คอลัมน์ : ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล
การเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของจีนนับว่ามีความหมายต่อจีนเป็นอย่างมาก ด้วยนับแต่ที่จีนเข้าสู่ยุคปฏิรูปในปี 1978 เรื่อยมา จีนพยายามที่จะนำเศรษฐกิจของตนให้มีส่วนร่วมกับเศรษฐกิจโลกให้ได้ แต่แม้เศรษฐกิจเวลานั้นจะเสรีมากขึ้น แต่ก็ยังมิอาจสลัดตนให้หลุดพ้นกรอบเศรษฐกิจสังคมนิยมไปได้หมด
เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะจีนเกรงว่าตนจะไม่ใช่รัฐสังคมนิยมอีกต่อไป
แต่เมื่อจีนได้เลือกแนวทางเสรีนิยมใหม่แล้ว การค้าเสรีจึงย่อมเป็นทางเลือกที่จีนไม่อาจหลีกหนีไปได้ ด้วยเหตุนี้ จีนจึงแสดงเจตจำนงที่จะเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกตั้งแต่ปี 1985 เรื่อยมา (ซึ่งเวลานั้นองค์การการค้าโลกยังใช้ชื่ออื่น มิได้มีชื่อดังปัจจุบัน) แต่การที่จะให้เจตจำนงของตนบรรลุผลนั้น ช่างเต็มไปด้วยอุปสรรค
และเหตุผลสำคัญก็มาจากการที่จีนยังมิอาจสลัดตนให้หลุดไปจากเศรษฐกิจสังคมนิยมไปได้นั่นเอง
จีนใช้ความพยายามสลัดตนให้หลุดจากเศรษฐกิจสังคมนิยมอย่างยากเย็น จนเมื่อจีนตัดสินใจปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจต่างๆ ในปี 1998 ไปแล้วนั้นเอง เศรษฐกิจจีนจึงมีความเสรีจนเป็นที่ยอมรับขององค์การการค้าโลก ดังนั้น พอถึงปี 2001 จีนจึงได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก หลังจากใช้ความพยายามอยู่นานถึง 15 ปี
เศรษฐกิจจีนจึงเป็นเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ มิใช่สังคมนิยมอีกต่อไป
หลังจากนั้นเรื่อยมาเราจะพบว่า เวลาผู้นำจีนเดินทางไปเยือนประเทศใดก็ตาม ผู้นำจีนมักมีวาระหนึ่งถือติดตัวไปด้วยเสมอ นั่นคือ ข้อตกลงการค้าเสรีที่จะทำกับประเทศที่ตนไปเยือน
อย่างไรก็ตาม การเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกของจีนก็มีต้นทุนที่จีนจะต้องจ่าย โดยเริ่มที่จีนจะต้องลดพิกัดภาษีศุลกากรรถยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าลงทันทีที่เป็นสมาชิก ในขณะที่การลดภาษีในส่วนอื่นๆ จะทยอยทำภายใต้เงื่อนเวลาที่จีนได้ทำไว้กับองค์การการค้าโลก และแล้วจีนก็บรรลุสู่เศรษฐกิจเสรีแทบจะเต็มที่ราวกลางทศวรรษ 2000
หากจะมีสัญญาณใดที่สะท้อนเศรษฐกิจที่เสรีของจีนแล้ว สัญญาณนั้นน่าจะเห็นได้จากการที่จีนได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกในปี 2008 ซึ่งจีนถือเป็นงานสำคัญที่จะต้องพิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นว่า จีนทำได้ แต่จะทำได้อย่างไรนั้นจะได้กล่าวถึงในท้ายบทความ
สิ่งที่จะกล่าวถึงก่อนมีอยู่สองเรื่องใหญ่ๆ ที่จีนต้องเผชิญในปี 2008 เป็นสองเรื่องที่เข้ามาท้าทายจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรื่องหนึ่งเกิดขึ้นโดยตั้งใจ อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ
เรื่องแรกคือ การลุกฮือขึ้นเรียกร้องอิสรภาพของชาวทิเบตในต้นปี 2008 อีกเรื่องคือ การเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่มณฑลซื่อชวน (เสฉวน)
อันที่จริงแล้วเรื่องแรกเป็นเรื่องเก่าที่เคยมีมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่การลุกฮือของชาวทิเบตมักจบลงด้วยการถูกรัฐบาลจีนปราบปรามได้สำเร็จ เพื่อให้เข้าใจปัญหานี้ตามสมควร ในที่นี้จะขอกล่าวถึงภูมิหลังที่มาของชนชาตินี้โดยสังเขป
ทิเบตมีคำเรียกขานในยุคโบราณว่า ถู่ฟัน คำนี้ชนชาติอื่นจะออกเสียงว่า ตูฟาน แต่ก็เป็นการเรียกด้วยความเข้าใจผิด เพราะที่ถูกแล้วออกเสียงว่า ถู่ปอ ทั้งนี้ก็เพราะคำในพยางค์ที่สองในปัจจุบันมักอ่านว่า ฟัน แต่ในอดีตอ่านว่า ปอ
คำเรียกที่ถูกต้องจึงคือ ถู่ปอ
ซึ่งใกล้เคียงกับที่ทิเบตเรียกชื่อรัฐเดิมของตนว่า ปอด (Bod) อันเป็นการออกเสียงภาษาจีนตามระบบพินอิน (pin-yin) แต่ถ้าอ่านตามอักขระอังกฤษแล้วจะออกเสียงว่า บอด อย่างหลังนี้ทำให้คล้องกับพยางค์ที่สองของคำว่า ทิเบต ในปัจจุบัน
เวลานั้นชนชาตินี้ขึ้นชื่อในเรื่องความดุร้ายและนิยมชมชอบในการรบราฆ่าฟัน โดยในศตวรรษที่ 6 ถึง 7 ถู่ปอที่อยู่รอบกรุงลาซาในปัจจุบันอยู่ใต้อำนาจของผู้นำเดี่ยว จนในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 7 บุตรที่สืบทอดอำนาจจากผู้นำคนแรกก็สามารถรวบรวมดินแดนทิเบตเข้าด้วยกัน
หลังจากนั้นทิเบตจึงเริ่มมีปัญหากับจีน
พอถึง ค.ศ.634 ทิเบตจึงได้ส่งทูตมาประจำพร้อมกับถวายบรรณาการให้จีน หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปีต่อมา ทิเบตทราบข่าวการอภิเษกระหว่างเจ้าหญิงจีนกับผู้นำชนชาติอื่น ผู้นำทิเบตก็ต้องการเช่นนั้นบ้าง จึงได้สู่ขอเจ้าหญิงจากจีน แต่ถูกจีนปฏิเสธด้วยเห็นว่า การสู่ขอดังกล่าวเป็นการสบประมาทและหยาบคาย
การปฏิเสธของจีนทำให้ทิเบตไม่พอใจ และเป็นเหตุให้ทิเบตยกทัพเข้าตีชายแดนจีนบริเวณมณฑลซื่อชวนในปัจจุบัน การถูกโจมตีครั้งนี้ทำให้จีนตระหนักว่า ตนกำลังมีเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งที่น่าเกรงขามเข้าแล้ว
แต่จะด้วยเหตุนี้หรือไม่ก็ตามที พอผู้นำทิเบตสู่ขอเจ้าหญิงจีนอีกครั้งหนึ่ง จีนก็ไม่ปฏิเสธอีกเลย
การผูกพันกันเช่นนี้ทำให้จีนกับทิเบตอยู่ร่วมกันอย่างสงบได้ 20 ปี ในขณะที่อำนาจของทิเบตมิได้ลดน้อยถอยลง การเป็นภัยคุกคามสำหรับจีนจึงยังคงอยู่ ภัยคุกคามที่ว่าแสดงผลให้เห็นในทศวรรษ 780 เมื่อทัพทิเบตได้บุกเข้ายึดมณฑลกันซู่และรัฐในอารักขาของจีน
เห็นได้ชัดว่า ทิเบตเป็นชาตินักรบที่แม้แต่จีนเองก็ยังยอมรับ ดังจะเห็นได้จากบันทึกฝ่ายจีนที่เล่าถึงการเป็นนักรบของชาวทิเบตเอาไว้ว่า “เสื้อเกราะของพวกเขาเยี่ยมยอด พวกเขาห่อหุ้มเรือนกายทั้งหมดไว้ในเสื้อเกราะ เว้นแต่เพียงลูกตาสองข้าง แม้แต่ธนูและมีดที่แหลมคมก็ไม่สามารถทำอันตรายได้มากนัก”
การเป็นนักรบนี้น่าจะเป็นแรงจูงใจให้จีนว่าจ้างทิเบตช่วยปราบกบฏในบางครั้ง แต่ก็ไม่ทราบว่าเพราะเหตุใดจีนจึงไม่ปฏิบัติตามสัญญา เช่นใน ค.ศ.786 เมื่อการปราบกบฏจบลง จีนกลับมิได้จ่ายค่าจ้างให้ทิเบตเต็มจำนวนตามสัญญา
จนเป็นเหตุให้ทิเบตบุกเข้ายึดเมืองตุนฮว๋าง ซึ่งเวลานั้นเป็นศูนย์กลางการปกครองด้านตะวันตกเฉียงเหนือของจีน และอีกแปดอำเภอในเฉลียงกันซู่ที่เคยเป็นของจีน ทิเบตปกครองดินแดนแถบนี้อย่างจริงจังและเป็นระบบ
ตราบจน ค.ศ.848 เมื่อทิเบตอ่อนแอลงจากปัญหาภายใน จีนก็สามารถขับไล่ทิเบตออกจากพื้นที่หรือดินแดนที่ว่านี้ไปได้ในที่สุด และนับแต่นั้นมาความสัมพันธ์จีน-ทิเบตก็เป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ เวลาใดที่จีนอ่อนแอ ทิเบตก็ประกาศตนเป็นอิสระ เวลาใดที่จีนเข้มแข็ง ทิเบตก็ตกเป็นของจีน
และในช่วงปลายราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644-1911) เรื่อยมาจนถึงยุคสาธารณรัฐ (ค.ศ.1912-1949) ที่จีนอ่อนแอ ทิเบตจึงวางตัวอิสระจากจีน ครั้นพรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจการปกครองได้ในปี 1949 ไม่นาน จีนจึงกรีธาทัพเข้ายึดครองทิเบตโดยเด็ดขาดอีกครั้งหนึ่ง โดยที่ชาวทิเบตเองมิได้เต็มใจที่จะอยู่ใต้การปกครองของจีน
การลุกฮือขึ้นเรียกร้องอิสรภาพจากจีนเมื่อต้นปี 2008 ก็ไม่ต่างกับการลุกฮือในปี 1959 หรือระหว่างปี 1987-1989 ที่ในที่สุดแล้วชาวทิเบตทั้งที่เป็นพลเรือนและพระภิกษุที่ลุกฮือต่างก็ถูกปราบ และทำให้จีนกลับคืนสู่ความสงบ พร้อมกับเดินหน้าไปสู่การจัดโอลิมปิกต่อไป
แต่ก็เหมือนกับความวัวยังไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก เพราะพอถึงเดือนพฤษภาคมปีเดียวกัน ก็ให้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เมืองเวิ่นชวน มณฑลซื่อชวน
หนุ่มจีนคนหนึ่งที่รอดชีวิตเล่าว่า เขาประสบกับแผ่นดินไหวเข้าอย่างจังขณะเดินทางกลับบ้านที่ซื่อชวน รถโดยสารที่กำลังแล่นอยู่ต้องหยุดจอดทันที ทุกคนต่างวิ่งหาที่หลบภัยที่คิดว่าจะปลอดภัย แล้วเขาก็เห็นตึกรามบ้านช่องพังพินาศ และเห็นชีวิตผู้คนในอาคารเหล่านั้นตกกระจายแต่ไกล เขาเล่าว่าภาพและเสียงนั้นช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก
ส่วนนักการทูตไทยอีกคนหนึ่งที่กำลังปฏิบัติงานอยู่ในเมืองเฉิงตู ที่ตั้งห่างจากเมืองเวิ่นชวนอันเป็นจุดที่เกิดแผ่นดินไหวราว 80 กิโลเมตรเล่าว่า แม้จะอยู่ห่างไกลขนาดนั้น แผ่นดินไหวก็สั่นสะเทือนมาถึงเมืองเฉิงตู ท่านเล่าว่า ในขณะที่หลบอยู่ใต้โต๊ะนั้น ท่านได้ยินเสียงกึกก้องของแผ่นดินไหว และการพังครืนของสิ่งปลูกสร้างกับวัตถุสิ่งของดังสนั่นหวั่นไหวจนสะท้านไปทั้งร่าง
แผ่นดินไหวครั้งนี้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 69,000 ราย โดยส่วนใหญ่คือผู้ที่อยู่ในซื่อชวน และมีผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ 374,176 ราย สูญหายอีก 18,222 ราย และไร้ที่อยู่อาศัยอีกอย่างน้อย 4.8 ล้านคน ตัวเลขเหล่านี้ทำให้เห็นว่า สิ่งที่จีนเผชิญหลังการลุกฮือของชาวทิเบตช่างไม่ต่างอะไรกับ “โรคซ้ำกรรมซัดวิบัติเป็น”
แต่จีนก็ผ่านเหตุการณ์และวิกฤตทั้งสองนั้นไปได้ และทำให้การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่มีขึ้นในเดือนสิงหาคมเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะพิธีเปิดที่อลังการงานสร้างนั้น จีนได้นำเอาวัฒนธรรมและสิ่งประดิษฐ์คิดค้นของตนตั้งแต่ยุคโบราณมานำเสนอ
แสงสีเสียงและการแสดงของนักแสดงนับร้อยนับพันเป็นฉากอันตระการตา สร้างความตื่นตาตื่นใจและตื่นตะลึงให้กับผู้คนทั่วโลกที่ได้ดูชม และนั่นก็คือสัญญาณที่จีนได้บอกแก่ชาวโลกว่า
ไม่มีจีนที่เป็นสังคมนิยมเมื่อวันวานนี้อีกแล้ว