ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - “สึกแล้วได้อะไร”
นั่นคือคำถามที่มีความสำคัญยิ่งต่อการ “ลาสิกขาบท” ของ “ 2 พส.” ชื่อดังแห่งวัดสร้อยทอง “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” และ “พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต” ซึ่งก่อให้เกิดกระแสดรามามาอย่างต่อเนื่อง(แม้กระทั่ง “ทรงผม” หลังสึกก็เป็นดรามา) และไม่ใช่ดรามาธรรมดา หากแต่เป็น “ดรามาขั้นสุดแห่งยุทธจักรดงขมิ้น” กันเลยทีเดียว
ที่ได้แน่ๆ คือ “ทรัพย์ศฤงคาร” อันได้มาระหว่างอยู่ในสมณเพศ เพราะมีบัญญัติเอาไว้ชัดเจนในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1623 ว่า “ทรัพย์สินของพระภิกษุที่ได้มาในระหว่างเวลาที่อยู่ในสมณเพศนั้น เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็นภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้น เว้นไว้แต่พระภิกษุนั้นจะได้จำหน่ายไปในระหว่างชีวิตหรือโดยพินัยกรรม”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมาก็มีพระภิกษุจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะนำกลับไปใช้ส่วนตัว แต่ก็มีอีกไม่น้อยเช่นกันที่ตัดสินใจยกให้เป็นสมบัติของพระศาสนา ก็แล้วแต่ว่าจริตของพระภิกษุรูปนั้นๆ จะเลือกแบบไหน
เพียงแต่อาจจะมีประเด็นเกี่ยวเนื่องกับ “คุณโยมศรีสุวรรณ จรรยา” มากสักหน่อย เพราะมีวิวาทะอันดุเดือดเกี่ยวกับเรื่องทรัพย์สินอันได้มาระหว่างบวชที่ “นักร้อง” อย่างนายศรีสุวรรณ “พลาด” ในแง่มุมของกฎหมาย จนถูก “พระมหาไพรวัลย์” ฟาดกลับแบบไม่ยั้งและเลยไปถึง “ช่อง 7” ว่า “ลุงศรีแกจะโง่แล้วขยัน หรือโง่แล้วอวดฉลาดคนเดียว อาตมาไม่มีปัญหานะ แต่ทำไมช่อง 7 ต้องพลอยบื่อ พลอยบ้าจี้ตามลุงแกด้วย แล้วสื่อแบบนี้หรอ ที่สังคมจะฝากความประเทืองทางปัญญาอะไรด้วยได้”
หลายคนอาจมองว่า ข้อความดังกล่าวไม่เหมาะสมกับ “สมณสารูป” เป็น “โลกวัชชะ” หรือ “โลกติเตียน”ได้ แต่ถ้าหากใครติดตาม “อากัปกิริยา” ของ “พระมหาไพรวัลย์” ผ่านการโพสต์ ผ่านการให้สัมภาษณ์หรือผ่านการออกสื่อต่างๆ ทั้งในรูปของ “ภาษา” และ “อวัจนภาษา” ก็คงไม่แปลกใจอะไร เพราะ “ทรง” ดำเนินไปในร่องรอยนั้นอยู่แล้ว แต่ที่หนักสุดก็คือกรณีที่มีการ “โฆษณาสินค้า” ผ่านการไลฟ์สดที่ผู้รู้ในแวดวงสงฆ์ฟันธงว่า เข้าข่าย กุลทูสกสิกขาบท ซึ่งเป็นอาบัติสังฆาทิเสสข้อที่ 13 รวมทั้งดูเหมือนจะมี “อัตตาสูง” จนไม่เป็นที่แน่ชัดว่า จะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
สำหรับ “พระมหาไพรวัลย์” “ลาสิกขาบท” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการขนของออกจากกุฏิไปแล้วส่วนหนึ่ง เพียงแต่ไม่ได้บอกชัดด้วยตนเอง คือทำให้เข้าใจว่าเป็นเช่นนั้น และผ่านการเปิดเผยจาก “ศิษย์ผู้พี่ร่วมสำนัก” ซึ่งถ้าจะว่าไปก็น่าจะเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่จะสึกออกมา เพราะเป็น “ความงดงาม” สมควรที่จะ “อนุโมทนาสาธุ” ที่ “ท่านมหาเปรียญ 9 ประโยค” เลือกเส้นทางชีวิตสายใหม่ ส่วน “พระมหาสมปอง” บอกเอาไว้ว่าขอเวลาอีก 2 ปีถึงจะอำลาวงการตาม พส.ผู้น้อง ซึ่งเมื่อพินิจพิเคราะห์แล้วมีประเด็นที่น่าสนใจดังที่ตั้งคำถามมาข้างต้นว่า “สึกแล้วได้อะไร”
กรณี “พระมหาไพรวัลย์” การสึกเกิดขึ้นเพราะต้องการประท้วงที่ “พระราชปัญญาสุธี (อุทัย ญาโณทโย ปธ.๙)” รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดสร้อยทองรูปปัจจุบัน ไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาส หรือกล่าวง่ายๆ คือสึกเพื่อประท้วงความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นจาก “คณะสงฆ์ไทย” โดยเฉพาะ “สมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี(ธงชัย ธมฺมธโช)” หรือ “เจ้าประคุณสมเด็จธงชัย” ดังที่ “พระมหาไพรวัลย์” เคยเขียนจดหมายเปิดผนึกร่ายยาวเอาไว้ก่อนหน้านี้
คำถามมีอยู่ว่า การสึกของ “พส.ไพรวัลย์” นั้น นอกจากจะเป็นการรักษาสัจวาจาที่ได้ประกาศเอาไว้แล้ว จะก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมหรือมีความเปลี่ยนแปลงต่อ “คณะสงฆ์ไทย” ได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะทำให้ “เจ้าคุณอุทัย” ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดสร้อยทองอย่างที่ใจปรารถนาเช่นนั้นหรือ
คำตอบก็คงเป็นดังที่ “พระราชธรรมนิเทศ” หรือ “เจ้าคุณพระพยอม กัลยาโณ” แห่งวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี ให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “เป็นเพียงแค่การปิ้งปลาประชดแมว” เท่านั้น
“ครั้งแรกยอมรับว่า งงเหมือนกัน เพราะไม่คิดว่า พระมหาไพรวัลย์ จะประกาศสึกเร็วขนาดนี้ เพราะมีความสุขุม หนักแน่นมากกว่าพระมหาสมปอง แต่เชื่อว่า การสึกครั้งนี้ เป็นการประชดการปกครองของคณะสงฆ์ เปรียบเสมือนการหุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงปัญหาที่เกิดขึ้นในโครงสร้างการบริหารงานของมหาเถรสมาคมได้ แต่กลับเสียพระดี ๆ ไปถึง 2 รูป ซึ่งในอดีตเคยเป็นแบบนี้มาแล้ว”เจ้าคุณพระพยอมให้ความเห็นเอาไว้เช่นนั้น
ที่สำคัญคือ ถ้าจะว่าไปแล้ว การที่ “เจ้าคุณอุทัย” อาจไม่ได้เป็น “เจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง” ก็เพราะ “พระมหาไพรวัลย์” เป็นชนวนเหตุ ใช่หรือไม่
ถ้า “พระมหาไพรวัลย์” มีความยับยั้งชั่งใจและปรารถนาจะเห็นครูบาอาจารย์เป็น “หลวงพ่อ” หากหยุดคิดสักนิดสถานการณ์ก็อาจไม่มาถึงจุดนี้ ทว่า ท่านมหากับเลือกวิธีที่เสมือนกับ “การต่อรอง” ด้วย “ความอหังการ มมังการ” ใน FC จำนวนมากของตัวเองว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ปรารถนาได้
จริงอยู่ว่า ตำแหน่ง “เจ้าอาวาส”เป็นเรื่องสำคัญดังที่ “พระมหาไพรวัลย์” อธิบายไว้ เพราะสามารถให้คุณให้โทษกับพระลูกวัดได้ตาม “กฎหมายสงฆ์” แต่ถ้าพระลูกวัดมิได้ทำผิดกฎหมาย โดยมุ่งหน้าเผยแพ่ธรรมะและแสวงหาทางหลุดพ้น ก็คงไม่มีใครทำอะไรได้ และถ้าจะว่าไป “เจ้าคุณอุทัย” ก็มิได้เคยแสดงออกถึงเรื่องดังกล่าวให้เห็นแต่ประการใด ขณะที่ “พระศรีปริยัติสุธี (ปรีชา จิตฺตปริสุทฺโธ ป.ธ.๙)”ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสร้อยทอง ที่คาดว่าจะได้รับตำแหน่งนี้ ก็มิได้มีประวัติอะไรเสียหาย แถมยังเป็นพระที่มีความรู้และมีวัตรปฏิบัติน่าเลื่อมใสเช่นกัน
“ท่านเจ้าอาวาสไม่ได้เข้าข้างเรานะ ท่านไม่ชอบสไตล์เราด้วยซ้ำ ท่านเป็นคนหัวเก่า แต่ท่านก็บอกว่าให้ญาติโยมตัดสินเอง ประโยชน์โทษอันไหนมากกว่ากัน สำหรับท่าน ท่านกลางๆ ไม่ได้เข้าข้าง แต่ให้ญาติโยมดูเอง ถ้าดีมีประโยชน์ก็แล้วแต่ญาติโยม เดี๋ยวจะหาว่าท่านเข้าข้าง เห็นสำนักข่าวบางที่บอกเอือมระอา เจ้าอาวาสหนุนสอง พส. ซึ่งมันไม่ใช่ ท่านก็เป็นกลาง ท่านเมตตาเราแหละให้ญาติโยมตัดสินเอง”พระมหาสมปองเคยให้สัมภาษณ์เรื่อง “เจ้าคุณอุทัย” เอาไว้
แน่นอนว่า การพ้นจาก “สมณเพศ” คงทำให้ “พระมหาไพรวัลย์” ใน “เพศฆราวาส” สามารถแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่ โดยไม่อยู่ภายใต้แรงกดดันใดๆ หรือสามารถใช้คำว่า วิพากษ์แรงได้ดั่งใจในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นใน “ยุทธจักรดงขมิ้น” หรือเรื่อง “การเมือง” ซึ่งด้วยฝีปากที่กล้าและมีผู้ติดตามในโลกออนไลน์จำนวนมาก คงทำให้ “นายไพรวัลย์” สามารถดำรงความเป็น “ดาวฤกษ์”ในสังคมไทยได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญคือด้วยความรู้และความดังที่มีอยู่ คงไม่ทำให้ชีวิตของพระภิกษุผู้เคยอยู่ในผ้าเหลืองมาเป็นเวลา 18 ปี ต้องตกระกำลำบากแต่ประการใด ดังนั้น บรรดา FC คงไม่ต้องเป็นห่วง
ทั้งนี้ ถ้าติดตามเฟจเฟซบุ๊กของ “พี่มหา” ก็จะเห็นได้ว่ามีการเปลี่ยนชื่อที่คำนำหน้าว่า “พระ” เป็น “ไพรวัลย์” และต่อด้วย “วรรณบุตร” ซึ่งเป็น “นามสกุล”และมีคำอธิบายเอาไว้เสร็จสรรพว่า “ครูสอนพิเศษ/ครู” ทำให้คาดว่า หลังสลัดผ้าเหลือง “พระมหาไพรวัลย์”คงประกอบอาชีพเป็น “ครูสอนพิเศษ/ครู” ค่อนข้างชัดเจน รวมทั้งไปดูแล “โยมแม่”เป็นสำคัญเนื่องด้วยเป็นลูกคนเดียว
อย่างไรก็ดี ถ้าย้อนหลังไปฟังคำให้สัมภาษณ์ของ พส.ผู้พี่อย่าง “พระมหาสมปอง” ก็พอจะมีคำตอบยืนยันว่า พระมหาไพรวัลย์จะไม่ขอเกี่ยวข้องอะไรด้านการเมือง แต่อาจจะเคลื่อนไหวในฐานะนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนา
ส่วน “พระมหาสมปอง” มีประเด็นที่สังคมตั้งคำถามมากมาย โดยเฉพาะการประกาศล่วงหน้าว่าจะสึกในวันที่ 3 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งเป็นวัดเกิดครบ 54 ปีว่า มีเหตุผลกลใดอยู่เบื้องหลังการทอดเวลาออกไปเนิ่นนานถึง 2 ปี หรือไม่ อย่างไร
มีอะไรให้จัดการมากมายถึงขนาดต้องใช้เวลาถึง 2 ปีเชียวหรือ ซึ่งจับอากัปกิริยาแล้ว เหมือนกับว่า ไม่อยากสึกอย่างไรอย่างนั้น
และเรื่องนี้ เจ้าคุณพระพยอมแสดงความเห็นผ่านการให้สัมภาษณ์ในรายการ “เจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์” เอาไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า ทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธาเกิดขึ้น เพราะตอนนี้มีเสียงวิจารณ์มาเข้าหูแล้วว่า การประกาศล่วงหน้าแบบนี้ ยังไม่เต็มย่ามหรือเปล่า เพราะส่วนตัวแล้ว หากพระมหาสมปอง จะสึกก็สึกเลย ไม่ต้องประกาศล่วงหน้า นอกจากนี้ ยังกำหนดห่างถึง 2 ปีด้วย มันนานเกินไป แต่หลังจากนี้ คนจะขาดความเชื่อมั่น ศรัทธา เพราะส่วนตัวเคยเจอปัญหานี้มาแล้ว พอได้ยิน มันเจ็บปวดแทน
“ถูกแซวทันทีเลย แซวเสียหายด้วย ตุนยังไม่เต็มย่ามหรือไง คำนี้มันเสียหาย ไม่คุ้มกันเลย เจ็บปวดแทน”
ขณะที่พระมหาสมปองชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวว่า “เพราะต้องเรียน ทำงานและญาติโยมยังนิมนต์” พร้อมอธิบายเรื่องทรัพย์ศฤงคารว่า ไม่ได้มีเงินทองมากมายถึงขนาดนั้น
“ทั้งอาตมา ทั้งท่านไพรวัลย์ยินดีให้ตรวจสอบ พวกเราไม่มีปัญหาเรามีแต่หนี้สิน หากเราโชว์ จะมีคนบริจาคให้เราเยอะ”
กระนั้นก็ดี แม้ “พระมหาสมปอง” จะประกาศว่าจะสึกในอีก 2 ปี แต่ดูเหมือนว่า โอกาสที่จะ “ไม่สึก”ก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะหลังจากที่ได้มีการเผยแพร่บทสนทนากับ “นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์” หรือ “ส.ศิวรักษ์” ที่ให้บอกว่า “อย่าสึกล่ะ!” ซึ่งพระมหาสมปองก็โพสต์แสดงความคิดเห็นในเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า “ประโยคแรกเลย ท่านอาจารย์ปู่ ส.ศิวรักษ์สั่งมา จบข่าว อยู่ยาวสิครับท่านผู้ชม” ทำให้สังคมวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาว่าอาจเป็น “ทางลง” อันสวยงามก็เป็นได้
ที่สำคัญคือ เชื่อว่า “พระมหาสมปอง”ไม่ได้อยากสึกแต่ประการใด และเชื่ออีกเช่นกันว่า “พระมหาสมปอง” สามารถปรับตัวได้เมื่อเทียบกับ “พระมหาไพรวัลย์” ที่ตกผลึกทางความคิดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ทว่า ก็มีข่าวออกมาหลังการสึกของ “พระมหาไพรวัลย์” ก็มีกระแสข่าวออกมาอีกว่า “พระมหาสมปอง” จะสึกในวันที่ 2 ม.ค. 2565 โดยตรงกับวันเกิดแม่ แต่ไม่แน่อาจจะเร็วกว่าเดิมและได้แจ้งเลขาไปแล้วว่าให้รับงานแค่สิ้นปีนี้ก็พอ
อย่างไรก็ดี หลังประกาศว่าจะสึก พระมหาสมปองได้ให้สัมภาษณ์ถึงเส้นทางชีวิตในอนาคตกาลเบื้องหน้าว่า
“...จริง ๆแล้วที่เราท่องมาตั้งแต่สมัยเป็นสามเณร พระจะสึก เป็นเรื่องธรรมดา จริงๆ แล้วไม่ธรรมดาหรอก เป็นเรื่องที่น่าใจหาย ความในใจแล้วใจหายแต่พยายามใจดีสู้เสือ ก็พยายามรักษาอารมณ์ไว้ แต่จริงๆ แล้วใจหาย”
“มีหลายคนมาทาบทามให้ทำงานด้วย และมีหลายอย่างที่อยากทำ ทั้งงานพิธีกร งานข่าว นักพากษ์กีฬาฟุตบอล และนักแสดงตลก ที่มีคนมาทาบทามไว้บ้างแล้ว ส่วนตัวก็แอบสนใจงานทางด้านการเมือง เพราะหลายคนเอ่ยว่าตนเองเหมาะสม และตนเองก็สนใจหากมีใครมาทาบทามก็อาจจะพิจารณา เพราะเชื่อว่า จะสามารถช่วยเหลือคนได้มากกว่าปัจจุบัน ที่ทำอยู่ ยืนยันว่าจะได้เห็นตนเองในวงการการเมืองแน่นอน แต่ชีวิตอาตมาพลิกมาเยอะ ตั้งใจจะลาสิกขาหลายครั้งแต่มีเหตุการณ์พลิกผันมาตลอด ส่วนสาเหตุที่จะสึก มองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ของพระที่จะสึก ยืนยันว่าไม่มีแรงกดดันที่ไหนที่เป็นสาเหตุให้อยากสึก ทั้งตนเองและพระมหาไพรวัลย์ ไม่มีใครเก่งพอ และมีอำนาจเหนือพอที่จะทำให้เราสึกได้ ตั้งใจจะสึกด้วยตนเอง ใครที่คิดอย่าได้ภูมิใจ คิดว่าเป็นผลงานตัวเอง ที่สึกเพราะอยากสึกเองด้วย เหตุผลอื่นอาจเป็นแค่องค์ประกอบแต่การตัดสินใจเป็นของเราเอง”
เอาเป็นว่า คงต้องติดตามสถานการณ์ “ ดรามา 2 พส.” กันต่อไป
และแน่อนว่า วันนี้ คำว่า “พส.” ซึ่งกลุ่มวัยรุ่นนิยมใช้บนอินเทอร์เน็ต และสามารถแปลได้หลายความหมายด้วยกัน เช่น พี่สาว เพื่อนสาว พระสงฆ์ ฯลฯ ก็คงเพิ่มคำนิยามมาอีกหนึ่งนั่นก็คือ “พส.= พระสึก” ซึ่งสำนวนไทยบอกว่า “ฝนจะตก ขี้จะแตก พระจะสึก คนจะตาย ห้ามกันไม่ได้”.