ป้อมพระสุเมรุ
ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - รับ “ก้อนหิน” กันอีกคำรบ สำหรับผลงานของ “มือปราบโกง” อย่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดที่มี “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธานคนปัจจุบัน หลังที่ประชุม ป.ป.ช.มีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เสียงยกคำร้องกล่าวหา “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม น้องชาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ในคดีจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ กรณีนั่งเก้าอี้ปลัดกระทรวงกลาโหม และกรรมการ (บอร์ด) บริษัท ขนส่ง จำกัด (บขส.) ที่เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ กรณีมิได้แจ้งถือครองบ้านใน จ.พิษณุโลก
โดย “เสียงข้างมาก” 8 เสียงนั้นประกอบด้วย พล.ต.อ.วัชรพล, พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมการ, วิทยา อาคมพิทักษ์, สุวณา สุวรรณจูฑะ, พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง, ณรงค์ รัฐอมฤต, ณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา และ สุชาติ ตระกูลเกษมสุข
ตามรายงานข่าวระบุว่า มีเพียง สุภา ปิยะจิตติ เป็น “เสียงข้างน้อย” รายเดียว
ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงการทำหน้าที่ “มือปราบโกง” ของ ป.ป.ช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ พล.อ.ปรีชา มีสถานะเป็น “น้องนายกฯ”
และเมื่อมีการย้อนข้อกล่าวหา “ซุกทรัพย์สิน” และคำชี้แจงของ พล.อ.ปรีชา ก็ยิ่งทำให้สังคมระคนสงสัยว่า รอดได้ไง?
โดยข้อกล่าวหาว่า พล.อ.ปรีชา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเท็จและเอกสารประกอบ หรือปกปิดข้อเท็จจริงอันควรแจ้งให้ทราบ กรณีมิได้แจ้งถือครองบ้านใน จ.พิษณุโลก รวมถึงข้อมูลบัญชีเงินฝากของ “มาดามอู๊ด” ผ่องพรรณ จันทร์โอชา ภริยา
คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 เสียง ชี้ว่า พล.อ.ปรีชา ไม่ได้จงใจแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ เพราะเปรียบเทียบทรัพย์สินที่มีกับที่ไม่แจ้งห่างกันมาก เงินที่เอามาซื้อทรัพย์สินที่ไม่ได้แจ้ง เป็นเงินที่มีมาก่อนที่มีหน้าที่ต้องแจ้ง และเป็นเงินของ “ลูก” ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ซึ่งไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน
ขณะที่การไม่แจ้งบ้านและที่ดินต่อ ป.ป.ช.นั้น พล.อ.ปรีชา ชี้แจงว่า เนื่องจากขณะนั้นบ้านหลังดังกล่าว “ยังสร้างไม่เสร็จ” จึงเข้าใจผิดว่ายังไม่ต้องแจ้ง ดังนั้นเมื่อพิจารณาข้อเท็จจริงแล้ว ป.ป.ช. เห็นว่า พล.อ.ปรีชา ขาดเจตนาจงใจปกปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนีสิ้น รวมทั้งเมื่อตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดแล้ว ไม่ได้ทำให้ทรัพย์สิน พล.อ.ปรีชา งอกเงยผิดปกติ
นอกเหนือจากข้ออ้าง “บ้านสร้างไม่เสร็จ” ที่ไม่น่าจะฟังขึ้นแล้ว ยังมีประเด็นที่น่าสนใจหลายจุดทีเดียว ทั้งเรื่องกระบวนการของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ที่เมื่อเดือน มิ.ย. 2564 มีมติเอกฉันท์ 8 เสียง (ณรงค์ รัฐอมฤต ไม่ได้เข้าร่วมประชุม) แจ้งข้อกล่าวหาแก่ พล.อ.ปรีชา และมีมติให้กรรมการ ป.ป.ช.ทั้ง 9 คน เป็นองค์คณะไต่สวน
ต่อมาเมื่อวันที่ 7 ต.ค.64 คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติแจ้งข้อกล่าวหา พล.อ.ปรีชา และให้ผู้ถูกกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน จากนั้น พล.อ.ปรีชา เดินทางมารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมกับชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาดังกล่าว
ไม่ถึงสัปดาห์วันที่ 12 ต.ค.64 ที่ประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. นำวาระของ พล.อ.ปรีชาเข้าที่ประชุมเป็น “วาระจร” และมีมติเสียงข้างมากให้ตีตกข้อกล่าวหาดังกล่าว
จะเห็นได้ว่ากระบวนการรับทราบและชี้แจงข้อกล่าวหาของ พล.อ.ปรีชา ถึงการลงมติชuhขาดของ ป.ป.ช.ห่างกันเพียง 5 วัน อีกทั้งเมื่อรับฟัง “คำชี้แจง” ของ พล.อ.ปรีชา แล้ว ป.ป.ช.ก็สามารถตัดสินได้ทันที โดยไม่มีกระบวนการไต่สวนใดๆ ต่อ
ตลอดจนคำชี้แจงที่ว่า ใช้ “เงินของลูก” ในการสร้างบ้านหลังดังกล่าว แน่นอนว่าด้วยความที่ลูกบรรลุนิติภาวะแล้ว ไม่จำเป็นต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน แต่ “ลูกบิ๊กติ๊ก” ค่อนข้าง “พิเศษ” กว่าลูกคนอื่น
โดยบุตรชายของ พล.อ.ปรีชา 2 คน คือ “เสี่ยกบ” ปฐมพล และ “เสี่ยป้อม” ปฏิพัทธิ์ จันทร์โอชา มีประเด็นที่ตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงที่พ่อเป็น แม่ทัพภาคที่ 3 และมีลุงเป็นผู้บัญชาการทหารบก
เริ่มตั้งแต่ ห้างหุ้นส่วนจำกัด คอนเทมโพรารี คอนสตรัคชั่น (หจก.คอนเทมโพรารีฯ) แจ้งจดทะเบียนจัดตั้งในค่ายสมเด็จพระเอกาทศรถ ภายในกองทัพภาคที่ 3 และรับงานของกองทัพภาคที่ 3 หลายโครงการ วงเงินหลายร้อยล้านบาท
หรือหลังจากนั้น 2 พี่น้อง “กบ-ป้อม” ตั้งบริษัทร่วมกันอย่างน้อย 5 แห่ง และมีอย่างน้อย 3 แห่ง ได้แก่ หจก.คอนเทมโพรารีฯ, บริษัท บีวิช คาร์ เร้นทอล จำกัด และบริษัท พี-ไรท์แอนด์บริส จำกัด เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐหลายสัญญา ในรอบไม่กี่ปีที่ผ่านมา รวมวงเงินกว่า 1.1 พันล้านบาท
ถามว่า เมื่อ พล.อ.ปรีชา อ้าวว่าใช้ “เงินลูก” ในการสร้างบ้าน บวกกับประวัติของ “ลูกบิ๊กติ๊ก” ที่สื่อหลายแขนงขุดคุ้ยให้เสร็จสรรพ ผู้ที่พะยี่ห้อ “มือปราบโกง” ไม่จำเป็นต้องไต่สวนเชิงลึกใดๆ ต่อหรือ?
แล้วจริงๆ ในชั้น ป.ป.ช.ก็ยังค้างผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณี หจก.คอนเทมโพรารีฯ แจ้งจดทะเบียนจัดตั้งในกองทัพภาคที่ 3 และเป็นผู้ชนะการประมูลโครงการของกองทัพภาคที่ 3 หลายรายการ อยู่ด้วย
และย้อนไปก่อนหน้านี้ พล.อ.ปรีชา ก็เคยถูกกล่าวหาว่า จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) โดยในครั้งดังกล่าว พล.อ.ปรีชา กรอกตัวเลข “บัญชีเงินฝาก” ไม่ตรงกันในหน้าหลัก และในหน้ารายละเอียดของบัญชีทรัพย์สิน
โดยมี “เงินโผล่” ในบัญชีของนางผ่องพรรณ ที่มีการระบุในการยื่นบัญชีทรัพย์สินฯว่า “ไม่มีรายได้-ไม่ประกอบอาชีพ”
ครั้งนั้น ป.ป.ช.ชุดเดิม ที่มี ปานเทพ กล้าณรงค์ราญ เป็นประธาน ใช้เวลาแสวงหาข้อเท็จจริงกว่า 1 ปี ก่อนมีมติให้ข้อกล่าวหาตกไป โดยเห็นว่า การยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินดังกล่าว ถูกต้องทุกประการ และไม่จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จ
“พบว่ามีทรัพย์สินและหนี้สินถูกต้อง และมีอยู่จริงตามที่ผู้ยื่นได้แสดง” ถ้อยคำที่ระบุในคำแถลงของ ป.ป.ช.
กลายเป็นมาตรฐานที่ผิดแผกของ ป.ป.ช.ต่อคำนิยามว่า “ยื่นเป็นเท็จ” เพราะหลายกรณีที่ถูกชี้มูลและมีความปิด ก็เข้าข่าย “มี” แต่ “ไม่ยื่น” โดนสอยร่วงหลายต่อหลายราย ไม่ว่าจะเงินโผล่หลักร้อย-หลักพัน หรือบางรายลืมยื่นหนี้บัตรเครดิต ก็มีให้เห็นมาแล้ว
ผลการตรวจสอบคนในวงศ์วานของผู้มีอำนาจ ออกมาแบบ “ค้านสายตา” เช่นนี้ “องค์กรอิสระ” อย่าง ป.ป.ช.จึงไม่พ้นเจอข้อครหา
ที่คนลืมไม่ลงคงเป็นคดี “แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน” ที่มีการกล่าวหา “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ ป.ป.ช. มีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 3 เสียง ตีตกคำร้องดังกล่าวไป
นำมาซึ่งวลีประดิษฐ์ใหม่อย่าง “ยืมคงรูป” ที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังกันมาก่อน
ก็คงต้องพูดไปถึงคดีที่ “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กับพวกรวม 6 ราย กำลังถูกไต่สวนในกรณีลงนามในคำสั่งอนุมัติให้ บริษัท เคทีดี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกในเครือกระทิงแดง ใช้ที่ดินสาธารณะจำนวน 31 ไร่ ที่ขึ้นทะเบียนเป็น “ป่าชุมชน” เพื่อขยายเขตโรงงาน โดยตั้งประเด็นว่าไม่ทำประชาพิจารณ์กับชุมชนก่อน แต่กลับปรากฏในรายงานของกระทรวงมหาดไทยว่ามีการทำประชาพิจารณ์แล้ว
แม้คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะ “เล่นใหญ่” โดยมีมติให้คณะกรรมการชุดใหญ่ 9 คน เป็นคณะไต่สวน ตามคอนเซปต์คดีใหญ่
และว่ากันว่าคดี “บิ๊กป๊อก” และคดี “บิ๊กติ๊ก” เป็นหมากหนึ่งในเกมโค่น “นายกฯ ตู่” เมื่อไม่นานมานี้ จน “บิ๊กกุ้ย-วัชรพล” มีชื่อติดแบล็กลิสต์ของ พล.อ.ประยุทธ์
ทว่า เมื่อเกมชิงบัลลังค์ไม่สำเร็จ ผู้กุมอำนาจยังไม่เปลี่ยนมือ ธงที่ตั้งไว้ก็คงต้องเปลี่ยนไปด้วย
บทสรุปคดี “บิ๊กป๊อก” จะเป็นอย่างไรยังไม่ทราบ แต่พอ “บิ๊กติ๊ก” รอดแบบนี้ “บิ๊กป๊อก” ก็คงยิ้มแฉ่ง.