น ต่างจึงก้มหน้าก้มตาสร้างฐานะด้วยความขยันขันแข็ง ที่จะให้ใส่ใจเรื่องวัฒนธรรมขงจื่อจึงเป็นรองไปและมีน้อยมาก

เพราะฉะนั้นแล้วเราจึงเห็นชาวจีนรวยได้รวยดี แต่เราจะไม่ค่อยเห็นการแสดงวัฒนธรรมขงจื่อมากนัก และเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ชาวจีนจำนวนไม่น้อยมักมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่งาม แต่ที่มีกิริยามารยาทหรือวัฒนธรรมแบบใหม่ก็มีให้เห็นเช่นกัน

 วัฒนธรรมแบบใหม่ก็อย่างเช่นการทักทายกันด้วยการจับมือแบบฝรั่ง มิใช่การโค้งคำนับแบบที่เคยทำในสมัยก่อน เป็นต้น

ผมควรกล่าวด้วยว่า ชาวจีนไม่ได้ทิ้งการแสดงความเคารพด้วยการโค้งคำนับไปเสียเลยทีเดียว เพียงแต่จะแสดงในวาระพิเศษอย่างเช่นในพิธีแต่งงานหรือในงานศพ เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม การไม่ได้ทักทายกันด้วยการโค้งคำนับน่าจะเลิกไปในยุคคอมมิวนิสต์ ไม่น่าจะเป็นช่วงที่จีนเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ในปลายศตวรรษที่ 19 ต่อครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 เพราะเมื่อไม่นานมานี้ผมได้ดูละครจีนทางโทรทัศน์เรื่อง  เจี้ยวสิ่งเหนียนไต้ (ยุคแห่งการตื่นรู้, The Awakening Age)  แล้วพบว่า ในยุคที่ว่านี้ชาวจีนยังทักทายกันด้วยการโค้งคำนับ

อนึ่ง ละครเรื่องนี้สร้างจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของจีน เป็นเรื่องเกี่ยวกับปัญญาชนจีนเมื่อต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งตอนนั้นจีนกำลังอยู่ในยุคสาธารณรัฐ ในยุคนี้มีปัญญาชนที่มีชื่อเสียงเกิดขึ้นมากมาย และต่างก็รักในบ้านเกิดเมืองนอน ปัญญาชนเหล่านี้มีบทบาทสูงในการเปลี่ยนแปลงสังคมจีนในเวลานั้น

ในละครเราจะได้เห็นปัญญาชนอย่างเฉินตู๋ซิ่ว หลี่ต้าเจา หูสือ ไช่หยวนเผย (อธิการบดีของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง) ฯลฯ ไม่เว้นแม้แต่เหมาเจ๋อตงในวัยหนุ่ม

ที่น่าทึ่งและอดยิ้มไปด้วยไม่ได้ก็คือ นักแสดงที่แสดงเป็นปัญญาชนแต่ละคนนั้น ผู้สร้างช่างสรรหาคนที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนตัวจริงมาแสดง ซึ่งเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนังหรือละครจีน ที่เวลาจะสร้างหนังหรือละครแนวประวัติศาสตร์สมัยใหม่แล้ว ก็มักจะคัดเอานักแสดงหน้าเหมือนมาแสดงอยู่เสมอ

ผมเคยถามเพื่อนชาวจีนว่า เขาไปสรรหากันมาอย่างไรถึงได้คนหน้าเหมือนมาได้ขนาดนี้ เพื่อนชาวจีนตอบว่า จีนมีประชากรนับเป็นพันล้านคน หาไม่ได้ก็มันรู้ไป

พูดถึงละครเรื่องดังกล่าวแล้วก็อยากจะแนะนำให้คนที่สนใจเรื่องจีนได้ดูกัน เพราะละครเรื่องนี้ไม่เพียงจะได้รู้ว่าปัญญาชนจีนมีบทบาทในการสร้างชาติจีนอย่างไรเท่านั้น หากยังได้เห็นความเป็นจีนในลักษณะต่างๆ ที่เต็มไปด้วยรายละเอียดอีกด้วย
เรียกได้ว่า ถ้าใครอยากรู้ว่าความเป็นจีนเป็นอย่างไรในยุคสมัยที่จีนกำลังเผชิญหน้ากับวัฒนธรรมตะวันตกอย่างแหลมคม ก็ให้ดูได้จากละครเรื่องนี้เป็นตัวอย่าง

แต่ดังได้กล่าวไปแล้ว ว่าแม้ความเป็นจีนแบบดั้งเดิมจะเห็นได้น้อยในจีนแผ่นดินใหญ่ทุกวันนี้ก็ตาม แต่ก็มิได้หมายความว่าวัฒนธรรมแบบใหม่ที่แสดงออกจะดูแย่ไปเสียทั้งหมด ภายใต้วัฒนธรรมแบบใหม่เรายังสามารถพบชาวจีนที่มีน้ำใจ มีกิริยามารยาท และรู้กาลเทศะมากขึ้น

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการรณรงค์ของทางการจีนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเริ่มจากที่ชาวจีนถูกวิพากษ์วิจารณ์ถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือไม่งาม เช่น พฤติกรรมของนักท่องเที่ยวจีนที่เคยเป็นข่าวเมื่อหลายปีก่อน ครั้นถูกวิจารณ์หนักเข้า ทางการจีนก็ออกมารณรงค์ให้ชาวจีนตระหนักในเรื่องนี้

เพราะด้านหนึ่งมันหมายถึงหน้าตาและศักดิ์ศรีของประเทศด้วย

แล้วก็ได้ผล โดยในชั้นหลังมานี้ (ก่อนจะเกิดการระบาดของโควิด-19) เราจะพบว่า ข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของนักท่องเที่ยวจีนแทบจะไม่ปรากฏอีกเลย แสดงว่าชาวจีนก็ปรับตัวในเรื่องนี้เหมือนกัน และทำให้เห็นว่า คนที่มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมน่าจะเป็นชาวจีนส่วนน้อย

เหตุดังนั้น พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมดังกล่าวจึงไม่ใช่ความเป็นจีน และความเป็นจีนแบบใหม่ (ไม่ใช่แบบดั้งเดิม) ก็คือการปรับตนระหว่างวัฒนธรรมขงจื่อกับวัฒนธรรมแบบใหม่ของชาวจีนนั้นเอง

ไม่เพียงเท่านั้น ในช่วงหลายสิบปีมานี้ได้มีชาวจีนอพยพไปยังประเทศต่างๆ รวมทั้งไทยด้วย ชาวจีนเหล่านี้ไม่เพียงนำเอาความเป็นจีนแบบใหม่ไปยังประเทศเหล่านั้น หากชาวจีนยังได้ปรับตัวให้เข้าวัฒนธรรมของสังคมของประเทศนั้นอีกด้วย เหมือนที่ครั้งหนึ่งชาวจีนโพ้นทะเลก็ปรับตัวเช่นนั้นเหมือนกัน

เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่ผมกำลังรอเช็คอินเข้าสนามบินที่ปักกิ่งอยู่นั้น ใกล้ๆ กับที่ผมยืนมีนักท่องเที่ยวจีนราวยี่สิบคนกำลังยืนฟังไกด์ของตนพูด ผมได้ยินไกด์คนนี้พูดกับลูกทัวร์ว่า เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้วมีอะไรที่ควรทำและไม่ควรทำ อะไรที่ทำในประเทศเรา (จีน) ได้ แต่ทำในไทยไม่ได้ หรือถ้ากิริยาท่าทีของคนไทยเป็นเช่นนั้นเช่นนี้จะสื่อถึงอะไร ฯลฯ

ผมเห็นชาวจีนที่เป็นลูกทัวร์ฟังไกด์ของเขาพูดอย่างตั้งใจ และเมื่อพูดถึงเรื่องที่ตนไม่เคยรู้มาก่อนเกี่ยวกับเมืองไทยก็จะพยักหน้ารับทราบอย่างจริงจัง

การปรับตัวเช่นว่าใช่แต่จะเกิดกับนักท่องเที่ยวจีนเท่านั้น หากยังเกิดแก่ชาวจีนอพยพที่เข้ามาพำนักในไทยจากช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาอีกด้วย นอกเหนือไปจากที่ได้การนำความเป็นจีนแบบใหม่มาให้คนไทยได้รู้จักดังได้กล่าวไปแล้ว

 ผมไม่รู้ว่า ความเป็นจีนที่เปลี่ยนไปนี้จะเปลี่ยนไปอีกกี่มากน้อย หรือมีจุดลงตัวหรือไม่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ผมจึงนึกภาพความเป็นจีนในอนาคตไม่ออก เคยมีคนถามผมว่า ถ้าเช่นนั้นเราจะไม่เห็นความเป็นจีนแบบดั้งเดิมอีกแล้วใช่ไหม นอกจากความเป็นจีนที่เราเห็นผ่านชาวจีนโพ้นทะเลในไทยหรือลูกหลาน

ผมตอบว่า ไม่เชิง เพราะถ้าจะดูความเป็นจีนแบบดั้งเดิมจริงๆ แล้วก็ยังสามารถเห็นได้จากชาวจีนในฮ่องกงและไต้หวัน เพียงแต่ไต้หวันดูจะชัดเจนกว่า ไม่เหมือนฮ่องกงที่มีวัฒนธรรมฝรั่งปนอยู่ด้วยจากการปกครองของอังกฤษนับร้อยปี 

นี่คือภาพรวมของความเป็นจีนในศตวรรษที่ 21




กำลังโหลดความคิดเห็น