xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

“คริปโตฯ” ร้อนแรงเกินต้าน “นายกฯลุง” หวั่นใจวัยรุ่นแห่ลงทุนสุดเสี่ยง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -  การลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลหรือคริปโตเคอเรนซี่ร้อนแรงขึ้นทั่วโลก หลัง Bitcoin Futures ETF จากบริษัท ProShares เข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก โดยเจ้าพ่อเทสล่า “อีลอน มัสก์” ยังคงเล่นบทผู้ทรงอิทธิพลนำปั่นกระแส พร้อมการยอมรับขยับเข้าร่วมวงของกองทุนจอร์จ โซรอส หนุนมูลค่าตลาดคริปโตฯพุ่งแตะระดับ 2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลาดคริปโตฯ ที่เติบใหญ่อย่างรวดเร็ว ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ หาช่องเร่งออกกฎหมายเข้าควบคุม แต่คงไม่ถึงกับเข้มข้นเช่นรัฐบาลจีนที่ประกาศแบนเด็ดขาด สำหรับประเทศไทย ขุนคลังสั่ง ก.ล.ต.หารือแบงก์ชาติกำกับการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล รับลูก “นายกฯลุง” ห่วง “เม่าน้อย” ตกเป็นเหยื่อความผันผวนที่สุดเสี่ยง หลังผลสำรวจคนไทยสนใจคริปโตฯ ติดชาร์ทอันดับที่ 11 ของโลก 

เมื่อเร็วๆ นี้ ดัชนีการจัดอันดับความสนใจคริปโตฯ ที่แพลตฟอร์มทรัพยากรสกุลเงินดิจิทัลของออสเตรเลีย Coinformant ทำการจัดอันดับประเทศที่มีความสนใจคริปโตเคอเรนซี่มากที่สุดในโลก โดยรวบรวมข้อมูลจากการใช้การค้นหาของ Google, ปริมาณการครอบครองคริปโตฯ, จำนวนบทความเกี่ยวกับคริปโตฯ และการมีส่วนร่วมในสกุลเงินดิจิทัล

 ผลปรากฏว่าประเทศไทยมีระดับความสนใจในคริปโตฯ อันดับที่ 11 ของโลก วัดจากจำนวนผู้ถือคริปโตฯ 3,629,713 ราย การมีส่วนร่วมในคริปโตฯ 4,878,407 ครั้ง ระหว่างปี 2020 - 2021 หรือเพิ่มขึ้นถึง 435% จากช่วงปี 2019-2020 จำนวนบทความเกี่ยวกับคริปโตฯเพิ่มขึ้นมาที่ 11,092 ชิ้น เพิ่มขึ้น 67.1% และอัตราการค้นหาเรื่องเกี่ยวกับคริปโตฯอยู่ที่ 484,090 ครั้ง เพิ่มขึ้น 438.5% 

 ขณะที่เมื่อแยกปัจจัยการจัดอันดับต่างๆ จะพบว่าไทยติดอยู่ในอันดับท็อปเท็น กล่าวคือจำนวนผู้ถือคริปโตฯ ไทยอยู่ที่ 9 ของโลก, การมีส่วนร่วม ไทยอยู่ที่ 6 ของโลก, จำนวนบทความและอัตราการค้นหาเรื่องเกี่ยวกับคริปโตฯไทยอยู่ที่ 6 ของโลกเช่นกัน สำหรับประเทศที่สนใจเรื่องคริปโตฯ มากที่สุด คือ อินโดนีเซีย ตามด้วยชิลีและอาร์เจนตินา ส่วนประเทศที่มีคริปโตฯ ต่ออัตราประชากรมากที่สุดคือ ยูเครน 12.73% ตามมาด้วยสิงคโปร์ 9.04% 

เทรนด์ความสนใจคริปโตฯของคนไทย ทำให้  “นายกฯลุง” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ส่งสัญญาณเตือนคนรุ่นใหม่ที่สนใจลงทุนคริปโตฯ เพิ่มขึ้น

Bitcoin futures ETF ของ ProShares เข้าตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์ก (NYSE) และได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม

ลุ้นกันต่อไปว่า เหรียญมีมน้องหมาโดชคอยน์จะส่ง “อีลอน มัสก์” เป็นเศรษฐีล้านล้านคนแรกของโลกสำเร็จหรือไม่
 โดย  นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า นายกรัฐมนตรี เป็นห่วงนักลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่วัยทำงาน หลังพบว่า มีเข้ามาลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่เป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ด้วยเหตุเพราะเข้าถึงได้ง่าย ใช้ระยะเวลาสั้น แต่ได้รับผลตอบแทนที่รวดเร็ว

รองโฆษกฯ ย้ำว่า นายกฯ ฝากเตือนให้พิจารณาถึงความเสี่ยงให้มากเนื่องจากคริปโตฯ ไม่มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ เป็นการเก็งกำไรและมีความผันผวนสูง ผู้ปกครองที่เปิดบัญชีให้เยาวชนต้องดูแลอย่างใกล้ชิด ผู้ลงทุนต้องเข้าใจความเสี่ยงสามารถยอมรับการสูญเสียเกือบทั้งจำนวนได้ ที่สำคัญ อย่าหลงเชื่อคำโฆษณา ต้องเลือกผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น

เมื่อ “นายกฯลุง” แสดงความห่วงใย นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จึงสั่งให้ นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล  เลขาธิการ ก.ล.ต. ไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับการกำกับสินทรัพย์ดิจิทัล คริปโตเคอเรนซี่ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายกำกับดูแลแล้ว แต่ยังมีหลายฝ่ายตั้งประเด็นสงสัยในบทบาทการกำกับดูแล ดังนั้นจึงต้องการให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต

“การลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นเรื่องใหม่ การกำกับดูแลก็ต้องชัดเจนด้วย แม้ว่า ก.ล.ต. และ ธปท.จะเคยคุยกันเรื่องบทบาทหน้าที่การกำกับดูแล้ว แต่กระทรวงการคลัง อยากให้ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางและบทบาทการดูแลผู้ลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล” นายอาคม เน้นย้ำ และบอกว่าขณะนี้มีผู้ประกอบการหลายรายมาขอใบอนุญาตทำธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลกับ ก.ล.ต. แล้ว ซึ่งการลงทุนคริปโตฯ เป็นไปตามเศรษฐกิจโลก รัฐบาลไทยไม่ได้ปิดกั้นการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเพียงแต่ต้องระมัดระวังในการลงทุน

 ปัจจุบันตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลในไทยเติบโตเป็นอย่างมาก โดยล่าสุดมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 65 ล้านล้านบาท และมูลค่าการซื้อขายในประเทศไทยทำจุดสูงสุดที่ 153,000 ล้านบาท 


ข้อมูลจาก ก.ล.ต. รายงานว่า มีจำนวนบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล 1.49 ล้านบัญชี เป็นบัญชีที่มีความเคลื่อนไหว 3.11 แสนบัญชี และมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันถึง 6.6 พันล้านบาท ในบางช่วงเวลามีนักลงทุนที่เป็นเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปี ประมาณ 3% วัยเริ่มทำงานอายุไม่เกิน 30 ปี ประมาณ 47%

ขณะเดียวกัน ยังพบว่าจำนวนบริษัทที่ให้บริการด้านการลงทุนขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งบางแห่งไม่มีใบอนุญาตตามพระราชกําหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ก.ล.ต.จึงขอเตือนประชาชนและผู้ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลให้ระมัดระวัง โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตได้ที่ www.sec.or.th หรือทางแอปพลิเคชัน “SEC Check First” หากมีข้อสงสัยหรือพบเบาะแสที่น่าสงสัย สามารถแจ้งได้ที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร. 1207 ผู้ที่ฝ่าฝืนหรือการกระทำเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลฯ จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ไม่เพียงแต่หน่วยงานรัฐของไทยที่พยายามเข้ามากำกับดูแลเพื่อคุ้มครองนักลงทุนในตลาดคริปโตฯ ที่ผันผวนสูงและมีความเสี่ยงมาก ล่าสุด สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงานว่า  เจเลนา แมควิลเลียมส์ ประธานร่วมสถาบันคุ้มครองเงินฝากสหรัฐฯ หรือ Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) เผยว่า รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจัดทำกฎระเบียบและแนวทางชัดเจนที่จะทำให้ธนาคารทั้งหลายเข้าไปทำธุรกรรมในสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าของธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขาย การถือครองไว้ในบัญชีงบดุลประหนึ่งสินทรัพย์ทั่วไปโดยมีเป้าหมายหลักเพื่อให้สินทรัพย์ดิจิทัลเหล่านี้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ

ขณะที่รัฐบาลจีน โดยธนาคารกลางของจีน ประกาศชัดเมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ให้การทำธุรกรรมโดยใช้สกุลเงินดิจิทัลผิดกฎหมาย และระบุว่าสกุลเงินดิจิทัลนั้นเป็นภัยต่อสินทรัพย์ของประชาชนผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย เช่นเดียวกันกับคณะกรรมการพัฒนาและปฏิรูปแห่งชาติจีน เร่งกระชับการปราบปรามการขุดสกุลเงินเสมือน (virtual currency) เช่น บิตคอยน์ ซึ่งใช้พลังงานมาก ปล่อยคาร์บอนสูง แต่มีส่วนส่งเสริมเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อย ส่วนการซื้อขายสกุลเงินคริปโตฯ ได้ถูกแบนในประเทศจีนมาตั้งแต่ปี 2562 เพื่อป้องกันการฟอกเงินและยับยั้งเงินรั่วไหลไปในต่างแดน

ส่วนรัฐบาลอังกฤษ ออกคำเตือนมาโดยตลอดถึงความเสี่ยงต่อหายนะ ล่าสุด นายจอน คันลิฟฟ์  รองประธานฝ่ายความมั่นคงทางการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ เตือนว่า สกุลเงินคริปโตเคอร์เรนซีอาจก่อให้เกิดหายนะทางการเงินทั่วโลกเทียบเท่ากับวิกฤตสินเชื่อซับไพรม์หากไม่มีการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เมื่อดูการเติบโตของตลาดอย่างรวดเร็ว จาก 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ เมื่อ 5 ปีก่อน ทะยานขึ้นสู่ระดับ 2.3-2.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปัจจุบัน คล้ายวิกฤตซับไพรม์หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งมีมูลค่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อปี 2551

แต่ถึงแม้จะมีเสียงเตือน ความห่วงกังวล แต่การแสวงหาความมั่งคั่งร่ำรวยมักเอาชนะความระมัดระวังเสมอ เห็นได้จากเม็ดเงินลงทุนในสกุลเงินดิจิทัลที่หลั่งไหลเข้ากองทุนคริปโตฯอย่างต่อเนื่องหลังจาก Bitcoin Futures ETF เข้าเทรดในตลาดหุ้นนิวยอร์ก เมื่องกลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

ไม่นับแรงปั่นกระแสของเจ้าพ่อเทสลา  “อีลอน มัสก์” ที่ออกมาทวีตตอบนักวิเคราะห์ของมอร์แกน สแตนเลย์ ที่ชี้ว่าอีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัทรถไฟฟ้ายอดฮิต เทสลา จะกลายเป็นเศรษฐีที่มีทรัพย์สินแตะล้านล้านดอลลาร์จากสเปซเอ็กซ์ ซึ่ง อีลอน มัสก์ ที่มีผู้ติดตามกว่า 61 ล้านคน มาทวิต ตอบว่า “เขาจะรวยล้านล้านแน่ แต่เป็นเพราะ “โดชคอยน์”  ซึ่ง Dogecoin เป็นเหรียญมีมที่ใช้สุนัขชิบะอินุเป็นสัญลักษณ์ ที่มัสก์ มักทวีตเดี๋ยวซื้อเดี๋ยวไม่ได้ถืออยู่เรื่อยๆ ปั่นราคาให้สกุลเงินดิจิทัลขึ้นลงผันผวนตามไม่ว่างเว้น

ปัจจุบัน มัสก์ ขึ้นแท่นคนรวยที่สุดในโลกอยู่แล้ว โดยอันดับ 2 คือ เจฟฟ์ เบโซส ผู้ก่อตั้งแอมะซอน ทั้งนี้ จากดัชนีเศรษฐีพันล้านของบลูมเบิร์ก มัสก์ มีสินทรัพย์สุทธิ 252,000 ล้านดอลลาร์

นอกเหนือจากการเข้ามาเล่นในตลาดคริปโตฯ ของ อีลอน มัสก์ ที่สร้างความร้อนแรงให้ตลาดมาโดยตลอดแล้ว บัด ดอว์น ฟิตซ์แพทริก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและซีไอโอ “กองทุนโซรอส”  ของ จอร์จ โซรอส มหาเศรษฐีนักลงทุนเจ้าของฉายาพ่อมดทางการเงิน กล่าวยอมรับในการให้สัมภาษณ์สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ว่ากองทุนได้เข้าไปลงทุนใน Bitcoin บ้างแล้ว หลังจากมีข่าวลือตั้งแต่ต้นปีว่ากองทุนโซรอส สนใจเข้าลงทุนในบิตคอยน์ ซีอีโอและซีไอโอกองทุนโซรอส ยังมองว่า บิตคอยน์ ไม่ใช่สินทรัพย์ที่มีไว้เป็นแนวป้องกันเงินเฟ้ออย่างเดียวแล้ว เพราะมูลค่าตลาดที่เติบโตขึ้น ทำให้สกุลเงินดิจิทัลขยับสถานะเป็นทรัพย์สินทางเลือกเพื่อการลงทุนแล้ว

สกุลเงินดิจิทัล ได้รับการยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ล่าสุด Mastercard ผู้ให้บริการชำระเงินผ่านบัตรชั้นนำของโลก อนุมัติให้พันธมิตรในเครือข่ายของมาสเตอร์ การ์ด ยินยอมให้ผู้ใช้งานสามารถซื้อ-ขาย และถือครองสกุลเงินดิจทัลผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล หรือดิจิทัลวอลเลต และอนุญาตให้ลูกค้าได้รับและใช้รางวัลเป็นสกุลเงินดิจิทัลแทนคะแนนสะสมได้ ซึ่งนับเป็นการขยายขอบเขตให้คริปโตเคอร์เรนซีมีพื้นที่อยู่ในระบบการเงินกระแสหลักมากขึ้น

ส่วนมุมองของแบงก์พาณิชย์ไทย นายวิน พรหมแพทย์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานลูกค้าไฮเน็ตเวิร์ธ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดมุมมองต่อตลาดคริปโตฯ เมื่อไม่นานมานี้ว่า ปัจจุบันนักลงทุนสถาบันที่เป็น Endowment fund เริ่มหันมาลงทุนในคริปโตฯ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคริปโตฯ เริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นในกลุ่มผู้ลงทุนสถาบัน เพียงแต่ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และถึงแม้คริปโตฯ จะมีแนวโน้มที่สดใส แต่ต้องยอมรับว่าทุกการลงทุนย่อมมีความเสี่ยง และความเสี่ยงของคริปโตฯ คือการประเมินมูลค่า

เขาบอกว่า ปัจจุบันยังไม่มีรายงานหรือเอกสารที่รับรองการประเมินมูลค่าของ Crypto Asset ได้อย่างแม่นยำ คล้ายกับการลงทุนในทองคำเมื่ออดีตที่ต้องผ่านความท้าทายและบทพิสูจน์จนกว่าจะเป็นที่ยอมรับอย่างมากในตอนนี้ นั่นหมายความว่าคริปโตฯ จะเดินตามรอยทองคำ และอาจจะเร็วกว่าด้วยซ้ำ

ส่วนปัจจัยเสี่ยงภายนอก เช่นการแบนธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลของจีน ผู้เชี่ยวชาญมองว่า มีผลต่อนักลงทุนบ้างแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับเทรนด์ของโลก เช่นเดียวกับการแบน Facebook ของจีน แต่แพลตฟอร์มนี้ยังแข็งแกร่งและมีผู้ใช้ทั่วโลก

แบงก์กรุงศรีฯ ยังชี้ให้เห็นแนวโน้มว่านักลงทุนสถาบันที่เคยเทคะแนนให้หุ้น หรือ Equity ได้เปลี่ยนมาสนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับ Blockchain และ Decentralized Finance (DeFi) มากขึ้น และยังพบสัดส่วนการบริหารพอร์ต โดยขยายการถือครองคริปโตฯ มากขึ้นกว่าเดิม

ผู้บริหารแบงก์กรุงศรีฯ ยังแนะนำว่า การลงทุนสกุลเงินดิจิทัลในพอร์ตของตัวเองไม่ควรเกิน 3-10% เป็นสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าสูงสุด โดยสามารถลงทุนได้ทั้งเหรียญและในอนาคตอันใกล้อาจมีโอกาสลงทุนผ่านกองทุน โดยคาดว่าเร็วๆ นี้จะมีการจัดตั้ง Crypto Fund ระดับโลก เพื่อให้นักลงทุนที่เป็นไฮเน็ตเวิร์ธเข้ามาลงทุน

ขณะที่คณะกรรมการความมั่นคงทางการเงินของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF ชี้ว่ากระแสความคลั่งไคล้คริปโตฯ ที่เพิ่มขึ้นทั่วทุกมุมโลก อาจกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินและกลายเป็นอัตราเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก

ไอเอ็มเอฟ เพิ่งออกชุดนโยบายสำหรับตลาดเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนาเพื่อให้มั่นใจถึงเสถียรภาพทางการเงินท่ามกลางการยอมรับคริปโตเคอเรนซีทั่วโลก โดยอ้างว่าธนาคารกลางเกินกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งโลกกำลังสำรวจวิธีการเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัลและข้อเสนอจากกลุ่มรวมทั้งผู้ร่างกฎหมายเพื่อใช้เป็นมาตรฐานสากลสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัล และเพิ่มความสามารถในการตรวจสอบคริปโตฯ เพื่อจัดการกับความเสี่ยงต่างๆ เช่น การแฮ็กข้อมูล ที่อาจเกิดขึ้น

 “.... เมื่อสินทรัพย์คริปโตเติบโตขึ้นในระดับระดับมหภาค แนวโน้มที่จะเกิดความเสี่ยงดังกล่าวจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้น” รายงาน IMF ระบุ 





กำลังโหลดความคิดเห็น