xs
xsm
sm
md
lg

จากไวรัสโอไมครอนถึงความเป็นประชาธิปไตย

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


Christian Lindmeier โฆษกองค์การอนามัยโลก
ถึงแม้โฆษก “WHO” อย่าง “นายChristian Lindmeier” ท่านจะออกมาแสดงความคิด ความเห็น เมื่อช่วงวันศุกร์ (26 พ.ย.) ที่ผ่านมา ว่าไม่ถึงกับเห็นด้วยมากมายสักเท่าไหร่ กับอาการ “หูแหก-ตาแหก” ของผู้คนในระดับทั่วทั้งโลก ต่อการปรากฏตัว หรือการ “กลายพันธุ์” ระดับ “Super Mutant” ของท่านเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ ที่ได้รับชื่อเสียง เรียงนาม ว่า “โอไมครอน” (Omicron) โดยเฉพาะการสั่งระงับการเดินทาง การเข้านอก-ออกในของประเทศต่างๆ ที่อาจจะ “เร็วไป” หรือ “ด่วนสรุป” จนเกินไป ขณะที่ “WHO” นั้น...ยังต้องใช้เวลาอีกตั้ง 2-3 สัปดาห์ ถึงอาจพอรู้ได้ชัดๆจะจะว่าท่านเชื้อไวรัส “โอไมครอน” ตัวนี้ ท่านจะร้ายกาจ หรือเลวร้ายไปได้ถึงขั้นไหน...

แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่า “WHO” หรือ “W” ใดๆ ก็แล้วแต่ จะคิดเห็นไปในแนวไหนต่อแนวไหน แต่สำหรับประเทศลูกหลานกษัตริย์ดาวิดและโซโลมอน อย่างคุณทวดอิสราเอล ก็ไม่คิดจะรอท่า รอเวลาพิสูจน์ ชันสูตรใดๆ ต่อไปอีกแล้ว ชนิดอาจต้องถือเป็นชาติแรกของโลก ที่ตัดสินใจหวนกลับมา “ปิดประเทศ” แบบทั่วทั้งประเทศ ไม่คิดจะแง้มๆ เงื้อมๆ ไม่ยอมปล่อยให้มีช่อง มีรูใดๆ ได้โดยเด็ดขาด เป็นเวลา 14 วันเป็นอย่างน้อย ตามมติครม.ที่จัดให้มีการประชุมฉุกเฉินในกรณีดังกล่าวเมื่อช่วงวันอาทิตย์ (28 พ.ย.) ที่ผ่านมา แถมยังใช้ช่วงเวลาระหว่างอยู่ว่างๆ ประมาณ 2 สัปดาห์ ระดมผู้คนพลเมือง “ซ้อม” รับมือความพร้อมในการเผชิญหน้ากับ “สถานการณ์ฉุกเฉิน” ในระดับต่างๆ ไม่ว่าจากภายในหรือภายนอกประเทศ ตามแผนที่เรียกๆ กันว่า “Omega” แบบชนิดยังไงๆ...คงต้อง “ปลอดภัยเอาไว้ก่อน” นั่นแหละดี...

ส่วนยุโรปนั้น...ก็น่าจะ “แหกแล้ว-แหกอีก” ไม่ต่างอะไรไปจากคุณทวดอิสราเอลเขานั่นแหละ แม้ว่าไม่ถึงกับ “ปิดประเทศ” แบบชนิดแน่นสนิทติดทนนาน แต่การหันมาออก “มาตรการคุมเข้ม” ในลักษณะต่างๆ ก็ดูจะแพร่ระบาดไปทั่วทั้งทวีปยุโรปเอาเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นการหันไปปิดบ้าน ปิดเมืองในบางส่วน หรือปิดไปทั่วทั้งแผง อย่างเช่น ออสเตรีย ที่ถือเป็นชาติยุโรปชาติแรก ที่หวนกลับไปใช้มาตรการคุมเข้มในลักษณะดังกล่าว หลังจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งพรวดๆ พราดๆ เมื่อช่วงไม่กี่อาทิตย์ที่แล้ว ไม่งั้นก็ต้องหันมาบังคับผู้คนให้สวมหน้ากาก ให้เว้นระยะห่าง ไม่ก็ปิดบาร์ ปิดไนต์คลับ หรือกำหนดเวลาปิด-เปิดแหล่งชุมนุมต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องสนใจอีกแล้วว่า บรรดาพวก “นักประชาธิปไตย” ในยุโรป คิดจะ “ทะลุฟ้า-ทะลุแก๊ส” กันไปถึงขั้นไหน คือไม่ว่าจะออกมาจุดไฟเผารถ-เผารา ไล่ทุบอาคาร ร้านค้า ปาอะไรต่อมิอะไรใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน เพื่อสนองตอบต่อความปรารถนาและต้องการในการดูหนังโป๊เสรี (ประทานโทษ) ในการได้มาซึ่ง “เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ” ไปถึงขั้นไหน แต่เมื่อต้องเจอกับท่านเชื้อไวรัสโควิดทั้งตัวเก่าและตัวใหม่ แบบจะจะจังๆ ยิ่งเข้าไปทุกที การพับประชาธิปไตยใส่ตุ่มเอาไว้ก่อนพลางๆ ย่อมต้องถือเป็นข้อเท็จจริงอันมิอาจปฏิเสธได้...

คืออย่างน้อย...ก็คงต้อง “กันเอาไว้ก่อน” นั่นแหละ ถึงพอจะอุ่นอก อุ่นใจ ได้มั่ง เพราะโดยแนวโน้มการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ ในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง มันออกจะน่าเกลียด น่ากลัว น่ากังวลอยู่พอสมควร อย่างที่ผู้อำนวยการ “WHO” ประจำภาคพื้นยุโรป “นายHans Kluge” ถึงกับต้องออกมาฟันธงและฟันเฟิร์มเอาไว้เลยล่วงหน้า หรือตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกาฯ ที่ผ่านมานั่นแหละว่า ภายในอีก 3 เดือนข้างหน้า โอกาสที่ชาวยุโรปอาจต้องเด๊ดสะมอเร่ย์ อิน เดอะ เท่งทึงเพราะการระบาดของท่านเชื้อไวรัสไม่ว่าสายพันธุ์เก่า-สายพันธุ์ใหม่ก็แล้วแต่ อาจปาเข้าไปถึง 500,000 หรือกว่าครึ่งล้านรายเอาเลยก็ไม่แน่!!! เช่นเดียวกับผู้เชี่ยวชาญด้านโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจของเมืองจีน “นายZhong Nanshan” ที่ได้ออกมาให้ความคิด-ความเห็นเอาไว้ประมาณว่า แม้ว่า ณ ขณะนี้...ยังไม่มีใครรู้รายละเอียด ตื้น-ลึก-หนา-บาง ของเชื้อไวรัสตัวใหม่ อย่างท่าน “โอไมครอน” มากมายสักเท่าไหร่ แต่การ “คุมเข้ม” หรือการตั้งการ์ดให้สูงๆ เข้าไว้ ย่อมถือเป็นความจำเป็นในการรับมือกับแพร่ระบาดของเชื้อโรคดังกล่าว...

เพราะอย่างที่รายงานการศึกษาและวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยรวบรวมรายละเอียดของจำนวนประชากร มาตรการทางสังคม และกรรมวิธีในการเผชิญหน้ากับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสตัวนี้ ของบรรดาทีมงานวิจัยทางการแพทย์ของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง ที่ตีพิมพ์อยู่ในนิตยสาร “Chinese CDC Weekly” เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่าน ได้ระบุเอาไว้ชัดว่า...ถ้าหากประเทศจีน คิดจะรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสดังกล่าวแบบเดียวกับคุณพ่ออเมริกาแล้ว มาถึง ณ ขณะนี้ โอกาสที่บรรดา “กุมารจีน” จะต้องติดเชื้อในแต่ละวัน น่าจะปาเข้าไปไม่น้อยกว่าวันละ 637,115 คนเป็นอย่างน้อย หรือถ้าหากคิดจะรับมือแบบเดียวกับพวกผู้ดีอังกฤษ โอกาสที่กุมารจีนจะต้องถูกหามส่งโรงพยาบาล หรือต้องถูกกักตัวเพราะการติดเชื้อน่าจะไม่น้อยกว่าวันละ 275,793 ราย ด้วยเหตุนี้...การหันมารับมือด้วยมาตรการแบบจีนๆ หรือแบบที่ผู้เชี่ยวชาญอย่าง “นายZhong” ท่านสรุปเอาไว้ประมาณว่า ไม่ถึงกับต้องไปหูแหก-ตาแหก แต่ต้องพร้อมที่จะสร้างความเชื่อใจ ศรัทธา ความมั่นใจให้กับแนวนโยบายที่เรียกๆ กันว่า “โควิดเหลือศูนย์” หรือการเป็น “ประเทศปลอดโควิด” ย่อมถือเป็นสิ่งที่สอดคล้อง เหมาะสม กับประเทศจีน สังคมจีน อยู่แล้วแน่ๆ...

ส่วนประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮา...แม้ว่าท่านนายกฯ “บิ๊กตู่” ท่านออกจะสบายอก-สบายใจอยู่ตามสมควร กับการเปิดบ้าน เปิดเมือง เปิดประเทศ ชนิดใส่เสื้อพระราชทานถ่อไป “ลั้นลา” อยู่แถวๆ ชายหาดจังหวัดกระบี่ เมื่อไม่นานมานี้แต่จากข่าวล่า-มาเรือ เห็นว่า...ท่านก็ได้ตัดสินใจ “โพสต์” คำเตือน ในเรื่องการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่เอาไว้อย่างเป็นเรื่อง เป็นราว มิใช่น้อย แต่ก็ตามแบบฉบับไทยๆ ของหมู่เฮานั่นแหละ คือต้องออกไปทางขอร้องและวิงวอนให้เกิดความร่วมมือ-ร่วมใจในการระมัดระวังตัว ไม่ว่าในแง่ส่วนตัวหรือส่วนรวมก็ตามแต่ เพราะถ้าดันไปหูแหก-ตาแหกแบบใครเขา โอกาสที่ “รายได้หลัก” ของประเทศไทย ที่มีจำนวนปริมาณถึง 16 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี อันมีที่มาจากบรรดานักท่องเที่ยวและเดินทางทั้งหลาย คงหนีไม่พ้นต้อง “แห้วกระป๋อง” ไปอีกตราบเท่านาน...

อย่างไรก็ตาม...การที่ไม่จำเป็นต้องหูแหก-ตาแหกเหมือนผู้อื่น และไม่จำเป็นต้องเสียอก-เสียใจ ต่อการไม่ได้ถูกรับเชิญโดยคุณพ่ออเมริกา เหมือนอย่างอีก 110 ประเทศ ให้เข้าร่วมประชุม “Democracy Summit” ระหว่างวันที่ 9-10 ธันวาคมที่จะถึงนี้ ก็คงต้องถือเป็นเรื่องเหมาะสม สอดคล้อง กับความเป็นไทย หรือกระทั่งกับ “ความเป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆ” อยู่แล้วแน่ๆ เพราะแทบไม่จำเป็นอะไรเลย ที่ต้องไปดัดจริต ดัดจก้าน ตามคุณพ่ออเมริกาให้ต้องเสียรังวัด ไม่ก็อาจเสียหมา เสียสุนัข โดยใช่เหตุ คืออย่างที่เคยอุตส่าห์บอกเล่าเก้าสิบเอาไว้นานแล้วนั่นแหละว่า การประชุมสุดยอดประชาธิปไตยของคุณพ่ออเมริกาเที่ยวนี้ ท่านคงไม่ได้คิดจะสนับสนุน ส่งเสริม อะไรที่ดีๆ-งามๆ มากมายสักเท่าไหร่ แต่ท่านมุ่งที่จะอาศัยสิ่งที่เรียกว่า “ประชาธิปไตย” นี่แหละ เป็น “เครื่องมือ” ในการต่อสู้กับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างจีนและรัสเซียซะเป็นหลัก การได้รับเชื้อเชิญให้ไปเข้าร่วมประชุมคราวนี้ ก็จึงไม่ต่างอะไรไปจากการเชิญให้เข้าไปเป็น “เครื่องมือ” ของประเทศใด-ประเทศหนึ่ง ในการเล่นงานอีกประเทศหนึ่ง แบบโง่ๆ ทื่อๆ และดื้อๆ นั่นเอง...

หรืออย่างที่ใครต่อใครเขาว่าๆ เอาไว้นั่นแหละว่า...ประเทศอเมริกาทุกวันนี้ไม่ได้ปกครองกันด้วยระบบ “Democracy” แต่อย่างใด แต่หนักไปทาง “Plutocracy” หรือปกครองโดยกลุ่มคนรวย คนประมาณแค่ 1 เปอร์เซ็นต์ของประเทศนั่นแหละมากกว่า การอาศัยประชาธิปไตยเป็นข้ออ้าง เพื่อที่จะนำไปสู่การแบ่งข้าง แบ่งฝ่าย แบ่งโลกออกเป็น 2 ซีกแบบเดียวกับโลกทุนนิยม-โลกสังคมนิยม เมื่อยุค “สงครามเย็น” ที่ผ่านมา มันจึงแทบไม่ต่างไปจากความพยายาม “แปรรูปประชาธิปไตย” หรือ “Privatize Democracy” ดังที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน” ท่านสรุปเอาไว้นั่นเอง การไม่ได้รับเชื้อเชิญให้ไปเป็น “เครื่องมือ” ของมหาอำนาจชาติหนึ่ง-ชาติใด มันเลยไม่เห็นจะเสียหายที่ตรงไหน ไม่ได้ถูก “ตบหน้า” เหมือนอย่างที่บรรดาพวกประชาธิปไตยหลงยุคในบ้านเรา สรุปเอาไว้เลยแม้แต่น้อย กลับต้องถือเป็น “โชคดี” ของความเป็นไทย ที่ไม่เพียงยังไม่ต้องเจอกับเชื้อไวรัสร้ายๆ อย่าง “โอไมครอน” แล้ว ยังไม่ต้องเสียเวลาดิ้นรนจากการถูกลากให้เข้าไปเป็นเครื่องมือของ “แชมป์โรค” อย่างคุณพ่ออเมริกาซะอีกด้วยต่างหาก...


กำลังโหลดความคิดเห็น