xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“โอมิครอน” พ่นพิษ ลุ้นอย่าปิดประเทศ ท่องเที่ยวป่วน เจ๊งระนาวยาวไปถึงปี 65

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  สัญญาณเศรษฐกิจฟื้นตัวช่วงปลายปีที่ทำท่าจะดีมีอันต้องสะดุด เมื่อสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” กระจายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ทำให้ ศบค.ยกระดับสกัดกั้นด้วยการปิดระบบ Test & Go และ Sandbox รับนักท่องเที่ยวต่างชาติชั่วคราว เตือนรัฐบาลรับมืออย่างมีสติ หวั่นปิดเมืองซ้ำรอย “เดลตา” พาพินาศหลายแสนล้าน ผู้ประกอบการท่องเที่ยวครวญเจ๊งรอบนี้ยากจะฟื้นคืน 

หลังวันที่ 4 มกราคม 2565 รัฐบาลจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งจะออกหมู่หรือจ่า ทว่า ณ เวลานี้ ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. สั่งปิดระบบรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่จะเดินทางมาเที่ยวในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา หลังประกาศเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติได้เพียงเดือนเศษๆ
 “....ข้อมูลล่าสุดวันนี้มีนักท่องเที่ยวค้างในระบบ 200,000 คน ก็จะล้างท่อเคลียร์ชุดนี้ให้หมด และต้องติดตามอย่างเข้มงวด จากนั้นวันที่ 4 มกราคม 2565 จะประเมินอีกครั้ง สำหรับคนไทยที่ยื่นเรื่องขออนุญาตเข้าประเทศไทยหลังจากวันนี้ไปแล้วต้องทำเรื่องขออนุญาตในระบบใหม่ ทุกคนต้องกักตัวและตรวจ RT-PCR ซ้ำ ....” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และ ศบค. ในวันสั่งปิดระบบเมื่อ 21 ธันวาคม 2564 

การปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติชั่วคราวดังกล่าว  นายธนกร วังบุญคงชนะ  โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงเพิ่มเติมว่า ให้ระงับการลงทะเบียน Test & Go และ Sandbox ไว้เป็นการชั่วคราว ยกเว้น Phuket Sandbox มีผลตั้งแต่วันที่ 21 ธันวาคม 2564 - 4 มกราคม 2564 และจะพิจารณาอีกครั้ง ขณะนี้มีนักท่องเที่ยวลงทะเบียนขอเดินทางเข้าประเทศไทย 200,000 คน ระบบอนุมัติแล้ว 110,000 คน ส่วนที่ยังรอการอนุมัติอีกกว่า 90,000 คน ยังเดินทางมาได้ตามปกติ แต่จะต้องตรวจ RT-PCR จากเดิม 1 ครั้ง เป็น 2 ครั้ง โดยครั้งที่ 2 รัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้

“.... ไม่ใช่การปิดรับนักท่องเที่ยว แต่เป็นการระงับไว้ชั่วคราว ซึ่งผู้ที่ลงทะเบียนมาแล้ว 200,000 คน สามารถเข้าประเทศได้ แต่ต้องมีมาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น” นายธนกร กล่าวถึงการเน้นย้ำของนายกรัฐมนตรี ว่ามาตการที่ออกมาไม่ใช่การปิดประเทศ แค่ระงับชั่วคราวเท่านั้น

 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อธิบายว่า นี่เป็นการตอบสนองต่อสถานการณ์แพร่ระบาดที่รวดเร็ว หากควบคุมได้รัฐบาลก็พร้อมจะปรับเปลี่ยนมาตรการเพราะทราบดีว่าช่วงนี้เป็นช่วงไฮซีซั่น ส่วนการล็อกดาวน์จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งสุดท้าย

เบื้องหลังการตัดสินใจยกระดับสกัดกั้นโอมิครอนก็ด้วยข้อมูลที่มีการรายงานในที่ประชุม ศบค. ในวันดังกล่าวว่า ผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรไทยตั้งแต่วันที่ 1-20 ธันวาคม 2564 มียอดสะสม 171,780 ราย พบผู้ติดเชื้อโควิด 377 ราย อัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 0.22% โดยกลุ่ม Test and Go หรือแบบไม่กักตัว มีผู้เดินทางเข้ามามากที่สุด และติดเชื้อโควิดมากที่สุดจำนวน 227 ราย อัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 0.15% รองลงมาเป็นกลุ่มที่กักตัว (Quarantine) 100 คน อัตราการติดเชื้ออยู่ที่ 2.51%และกลุ่มแซนด์บอกซ์ 50 คน เมื่อรวมกับตัวเลขผู้ที่เดินทางเข้ามาตั้งแต่เปิดประเทศ (1พฤศจิกายน - 20 ธันวาคม 2564) มีผู้เดินทางเข้ามาแล้ว 304,841 ราย (133,061+171,780) มีผู้ติดเชื้อโควิดรวม 548 คน (171+377)

ในจำนวนผู้ที่เดินทางเข้ามายังไทย 10 ประเทศต้นทางที่เดินทางเข้ามามากที่สุด ได้แก่ เยอรมนี 13,980 คน สหราชอาณาจักร 11,919 คน รัสเซีย 7,478 คน สหรัฐอเมริกา 7,425 คน ฝรั่งเศส 6,674 คน ซึ่ง 5 ประเทศดังกล่าว ติดอันดับทอปเทนประเทศที่มีผู้ติดเชื้อโควิดสูงสุดของโลก และหลายประเทศเริ่มจำกัดการเดินทางจากประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม ส่วนประเทศที่เหลือ ได้แก่ สวีเดน 6,103 ราย สิงคโปร์ 6,071 ราย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) 5,697 ราย อินเดีย 4,880 ราย และนอร์เวย์ 4,410 ราย

คล้อยหลังการสั่งปิดระบบชั่วคราวครั้งนี้ ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดย่อมหนีไม่พ้นการท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่อง โดย  นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี  นายกสมาคมโรงแรมไทย และรองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มโรงแรมในเครือสุโกศล ประเมินว่า การยกเลิก test & go ไปเป็นการกักตัวในห้องพัก (alternative quarantine) จะส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่วางแผนมาเที่ยวไทย หรือที่จองตั๋วเครื่องบินและห้องพักล่วงหน้ายกเลิกทั้งหมดทั้งส่วนที่ลงทะเบียนแล้วและยังไม่ได้ลงทะเบียนเข้าระบบ การกลับไปให้กักตัวนั้นถือเป็นการทำลายอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวอย่างรุนแรง ธุรกิจท่องเที่ยวทุกเซกเตอร์รวมถึงโรงแรมบาดเจ็บและสาหัสหนักกว่าระลอก 1-3 ที่ผ่านมาและอาจถึงขั้นตายสนิท หรือยากที่จะฟื้นคืนกลับมา

ขณะที่  นายธเนศ ศุภรสหัสรังสี รักษาการแทนประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวชลบุรี ประเมินว่า มาตรการดังกล่าวจะส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ยอดจองห้องพักในช่วงต้นปีหน้าอาจจะถูกยกเลิกไปทั้งหมด และคงไม่มียอดจองเข้ามาเพิ่มเพราะสถานการณ์ยังไม่ชัดเจน

ไม่เพียงอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเท่านั้นที่จะพังพินาศ เศรษฐกิจโดยภาพรวมก็จะย่อยยับเช่นเดียวกัน เวลานี้สิ่งที่หลายฝ่ายหวั่นวิตกกันมากก็คือ รัฐบาลจะประกาศล็อกดาวน์เหมือนช่วงที่รับมือสถานการณ์การแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้าหรือไม่

 นายเกรียงไกร เธียรนุกูล  รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้ว่า หาก ศบค.กลับไปใช้มาตรการล็อกดาวน์ ปิดประเทศ อาจทำให้ธุรกิจท่องเที่ยว สายการบิน ที่เพิ่งกลับมาดำเนินการหลังหยุดมานานโดนทุบอีกรอบ เอกชนจึงหวังว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการป้องกันไล่จากเบาไปหาหนัก เริ่มจากคัดกรองผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศและกักตัวเหมือนเดิม จากนั้นปลายมกราคม-กุมภาพันธ์ ปีหน้าค่อยประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้ง หากจำนวนผู้ติดเชื้อไม่มากก็ไม่ควรล็อกดาวน์ สิ่งสำคัญคือ ต้องสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และเอสเอ็มอี และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19

ด้าน  นายสนั่น อังอุบลกุล  ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การแพร่กระจายของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอนทำให้ต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ ส่วนจะล็อกดาวน์และปิดประเทศนั้นเราได้บทเรียนจากที่ผ่านมาแล้ว ภาคเอกชนเชื่อว่าการคุมการระบาดอย่างเป็นขั้นตอน การระดมฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อไม่ให้กระทบเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัวเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว

“หอการค้าไทยเห็นด้วยกับการยกเลิกมาตรการ test & go ชั่วคราว แม้ว่าการตัดสินใจครั้งนี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจบ้าง แต่เชื่อว่าจากข้อมูลทางสาธารณสุขของภาครัฐที่มีอยู่ตอนนี้ ถือว่าเป็นการตัดสินใจที่ชัดเจนตั้งแต่ต้นทาง เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการแพร่ระบาดในวงกว้างอีกครั้งจนควบคุมไม่ได้ และเชื่อว่ารัฐบาลจะไม่มีการล็อกดาวน์เหมือนที่เคยเกิดขึ้น เพราะเห็นได้ชัดแล้วว่าสร้างความเสียหายแก่ประเทศมหาศาล โดยประเมินจากช่วงกลางปีที่มีการล็อกดาวน์ว่าจะเสียหายราว 2-3 แสนล้านบาทต่อเดือน” ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าว

ไม่เพียงแต่การท่องเที่ยวเท่านั้นที่จะได้รับผลกระทบจากการแพร่กระจายของสายพันธุ์โอมิครอน ในส่วนการส่งออกก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน โดย รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช  ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินสถานการณ์ผลกระทบว่า ตอนนี้โอไมครอนระบาดไปแล้ว 90 ประเทศ โดยเฉพาะตลาดหลักส่งออกของไทยอย่างสหภาพยุโรปและสหรัฐฯ คาดว่าการส่งออกโดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 1-2 ปีหน้าจะขยายตัวเพียง 1-2% หรือคิดเป็นมูลค่าความเสียหายจากโอไมครอน ประมาณ 20,000-40,000 ล้านบาท

แต่ที่แน่ๆ เทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่ใกล้เข้ามา ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า ล่าสุด กรุงเทพมหานคร โดย  พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง  ผู้ว่าฯกทม. สั่งให้หน่วยงานในสังกัดยกเลิกจัดงานปีใหม่ของกทม.และการสวดมนต์ข้ามปี ประจำปี 2565 ที่ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร รวมถึงหน่วยงานในสังกัดทั้งหมด ส่วนภาคเอกชนที่จะจัดงานขอให้คุมเข้มมาตรการป้องกันอย่างเคร่งครัด

การงดจัดงานปีใหม่ระหว่างวันที่ 31 ธันวาคม – 1 มกราคม 2565 เป็นไปตามการกำหนดแนวทางของ ศบค. ซึ่งสอดคล้องกับประกาศขององค์การอนามัยโลก ที่เรียกร้องให้ประเทศต่างๆ ยกเลิกแผนวันหยุดบางส่วนเพื่อปกป้องระบบสาธารณสุข เนื่องจากเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอไมครอนมีการระบาดเร็วกว่าสายพันธุ์เดลต้าอย่างมีนัยยะสำคัญ ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอนในประเทศไทยพบว่ามีการระบาดอย่างรวดเร็วเช่นกัน

 นายอนุทิน ชาญวีรกูล  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ระบุถึงจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอนในประเทศไทย ณ วันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา ว่า พบผู้ติดเชื้อที่เข้าข่ายสายพันธุ์โอมิครอน รวมทั้งสิ้น 104 ราย จำนวนนี้ยืนยันผลชัดเจนแล้ว 27 ราย ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามผู้สัมผัสทั้งหมด โดยมี 1 ครอบครัวที่เดินทางจาก จ.กาฬสินธุ์ ไป จ.อุดรธานี ก่อนกลับเข้ามากรุงเทพฯ ภายหลังกลับมาจากต่างประเทศ ซึ่งมีการตรวจช่วงแรกที่เข้าประเทศไม่พบเชื้อ แต่เมื่อตรวจซ้ำแล้วพบเชื้อจึงติดตามตัว โดยมั่นใจว่าจะไม่เป็นคลัสเตอร์ใหญ่เพราะรู้เส้นทาง

ฟังดูคล้ายกับว่าการรับมือกับโอไมครอนของรัฐบาลรอบนี้มีความเป็นขั้นเป็นตอนมากขึ้น ไม่ใช่ว่านึกอยากจะสั่งล็อกดาวน์กลางดึก หรือสั่งปิดกิจการใดๆ ก็ทำทันทีเหมือนที่ผ่านมาโดยไม่สนใจว่าจะมีผลกระทบกี่มากน้อย โดยขณะนี้กระทรวงสาธารณสุข กำลังดูว่าการแพร่กระจายที่รวดเร็วในฝั่งยุโรปกับฝั่งไทยนั้นจะแตกต่างกันหรือไม่

นายอนุทิน ยังย้ำว่าหากยังไม่มีการพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าอาการจะตอบสนองอย่างรุนแรงกว่าสายพันธุ์อื่นจะใช้มาตรการเฝ้าระวังต่อไป และระดมฉีดวัคซีนเข็ม 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันจะเป็นการป้องกันได้ดี ยืนยันว่าโรงพยาบาลที่รับรักษาผู้ป่วยมียาเพียงพอ ยาเราผลิตเอง อีกทั้งวัคซีนก็มีเพียงพอ

 “.... ขออย่ากังวลจนเกินไป หากเรายังคงใช้มาตรการรักษาระยะห่างอย่างเข้มข้น ก็จะลดอัตราเสี่ยงการติดเชื้อได้มากอยู่แล้ว” นายอนุทิน กล่าวปลุกใจให้คนไทยเชื่อมั่นว่ารอบนี้เอาอยู่ ซึ่งก็ต้องรอติดตามต่อไปว่าจะเอาอยู่จริงไหม 





กำลังโหลดความคิดเห็น