ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ก็เป็นอันว่า ประชาชนคนไทยคงได้เห็นกันแล้วว่า “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” ในศึกการเลือกตั้งครั้งต่อไปก็คือ “ลุงตู่-พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” และ “หลานอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โดยในฟาก “พรรคเพื่อไทย” นั้น สปอร์ตไลท์ฉายไปที่การเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร ชินวัตร” บุตรสาวคนเล็กของ “นายห้างดูไบ” ที่เข้ามาเป็น “ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม” ของพรรค ชนิดที่กลบเรื่องการเปลี่ยนตัว “หัวหน้าพรรค” จาก “เฮียพงษ์-สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” มาเป็น “นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว” จนหมดสิ้น เพราะนั่นหมายความว่า “อุ๊งอิ๊ง” ยืนหนึ่งแคนดิเดตนายกฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขณะที่ทางด้าน “พรรคพลังประชารัฐ” ก็ชัดเจนว่า “ผู้กองธรรมนัส-รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ยังได้รับความไว้วางใจจาก “ลุงป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรค ให้รั้งเก้าอี้ “เลขาธิการพรรค” ต่อไป ซึ่งถือเป็นความพ่ายแพ้ของ “2 ป.” คือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” ในสงครามยึดพรรคอย่างไม่อาจมองเป็นอื่นได้
แน่นอน สังคมเฝ้าจับตามองชนิดไม่กระพริบตาว่า ท้ายที่สุดแล้ว “ความสัมพันธ์” ระหว่าง “พี่น้อง 3 ป.” จะลงเอยอย่างไร “ลุงตู่กับลุงป๊อก” จะแยกออกไปตั้งพรรคใหม่ หรือจะมีปฏิบัติการอะไรในการทำสงครามยึดพรรคครั้งต่อไป
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เมื่อวิเคราะห์สถานการณ์โดยรวมแล้ว “คู่ชิงนายกรัฐมนตรี” คนต่อไปก็คงหนีไม่พ้น “ลุงตู่” กับ “หลานอิ๊ง” ร้อยเปอร์เซ็นต์
“ธรรมนัส” ยังเหนียวเลขาฯ พปชร.
“มันยังไม่หยุดอีกหรอ?” เสียงของผู้ชายร่างใหญ่โพล่งออกมาอย่างหัวเสีย
หลังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการโพลของบางมุ้งในพรรคพลังประชารัฐ จนทำเอา ส.ส.ขั้วตรงข้ามปั่นป่วนในช่วงสุดสัปดาห์ก่อน ที่เป็นดัง “ฟางเส้นสุดท้าย” ก่อนเปิดวอร์มรูมเล็ก รับฟังข้อมูลจาก 6 รัฐมนตรี กันกลางวันแสกๆ กลางศูนย์บริหารราชการแผ่นดิน
ทุกปัญหาที่เกิดน้ำมือ “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส.พะเยา และเลขาธิการพรรค กับเดอะแก๊ง ถูกขุดขึ้นมากลางวอร์มรูมย่อย กระทั่งไปถึง “วิธีการ”
มุกเดิมถูกหยิบยกขึ้นมา ใช้ยุทธวิธี “ผีเสื้อขยับปีก” ที่เคยเด็ด “4 กุมาร” อันประกอบด้วย อุตตม สาวนายน, สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์, สุวิทย์ เมษินทรีย์ และกอบศักดิ์ ภูตระกูล หล่นลงจากต้นสำเร็จมาแล้ว
เพียงแต่ติดปัญหา ตรงมันเกินพละกำลัง 6 รัฐมนตรี ได้แก่ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม “อนุชา นาคาศัย” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์” รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน และ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง จะลงมือเองได้ เพราะเป็น “คนนอกบ้าน”
และรู้ดีว่ากรรมการบริหารพรรคคนอื่น ไม่ยอมเซ็นใบลาออกตาม 6 รัฐมนตรีแน่ จึงต้องไหว้วาน “คนในครอบครัว” อย่าง 2 ป. “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ไปคุยกันเอง กับ “พี่ป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ จึงจะเพิ่มโอกาสความเป็นไปได้
6 รัฐมนตรีไม่มีเพาเวอร์มากพอ ต้องใช้ “แม่แรง” ในการยกเครื่อง “ค่ายลุงป้อม” พรรคพลังประชารัฐ
ปฏิบัติการ “ปฏิวัติพรรค” เริ่มนับหนึ่งในเย็นวันนั้น 2 ป. และ 6 รัฐมนตรี มุ่งตรงเข้าหา “นายใหญ่พลังประชารัฐ” เพื่อเล่าปัญหา ฝืนฝอยกันมาทุกตะเข็บกับวีรกรรมที่กลุ่มต่างๆ ถูกกระทำ จี้จุดไปที่เหตุการณ์ “กบฏรัฐบาล” หวังคว่ำ “บิ๊กตู่” กันกลางในสภาผู้แทนราษฎร ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจคราวก่อน
พร้อมกับข้อเสนอตัวโตๆ ต้องเขี่ย “ผู้กองนัส” พ้นแผงอำนาจในพรรค เพื่อหยุดปัญหาทั้งหมด ไม่อย่างนั้น “บิ๊กตู่” ทำงานลำบาก โดยเฉพาะเดือนหน้าที่มีการประชุมรัฐสภาสมัยสามัญ ซึ่งมีกฎหมายที่ชะตาผูกกับความเป็นความตายของรัฐบาลได้
ปล่อยให้มี “หอกข้างแคร่” ย่อมไม่ดีต่อเสถียภาพของ “ท่านผู้นำ” และรัฐบาล เป็นแน่
ขณะเดียวกัน ยังพูดกันตรงๆ ตอนนี้เสียงกรรมการบริหารพรรคที่พร้อมจะลาออกไม่ถึงกึ่งหนึ่ง หาก “บิ๊กป้อม” ไฟเขียว ทุกอย่างจบ
ว่ากันว่า “พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์” บ่น น้องๆ และลูกพรรค ที่เหมือนมายุยง บีบบังคับ แต่สุดท้ายโอเคเซย์เยส จะไปจัดการปัญหาเรื่องเสียงกรรมการบริหารพรรคให้
สัญญาณชัดตลอดทั้งคืน มีการไฟเขียวแผน “ปฏิวัติพรรคพลังประชารัฐ” จาก “3 ป.” รุ่งสางพร้อมเปิดปฏิบัติการได้ทันที กรรมการบริหารพรรคเซ็นใบลาออกรอไว้เลย
เช้าวันต่อมา กรรมการบริหารพรรคหลายคนได้รับการประสาน พร้อมสัญญาณรื้อโครงสร้างพรรคใหม่ที่ค่อนข้างแจ่มชัด หลายคนเซ็นใบลาออกตาม 6 รัฐมนตรี แผนสยบอหังการ “ผู้กองนัส” ขยับเข้าใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะที่ฝ่ายเสียประโยชน์ “ก๊วน 3 ช.” อย่าง “ผู้กองนัส” ที่อยู่ระหว่างพักผ่อนที่เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี กับครอบครัว เมื่อล่วงรู้ข้อมูลหลังสายลับส่งข้อมูลสะกิด รีบเก็บของบินกลับเข้าเมืองกรุง ควง “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรค มุ่งตรงเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อฯ ฐานบัญชาการของ “หลวงพ่อป้อม” ทันที
ไม่เพียงแต่ “ผู้กองนัส-มาดามแหม่ม” เท่านั้น ยังมีคีย์แมนคนสำคัญอย่าง “เสี่ยยักษ์” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ร่วมเปิดปฏิบัติการ “ต้านกบฏ” มุดเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อฯ ล็อกแข้งล็อกขา “บิ๊กป้อม” ด้วย
2 กล่องดวงใจ “บิ๊กป้อม” ร่ายมนต์คาถาเซฟเก้าอี้ตัวเอง ขณะที่ “เสี่ยปาน” สวมบทหัวหอกสายมวลชน ระดม ส.ส.เปิดเกมโต้ บลัฟอีกฝั่งว่า เป็นเพียงข่าวลือ เย้ยหยันด้วยว่า 6 รัฐมนตรีไม่ใช่เสียงส่วนใหญ่ของพรรค
ไม่เชื่อต้องเชื่อ ไม่รู้ “ผู้กองนัส-มาดามแหม่ม” ได้ของดีวัดไหน ทำ “บิ๊กป้อม” หลงลืมสัมพันธ์กว่า 50 ปีกับ “น้องป๊อก-น้องตู่” ตวัดตัว 360 องศา ต่อสายหากรรมการบริหารพรรคทุกคน ระงับปฏิบัติการ “ปฏิวัติพรรค” ของ 6 รัฐมนตรี อย่าเพิ่งมีใครเซ็นอะไร
คดีพลิกเกมเปลี่ยน “ฝ่ายก่อปฏิวัติ” ร้อนใจ เช้ามืดวันรุ่งขึ้น รีบพุ่งเข้ามูลนิธิป่ารอยต่อฯ ร่วมรับประทานอาหารกับ “บิ๊กป้อม” หวังกระตุกให้อย่าหวั่นไหวกับมนต์คาถา “นะจังงัง” พร้อมผลิตซ้ำข้อมูล “ผู้กองนัส” อยู่ต่อไม่ได้ เพราะรัฐบาลกับพรรคจำเป็นต้องเดินทางเดียวกัน
หาก “ผู้กองนัส” อยู่ “บิ๊กตู่” ก็ทำงานไม่ได้!
แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล “บิ๊กป้อม” หนักแน่น แม้ “ฝ่ายก่อปฏิวัติ” จะพยายามชี้ให้เห็น ถึงขั้นพูดว่า “มันเป็นกบฏนะครับนาย มันต้องการล้มนายกฯ พวกผมมีข้อมูล” ก็ตาม
ถึงขนาด “ฝ่ายก่อปฏิวัติ” งัดไม้ตาย หากดื้อแพ่งใช้งานแม่บ้านพรรคคนเดิม เกรงว่า “บิ๊กตู่” จะออกไปตั้งพรรคใหม่ ปัญหาจะยิ่งบานปลาย
แทนที่ “พี่ใหญ่” จะเห็นพ้อง กลับทุบโต๊ะพูดสวนกลับไปเลยว่า “นายกฯ ตั้งพรรคใหม่ กูก็เลิกเล่นการเมือง”
แกนนำบางคนถึงอึ้ง เกาหัวแกรกๆ เกิดอะไรขึ้น สงสัย “นายป้อม” คนที่คุยกับ 2 ป.และ 6 รัฐมนตรี เมื่อวันที่ 25 ต.ค. กับ “นายป้อม” ในวันที่ 27 ต.ค. ตกลงเป็นคนเดียวกันหรือไม่ ทำไมพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ
แถม “บิ๊กป้อม” ยังออกลูกตีมึน พลิกคำให้การในชั้นศาลด้วยว่า “วันนั้นพวกมึงรุมกู กูแค่นั่งฟังอย่างเดียว”
ขณะที่บรรยากาศการประชุมย่อยที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ ในเย็นวันที่ 27 ต.ค. หลังจากเกมเปลี่ยน “ผู้กองนัส-มาดามแหม่ม-เสี่ยยักษ์” พลิกจังหวะนรกได้สำเร็จ กลายเป็น “ฝ่ายก่อปฏิวัติ” ถูกรุกกลับบ้าง
งานนี้ต้องบอกว่า “เสี่ยยักษ์ โปรดักชั่น” จัดให้ จัดแบบสอบถามความต้องการของ ส.ส. เตรียมไว้ให้ทุกคนกรอกว่า ต้องการให้ใครเป็นหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค พร้อมกับระบายความในใจ เขียนด้วยลายมือ ไม่ต้องลงชื่อบอกตัวตน ให้ “บิ๊กป้อม” นั่งอ่านให้ทุกคนฟังเลย
เป็นไปตามคาด ในเมื่อฝ่ายกุมความได้เปรียบเป็นคนเตรียมการแผนนี้ สมาชิกไว้วางใจ “บิ๊กป้อม” เป็นหัวหน้าพรรค ไว้วางใจ “ผู้กองนัส” เป็นเลขาธิการพรรค
ผลออกมาอย่างกับคนจัด คนโหวต เป็นคนเดียวกัน!
ลากไส้กันเละ ส่อวงแตก แต่ยังไม่แยกทาง?
ในขณะที่ “ฝ่ายก่อปฏิวัติ” เละ โดนเอาคืน สมาชิกเขียนจัดหนัก “เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ” และ “เสี่ยโอ๋-ชัยวุฒิ”
ว่าเป็นรัฐมนตรีแล้วไม่ค่อยเอาใจใส่งานพรรค หรือพูดตรงๆ คือ ไม่ดูแล ส.ส. เป็นข้อกล่าวหาคลาสสิกสำหรับคนเป็นรัฐมนตรี
นอกจากนี้ เสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า “ผู้กองนัส” จัดหนัก “กลุ่มสามมิตร” ที่ไม่มีแกนนำโผล่มาประชุม
ว่าเป็นโจทก์ที่ไปยุยงปลุกปั่นให้มาโค่นตัวเองอีกดอก เรียกว่าตอบโต้กันหนักๆ หลังตัวเองกลับมากุมสภาพได้แล้ว
กระนั้นก็ดี วงประชุมย่อยที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ หนนี้ มีคนบอกว่า เดือดที่สุดนับตั้งแต่มีการจัดประชุมกันมา เพราะ “ฝ่ายก่อปฏิวัติ” แม้รู้ว่า เพลี่ยงพล้ำ แต่ยังกัดฟันเปิดฉากรบ ไม่สนผลกระทบหลังจากนี้
ฉายซ้ำให้เห็นกันกลางวัน ขบวนการโค่นล้มนายกฯ และรัฐมนตรีในศึกซักฟอกที่ผ่านมา “ชัยวุฒิ” ควงไมค์ หันไปบอก “ผู้กองนัส-วิรัช” โดยเฉพาะรายหลังที่ซี้ปึ้กกันมาตั้งแต่ทำวิปรัฐบาล “พี่กับผมกินข้าวด้วยกันทุกวัน ทำเพื่ออะไร ให้คนโหวตสวนทำไม”
แต่ไร้คำตอบจาก “ผู้กองนัส-วิรัช”
เช่นเดียวกับพวก ส.ส.ตัวเล็กตัวน้อยที่อยู่คนละฝั่งกับ “ก๊วน 3 ช.” นาทีนี้เลือดเข้าตา ไหนๆ ใกล้เลือกตั้ง ก็ขอแฉอีกก๊กให้เห็นว่า มีขบวนการ “อมเงินเพื่อน”
จบการประชุมหลายคนกรูเข้าไปหา “ชัยวุฒิ” ปรบมือให้กับความใจกล้า เพราะเป็นเรื่องที่หลายคนอึดอัด แต่ไม่มีใครกล้าพลีชีพ
แต่ในขณะที่ “บิ๊กป้อม” นั่งเงียบ ขอแค่อย่าทะเลาะกัน!
ดูแล้วยกนี้ “ผู้กองนัส-มาดามแหม่ม-วิรัช” อาจชนะ 2 ป. และ 6 รัฐมนตรี แต่ไม่น่าจะจบง่ายๆ น่าจะเป็นมหากาพย์กินระยะเวลาเป็นอีกสักพัก เพราะสังเวียนนี้ จบได้ด้วยการ “ชนะน็อก” เท่านั้น
“ผู้กองนัส” อาจชนะในระยะสั้น แต่ระยะยาวความได้เปรียบอยู่ในมือ “บิ๊กตู่” ในฐานะผู้ที่สามารถกดคอนโทรลกระดานการเมืองหลังจากนี้ได้
โดยเฉพาะปุ่ม “ยุบสภา” ที่เป็นอำนาจในมือ ถ้ามีการกดปุ่มก่อนเดือนกรกฎาคม เลือกตั้งยังต้องใช้บัตรใบเดียว หากต้องแยกทางไปตั้งพรรคใหม่ ด้วยความมีแสงในตัว เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มต้าน 3 นิ้ว “บิ๊กตู่” มีทุนหน้าตักมากกว่า “บิ๊กป้อม”
ชื่อ “ผู้กองนัส” หรือแม้แต่ “บิ๊กป้อม” ขายไม่ได้ในกติกาบัตรใบเดียว
เชื่อว่าหลักคิด “รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เราตาย” ยังคงเข้มขลัง
อาจจะกินแหนงแคลงใจกันอีกสักรอบ แต่เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ เคลียร์ใจ ปรับจูนกันง่ายกว่าน้ำ ดังที่ “ลุงป้อม” บอกหลังการประชุมพรรคจบลงว่า “ นายกฯ ก็ทำเรื่องของนายกฯ สิ เดี๋ยวจะมาว่าก้าวก่ายพรรคอีก” และยืนยันว่า “นายกรัฐมนตรีกับร้อยเอกธรรมนัสไม่มีปัญหาการทำงาน เพราะธรรมนัสเขาทำงานเรื่องพรรค”
ส่วนเมื่อถามว่านายกฯ จะสนิทใจแค่ไหนที่ต้องทำงานร่วมกับร้อยเอกธรรมนัส พลเอกประวิตร บอกว่า “ไม่มีอะไรหรอก”
ขณะที่ตัว “ลุงตู่” เองก็ตอบสั้นๆ ว่า “หึ้ย ไม่ละๆ พอแล้วๆ”
แน่นอนว่า คงต้องจับตาว่า จะเป็นไปตามนั้นหรือไม่
แต่ที่แน่ๆ ก็คือ สุดท้ายชื่อของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ก็จะยังยืนหนึ่งเป็นแคนดิเดตนายกฯ ของฝ่ายกุมอำนาจในปัจจุบันอย่างแน่นอน ดังที่ “เสี่ยยักษ์” บอกว่า “พรรคพลังประชารัฐสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดท บัญชีรายชื่ออันดับ1ของพรรค”
“ชลน่าน” ส้มหล่น หน.เพื่อไทย
ตัดภาพมาที่คู่แข่งสำคัญในสนามเลือกตั้ง “ค่ายดูไบ” พรรคเพื่อไทย ที่จุดพลุแคมเปญ “พรุ่งนี้ เพื่อไทย” มาระยะหนึ่ง
ก่อนได้ฤกษ์ปรับทัพขนานใหญ่เพื่อรับยุทธศาสตร์ใหม่ที่จะใช้ในช่วงก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า ผ่านการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 ที่ จ.ขอนแก่น เมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่าน
เป็นไปตามกระแสข่าวก่อนหน้านี้ กับการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจาก “เฮียพงษ์” สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ มาเป็น “หมอชลน่าน” ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. 5 สมัย จาก จ.น่าน
แม้หน้าฉากจะใช้เหตุผลเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของนายสมพงษ์ รวมทั้งต้องการเปิดโอกาสให้ “หมอชลน่าน” ที่มีภาพลักษณ์สอดรับกับแคมเปญใหม่ที่พูดถึงเรื่องอนาคตมากกว่านายสมพงษ์ที่วันนี้อายุเลข 8 นำหน้าก็ตาม
แต่ก็ไม่พ้นกระแสข่าวที่ว่า “นักรบห้องแอร์” แห่งพรรคเพื่อไทย ไม่พอใจการทำงานของนายสมพงษ์ ตั้งแต่ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรค และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ตั้งแต่หลังการเลือกตั้งปี 2562 เป็นต้นมา
มีการนำเรื่องไปหารือ และเสนอต่อ “แดนไกล” บ่อยครั้งถึงไอเดียการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรค กระทั่งมีการนัดหมายเพื่อประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งล่าสุด กระแสข่าวการเขย่าเก้าอี้หัวหน้าพรรคของนายสมพงษ์ก็ก่อตัวขึ้นอีกครั้ง โดยมีการปล่อยข่าวมาว่า หากนายสมพงษ์ไม่ตัดสินใจลาออก ก็จะให้กรรมการบริหารพรรคลาออกเกินกึ่งหนึ่งเพื่อ “ล้างไพ่” ให้มีการเลือกคณะกรรมการบริหารพรรค รวมถึงหัวหน้าพรรคคนใหม่
ที่สุด “สมพงษ์” ก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเพื่อให้ “บัวไม่ช้ำ น้ำไม่ขุ่น”
คำถามมีว่า เหตุใดหัวหน้าพรรคเพื่อไทยจึงเป็นชื่อ “หมอชลน่าน” คำตอบมีว่า ข้อจำกัดที่หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านที่มี ส.ส.มากที่สุด จะได้รับการโปรดเกล้าฯเป็น “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” โดยตำแหน่ง ดังนั้นหัวหน้าพรรคจึงต้องเป็น ส.ส.เท่านั้น
รวมทั้ง “สุทิน” ประธานวิปฝ่ายค้าน ที่เคยเป็นแคนดิเดตเดิม เริ่มไม่เป็นที่พึงใจของ “นักรบห้องแอร์” ซะแล้ว
ตลอดจนที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทย หรือสมัยที่ประสบความสำเร็จในนามพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน ก็ได้อานิสงค์จากคะแนนเสียงในพื้นที่ภาคอีสานก็จริง แต่ต้องไม่ลืมว่าพื้นเพ “ทักษิณ” และตระกูลชินวัตรมาจากภาคเหนือ จึงเห็นได้ว่าที่ผ่านมาพรรคภายใต้อิทธิพลของ “อ้ายษิณ” ถูกวางโพซิชั่นให้เป็น “พรรคคนเหนือ” มากว่าเป็น “พรรคคนอีสาน” มาตลอด
สเปกผู้นำพรรคจึงถูกขีดวงไว้ที่ภาคเหนือ ส้มจึงหล่นมาที่ “หมอชลน่าน” ที่เป็น ส.ส.น่าน ในพื้นที่ภาคเหนือมาหลายสมัย อีกทั้งมีบทบาทโดดเด่นในสภาผู้แทนราษฎรมาเบอร์ต้นๆ ของพรรคเพื่อไทย
อีกทั้งเลขาธิการพรรคคนปัจจุบัน ก็ยังเป็น “เสี่ยเสริฐ” ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา ที่มาจากภาคอีสาน หัวหน้าจึงไม่ควรจะเป็น ส.ส.อีสาน ที่อาจจะทำให้โพซิชั่นพรรคเพี้ยนไปเป็น “พรรคคนอีสาน” อีก
ชื่อของ “หมอชลน่าน” ถูกเคาะในช่วงกลางดึกก่อนถึงวันประชุมใหญ่ โดย “เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล แกนนำพรรคเพื่อไทย ที่เป็นคนสนิทของ “นายหญิง” คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภริยานายทักษิณ ได้รับประทานอาหารร่วมกับแกนนำ “กลุ่มแคร์” คือ “เสี่ยอ้วน” ภูมิธรรม เวชยชัย ที่ปรึกษาผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ, “หมอมิ้ง” นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช และ “หมอเลี้ยบ” นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี บนชั้น 12 ของศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.ขอนแก่น โดยได้มีการพูดคุยกันและได้ข้อสรุปว่าจะให้การสนับสนุน “หมอชลน่าน” เป็นหัวหน้าพรรค
โดยมีการย้ำว่า ได้รับไฟเขียวจาก “บ้านจันทร์ฯ” เป็นที่เรียบร้อยแล้วด้วย
“อุ๊งอิ๊ง” ยืนหนึ่งแคนดิเดตนายกฯ
หากแต่การลาออกของนายสมพงษ์ หรือการเปิดตัว นพ.ชลน่าน ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ ก็ถูกกลบซีนจนจมดิน เพราะในวันเดียวกันมีการเปิดตัว “อุ๊งอิ๊ง” แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวคนเล็กของ “นายห้างดูไบ” ที่เข้ามาเป็น ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม
สปอตไลท์ของการปรับโครงสร้างพรรคเพื่อไทย ที่ควรส่องไปที่ “หมอชลน่าน” หัวหน้าพรรคคนใหม่ และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ กลับส่องไปที่ “อุ๊งอิ๊ง” ที่มีฐานะเป็น “ลูกสาวเถ้าแก่”
เชื่อแน่ว่า การย่างเท้าเข้าสู่พรรคเพื่อไทย และถนนสายการเมืองอย่างเต็มตัวของ “อุ๊งอิ๊ง” คงไม่ใช่แค่การเข้ามาสร้างการมีส่วนร่วม หรือนวัตกรรม ตามชื่อตำแหน่งที่สวยหรูเท่านั้น
เพราะเลื่องลือกันหนาหูว่า “อุ๊งอิ๊ง” บุตรสาววัย 35 กระรัตของ “ทักษิณ” และ “หญิงอ้อ”คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยานายทักษิณ จะถูกวางตัวเป็น “แคนดิเดตนายกฯ” ของพรรคเพื่อไทยในการเลือกตั้งหนหน้าอย่างแน่นอน
ถือเป็นการสยบทุกความเคลื่อนไหว ภายหลังเกิดแรงกระเพื่อมอย่างรุนแรง ในการเพรียกหา “แคนดิเดตนายกฯ” หรือผู้ถือธงนำพรรคในการเลือกตั้ง ตามคลิปหลุดในงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิด “เฮียกรียง” เกรียง กัลป์ตินันท์ รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และประธานโซนอีสานใต้ ที่บ้านของ “เฮียเพ้ง” พงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล แกนนำพรรคเพื่อไทย
เป็นคลิปการสนทนาระหว่าง “เฮียเกรียง” กับ "ทักษิณ” ถึงโอกาสความเป็นไปได้ในการขอให้ “คุณหญิงพจมาน” มาเป็นผู้นำพรรคเพื่อไทย ซึ่งนายเกรียงอธิบายขยายความต่อว่า ต้องการให้ “หญิงอ้อ” มาเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรค หากใช่เป็นเพียงหัวหน้าพรรค
อย่างไรก็ดีแม้จะเป็นที่รับทราบว่า “หญิงอ้อ” จะมีบทบาทสำคัญในพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด แต่หากต้องออกมาอยู่ “เบื้องหน้า” คงไม่ยอม “เปลืองตัว” อย่างแน่นอน
ตามโจทย์ที่มีการกำหนดสเปกตายตัวว่า “คนชินวัตร” เท่านั้นที่จะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯของพรรคเพื่อไทย
หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยมีการพูดถึงชื่อ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ และสามีของ "เจ๊แดง" นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวของนายทักษิณ รวมทั้งยังเคยมีชื่อของ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน นักธุรกิจอสังหาริมทรัพยชื่อดัง รวมถึง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชาติ ซึ่งมีความสนิทสนมกับ “เจ๊ปู” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ น้องสาวนายทักษิณ
กระทั่งอีเว้นท์วันที่ 28 ต.ค.64 ก็มี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” กับชื่อของ “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร” ซึ่งถือเป็นการเปิดตัวในการทำงานการเมืองครั้งแรกของเธอ
“ในฐานะลูกของคุณพ่อ ไม่เคยลืมบุญคุณแผ่นดินไทย ไม่เคยลืมพี่น้องคนไทยที่ไม่เคยลืมท่าน และท่านปรารถนาอย่างมากที่จะกลับมาแผ่นดินไทยอีกครั้ง กลับมากราบผู้มีพระคุณ” คือคำกล่าวตอนหนึ่งของ “ลูกอิ๊ง” ในวันเปิดตัวกับพรรคเพื่อไทย
ยิ่งเมื่อวิเคราะห์คำพูดบางช่วงบางตอนอย่าง “ดิฉันตั้งใจอยากจะใช้ประสบการณ์ที่มี ตัวเองเป็นคนในเจนวาย ซึ่งจะใกล้ชิดกับคนเจนแซด และเพิ่งมีลูกที่อยู่ในเจนอัลฟา ที่สำคัญดิฉันก็ยังคอนเนคกับคุณพ่อ ที่เป็นเบบี้บูมเมอร์แบบทันสมัย ดิฉันคิดว่าอยากใช้ประสบการณ์ตรงนี้ที่มีมา อยากจะเข้ามาร่วมกับพรรคเพื่อไทย เพื่อพัฒนาโอกาสให้เด็กๆ คนรุ่นใหม่ได้มีความหวัง มีความฝัน และทำความฝันของเขาให้เป็นจริงขึ้นมา” ก็ยิ่งสอดรับกับสิ่งที่ “ผู้เป็นพ่อ” กรุยทางมาก่อนหน้านี้
ที่ต้องขีดเส้นใต้สองเส้นก็คือ เมื่อถามว่า หากมีโอกาสได้ทำงานการเมืองพร้อมจะทำหรือไม่ ซึ่งหมายความว่า พร้อมจะเป็น “แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี” หรือไม่
อุ๊งอิ๊งตอบว่า “เป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้ขอเป็นที่ปรึกษาพรรค ทำหน้าที่ให้ดีที่สุด เป็นก้าวแรก ขณะนี้ตื่นเต้น กลัวว่าจะทำได้ไม่ดี จึงขอทำหน้าที่ตรงนี้ให้ดีที่สุดก่อน”
ทั้งการเปิดตัว “คนชินวัตร” และภารกิจสำคัญที่ “อุ๊งอิ๊ง” ประกาศบนเวที เสมือนหนึ่งประกาศนโยบาย “พาทักษิณกลับบ้าน” อีกครั้ง
เป็นการตอกย้ำ “พรรคเถ้าแก่” ว่าที่สุดแล้วก็ไม่พ้นเรื่องของคน “ตระกูลชินวัตร” ฉากหน้าอาจป่าวประกาศ “พรุ่งนี้ เพื่อไทย หัวใจเพื่อประชาชน” แต่ก็รู้กันดีว่าแท้จริงแล้วเป็น “ชินวัตรคิด ชินวัตรทำ เพื่อชินวัตร” หรือ “วันนี้ พรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ ก็ชินวัตร”
ถือเป็นความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ต้องติดตาม ทั้งในพรรคพลังประชารัฐ และพรรคเพื่อไทย
และยังเป็นการโหมโรงการเลือกตั้งล่วงหน้าว่า หากไม่มีอุบัติเหตุชนิดฟ้าถล่มแผ่นดินทลาย คู่ชิงนายกฯในการเลือกตั้งหนหน้าคงหนีไม่พ้น “ลุงตู่”กับ “หลานอิ๊ง” อย่างแน่นอน.