ศาลอุทธรณ์แห่งมาเลเซีย ได้ออกคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น กรณีที่อดีตนายกฯ นาจิบ ราซัค มีความผิดข้อหาคอร์รัปชัน โดยยักยอกเอาเงินออกมาจากกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ 1 MDB เพื่อนำไปใช้ส่วนตัว จนทำให้กองทุนนี้ขาดทุน!
นับเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนมาเลเซีย เพราะอดีตนายกฯ นาจิบเป็นสมาชิกอาวุโสของพรรคอัมโน ซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลในปัจจุบัน และเป็นบุตรชายคนโตของอดีตนายกฯ คนที่สองของมาเลเซีย ที่ได้ยืนหยัดต่อสู้อย่ากล้าหาญกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษ จนประเทศมาเลเซียได้เอกราช
ในการอ่านคำพิพากษา (เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมานี้เอง) ที่เมืองปูตราจายา ท่านผู้พิพากษาอับดุล การิม อับดุล จาลิล (ขอน้อมให้เกียรติและเคารพท่าน โดยขอบันทึกนามท่านไว้ ณ ที่นี้) พร้อมองค์คณะทั้งสิ้นมี 3 ท่านได้ยืนตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นทั้ง 7 ข้อหาดังนี้
3 ข้อหา-ละเมิดความไว้วางใจ
3 ข้อหา-ฟอกเงิน
1 ข้อหา-ลุแก่อำนาจ/ใช้อำนาจเกินขอบเขต (Abuse of Power) และโทษมีดังนี้
แต่ละข้อหาด้านละเมิดความไว้วางใจ จะโดนจำคุก 10 ปี รวม 3 ข้อหาเป็นโทษ 30 ปี
แต่ละข้อหาฟอกเงิน โดนจำคุก 10 ปีรวม 30 ปี
ข้อหาลุแก่อำนาจ โดนจำคุก 12 ปี และโทษถูกปรับอีก 210 ล้านริงกิต และถ้านาจิบไม่ยอมจ่ายค่าปรับ จะถูกจำคุกอีก 5 ปี
เหตุการณ์ที่ 2 ศาล (ชั้นต้นและอุทธรณ์) ได้มีคำพิพากษาลงโทษคดีคอร์รัปชันที่โจ๋งครึ่มสั่นสะเทือนท้าทายกฎหมายมาเลเซีย จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าดร.เอ็ม (มหาเธร์ โมฮัมหมัด) มิได้ออกคำสั่งทันทีที่เขาได้เข้าเฝ้าองค์สุลต่าน เพื่อสาบานตนเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ในปี 2018-ห้ามนาจิบเดินทางออกนอกประเทศ พร้อมภรรยา (ขณะที่มีเรือบินเจ็ตส่วนตัว-ส่งมาจากเพื่อนของนาจิบที่อินโดนีเซีย มาจอดรอให้นาจิบและศรีภรรยาหลบหนีออกนอกประเทศ ทันทีที่รู้ผลการเลือกตั้งว่าแพ้ และดร.มหาเธร์ได้เป็นนายกฯ อย่างผิดคาด)
ดร.เอ็มได้เปลี่ยนตัวอัยการสูงสุดทันที (เพราะคนเดิมเข้าข้างนายกฯ นาจิบ โดยมีผลการสอบสวนว่า ไม่มีการยักยอกเงินออกจากกองทุนความมั่งคั่ง) เป็นคนคริสเตียนชื่อ โทมัส เพื่อมาสอบสวนและดำเนินการเอาผิดคดีคอร์รัปชันกับนาจิบ
ได้มีการอายัดทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่ไปตรวจพบที่บ้านพัก และที่ซ่อนไว้หลายแห่ง ดังที่เป็นข่าวครึกโครมไปทั่วโลก จนขนาดอาจกลบข่าวรองเท้าหรู 3 พันคู่ของมาดามอิเมลดา มาร์กอส ของฟิลิปปินส์ได้ เพราะนอกจากทรัพย์สินแก้วแหวนเงินทอง-ดอลลาร์มากมาย-ก็จะเป็นมุกสีชมพู/สีทอง/เครื่องเพชร/นาฬิกาหรู, กระเป๋าเดินทาง รองเท้า และกระเป๋าหรูสุภาพสตรีที่เป็นแบรนด์เนมระดับโลก ที่คุณหญิงของนายกฯ นาจิบ ได้สร้างวีรกรรมไว้ด้วยการซื้อกวาดหมดร้านที่อิตาลี, ปารีส, ลอนดอน, นิวยอร์ก และรวมทั้งที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงเทพฯ นี้เอง!
และยังมีเพนต์เฮาส์ราคาแพงสุดที่นิวยอร์ก, เบอร์แบงก์ (ลอสแองเจลิส), เรือยอชต์ลำงาม รวมทั้งภาพเขียนราคาแพงของปิกัสโซที่เพื่อนรักของลูก (เลี้ยง) ของนาจิบ ที่ชื่อนายโจ โลว์ ได้ร่วมยักยอกเงินของกองทุนความมั่งคั่งมาฟอกเงินเป็นทรัพย์สินส่วนตัวเหล่านี้
คดีนี้ดำเนินมา 3 ปี เพราะใช้เวลาติดตามทรัพย์สิน และการสอบสวนผู้เกี่ยวข้อง -ทั้งภรรยานายนาจิบ, ลูกเลี้ยง (เป็นลูกติดของแม่ม่ายที่เป็นภรรยานาจิบ) และนายโจ โลว์ จนผ่านการตัดสินชั้นต้นไปก่อน แต่ขณะที่นายนาจิบได้อุทธรณ์ ก็มาเปลี่ยนรัฐบาลจากดร.เอ็ม มาเป็นนายกฯ คนใหม่จากพรรคอัมโน
ที่สำคัญในการอ่านคำพิพากษาครั้งนี้ ท่านผู้พิพากษาได้กล่าวแทงใจดำของนาจิบ และเป็นที่ฮือฮาในมาเลเซีย (และน่าจะกระเทือนถึงประเทศไทยด้วย) ว่า คำกล่าวของจำเลยว่า เขาทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของชาติ (National Interest) เพราะเขาเป็นคนตั้งกองทุน 1 MDB มากับมือ เขาบริหารกองทุนนี้อย่างระลึกตลอดเวลา เพื่อผลประโยชน์ของชาติเท่านั้น
ที่แท้จริง สิ่งที่จำเลยทำ-ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของชาติเลย-ตรงข้าม-จำเลยได้ทำทุกอย่างที่สร้างความอับอายแก่ชาติ-หรือสร้างความอัปยศอดสูให้แก่ชาติอย่างยิ่ง (เป็น National Embarrassment); ไม่ใช่เป็น National Interest!!)
การพิพากษาครั้งนี้ จำเลยได้รับฟังคำพิพากษาผ่านทางระบบ Zoom และกำลังเกิดการระบาดโรคโควิดอย่างหนักในมาเลเซีย
ฝ่ายนาจิบได้ให้สัมภาษณ์สื่อทันทีว่า เขาเจ็บปวดมากต่อการเปรียบเปรยจากศาลอุทธรณ์ในครั้งนี้
คงต้องรอฟังการตัดสินของศาลฎีกาต่อไปว่า จะยืนตาม 2 ศาลข้างต้นหรือไม่
ถ้าย้อนมาดูที่บ้านของเรา การพิจารณา (ของฝ่ายบริหาร) ในการลดโทษของ รมต.และผู้เกี่ยวข้องคดีคอร์รัปชันจำนำข้าว มีการลดโทษอย่างฮวบฮาบนี้ น่าจัดอยู่ใน National Embarrassment เช่นกัน