xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ยื้อไม่ไหว! โรงแรมอ่วมพิษโควิด ตัดใจขายกิจการทิ้ง-ปิดชั่วคราวเกือบ40% ที่ยังอึดเปิดบริการรายได้เข้าไม่ถึง10%

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ขบวนพาเหรดตีปี๊บเปิดประเทศไทยยังไม่ขลังอลังการพอที่จะดึงดูดและเรียกความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติหรือแม้แต่นักท่องเที่ยวชาวไทยออกท่องโลก เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ยังน่าห่วงกังวล ทำให้บรรดาเจ้าของโรงแรมที่ทนพิษความซบเซาจากโควิดไม่ไหวถอดใจขายกิจการทิ้งเกือบ 20% ส่วนอีก 14% ยังปิดกิจการชั่วคราว ส่วนอัตราการเข้าพักเริ่มโงหัวขึ้นบ้างเล็กน้อยแต่รายได้ยังต่ำเตี้ยเรี่ยดิน 

ตามรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการที่พักแรม Hotel business operator Sentiment Index (HSI) เดือนกันยายน 2564 ซึ่ง ธปท.ได้จัดทำร่วมกับสมาคมโรงแรมไทย จากผลสํารวจจากผู้ประกอบการที่พักแรม 225 แห่ง โดยมีที่พักซึ่งเป็น ASQ 25 แห่ง และ Hospitel 16 แห่ง ระหว่างวันที่ 9-26 กันยายน 2554 โชว์ตัวเลขผลสำรวจจากโรงแรมจํานวน 184 แห่ง (ไม่รวมโรงแรมที่เป็น ASQ และ Hospitel) พบว่า สถานะกิจการประมาณ 51% เปิดกิจการปกติ เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน จากโรงแรมในจังหวัดใกล้เคียงกรุงเทพฯที่กลับมาเปิดกิจการเป็นสำคัญ ขณะที่อีก 14% ปิดกิจการชั่วคราว เนื่องจากมองว่าอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำและต้นทุนในการดำเนินการสูง โดยส่วนใหญ่คาดว่าจะกลับมาเปิดกิจการอีกครั้งในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564

 สำหรับผลสำรวจโอกาสการขายกิจการ พบว่าผู้ประกอบการประมาณ 10% ตัดสินใจขายกิจการแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงแรมในจังหวัดท่องเที่ยวและเป็นโรงแรมขนาดกลาง และอยู่ระหว่างการประกาศขาย 8.0% และที่เหลือ 1.8% อยู่ระหว่างเจรจากับผู้ซื้อ ส่วนอีก 48% ยังคงไม่ขายกิจการ ขณะที่อีก 42.7% ยังไม่ตัดสินใจ  

นั่นหมายความว่า หากนับรวมเจ้าของกิจการที่ขายกิจการแล้ว, อยู่ระหว่างประกาศขาย และอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ซื้อ จะมีสัดส่วนเกือบ 20% และเมื่อรวมกับที่ยังปิดกิจการชั่วคราวอีก 14% รวมๆ แล้วจะเห็นว่ากิจการโรงแรมที่ได้รับพิษโควิด-19 อย่างจังและยังออกจากโหมดวิกฤตสุดๆ ไม่ได้มีสัดส่วนที่สูงมาก

ขณะเดียวกัน โรงแรมที่ยังเปิดให้บริการอยู่ก็ใช่แทบจะเรียกว่าประคองตัวให้รอดได้ยาก ถ้าหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังยืดเยื้ออยู่เช่นนี้ โดยตัวเลขอัตราการเข้าพักตามผลสำรวจในเดือนกันยายน 2564 พบว่าอัตราการเข้าพักเฉลี่ยอยู่ที่ 15.5% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนอยู่ที่ 10.6% โดยหากไม่มีกลุ่มที่รับลูกค้าตามโครงการ Sandbox และลูกค้าที่เข้าพักระยะยาวเป็นหลัก (ต่างชาติที่มาทำงานในไทย Workation และ Staycation) อัตราการเข้าพักเฉลี่ยจะอยู่ที่ 13% ขณะที่คาดการณ์อัตราการเข้าพักในเดือนตุลาคม 2564 จะทรงตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 16%

ในความเห็นของผู้ประกอบการ สัดส่วน 71% มองว่าผลของการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติต่ออัตราการเข้าพักแย่กว่าที่คาด แม้ว่าอัตราการเข้าพักของโรงแรมที่เปิดรับนักท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเฉลี่ยอยู่ที่ 18.4% แต่มีแนวโน้มทรงตัวในเดือนตุลาคม 2564 ซึ่งเป็นเดือนที่เริ่มเข้าสู่ช่วง High Season

แม้อัตราการเข้าพักจะโงหัวขึ้นบ้าง แต่รายได้ที่เข้ามายังถือว่าน้อยนิดมากๆ เมื่อเทียบกับสถานการณ์ปกติก่อนหน้าโควิด-19 โดยสัดส่วนโรงแรม 55% ของโรงแรมที่เปิดกิจการอยู่ทั้งหมด พบว่ารายได้ยังกลับมาไม่ถึง 10% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 และสัดส่วนอีก 21.1% รายได้กลับมาเพียง 11-30%

ประเด็นที่น่าห่วงอย่างยิ่งก็คือ หากดูสัดส่วนโรงแรมกว่า 61% มีสภาพคล่องลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า และอีก 53% มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจได้ไม่เกิน 3 เดือน มีเพียง 11% มีสภาพคล่องเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเข้าพักสูงกว่าค่าเฉลี่ย และรับลูกค้าที่เข้าพักระยะยาวเป็นสำคัญ

นั่นหมายความว่า ในสัดส่วน 53% ที่มีสภาพคล่องเพียงพอในการดำเนินธุรกิจได้ไม่ถึง 3 เดือนนั้น ก็สุ่มเสี่ยงที่จะมีปัญหาการเลิกจ้างและปิดกิจการชั่วคราวตามมาเมื่อเม็ดเงินหมุนเวียนในมือหมดลงและยังหารายได้ไม่เพียงพอต่อการเปิดดำเนินกิจการต่อไป

เมื่อดูการจ้างงาน รายงานของแบงก์ชาติ พบว่าผู้ประกอบการโรงแรมจ้างงานเฉลี่ย 54% ของช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งหากไม่รวมกลุ่มที่ปิดกิจการชั่วคราวจะเฉลี่ยอยู่ที่ 55% โดยสัดส่วนแรงงานที่ได้รับวัคซีนแล้วอย่างน้อย 1 เข็ม เฉลี่ยอยู่ที่ 82% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ 74% ถือเป็นตัวเลขการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นทุกภูมิภาค และสูงสุดในภาคใต้ที่ 94%

สำหรับข้อมูลสรุปผลสำรวจโรงแรม ASQ จำนวน 25 แห่ง พบว่าการฟื้นตัวของรายได้ฟื้นตัวได้ดีกว่ากลุ่มที่ไม่เป็น ASQ เล็กน้อย โดยมีเพียง 39% ที่รายได้ยังกลับมาไม่ถึง 10% การจ้างงานสูงกว่าโรงแรมทั่วไปเล็กน้อยเฉลี่ยที่ 58% อัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน และสูงกว่ากลุ่มที่ไม่เป็น ASO โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 26% และ 21% ในเดือนกันยายน 2564 และตุลาคม 2564 ตามลำดับ

ส่วนผลสำรวจ Hospitel จํานวน 16 แห่ง (ภาคกลางและภาคใต้) การฟื้นตัวของรายได้ไม่ต่างจากโรงแรมทั่วไปโดย 50% รายได้ยังกลับมาไม่ถึง 10% การจ้างงานสูงกว่าโรงแรมทั่วไปเล็กน้อยเฉลี่ย 62% และอัตราการเข้าพักลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน แต่ยังสูงกว่าโรงแรมทั่วไปโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 21% และ 22% ในเดือนกันยายน 2564 และเดือนตุลาคม 2564 ตามลำดับ

อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม ที่พัก ซึ่งซมพิษโควิด-19 มายาวนานจะร่วมสองปีแล้วนั้น ส่งผลสะเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อธุรกิจเกี่ยวเนื่องทั้งระบบ อย่างเช่นอุตสาหกรรมสายการบินทั่วโลกที่ยังคงขาดทุนยับเยินไม่แตกต่างกัน

 โดยล่าสุด สมาคมขนส่งทางอากาศระหว่างประเทศ (IATA) คาดการณ์ว่า ปี 2564 สายการบินทั่วโลกจะขาดทุนรวมกันทั้งสิ้น 51,800 ล้านเหรียญฯ มากกว่าที่คาดการณ์ไว้เบื้องต้นที่ 47,700 ล้านเหรียญฯ ส่วนในปี 2563 สายการบินทั่วโลกขาดทุนสุทธิ 137,700 ล้านเหรียญฯ มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 126,400 ล้านเหรียญฯ โดยคาดว่าปี 2565 ถึงจะเริ่มฟื้นตัวอย่างๆ ช้า แต่จะยังขาดทุนเกือบ 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ 

ผลจากแอร์ไลน์ต่างชาติที่ยังไม่ฟื้น กดดันให้ผลประกอบการของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. (AOT) ขาดทุนย่อยยับ และจำเป็นต้องทบทวนกรอบเงินกู้ใหม่เพื่อเสริมสภาพคล่อง โดย นายนิตินัย ศิริสมรรถการ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยว่า สถานะทางการเงินของ ทอท.ขณะนี้มีเงินสดเหลืออยู่ราว 1.1 หมื่นล้านบาท ลดลงจากช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีกระแสเงินสด 7.7-7.8 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะมีการทบทวนกรอบเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่องเพิ่มเติมจากกรอบที่เคยผ่านการเห็นชอบจากคณะกรรมการ วงเงิน 2.5 หมื่นล้าน ซึ่งคาดว่าจะเริ่มกู้เงินมาเสริมสภาพคล่องได้ในช่วงไตรมาส 1 ของปีงบประมาณ 65 คือช่วง ตุลาคม – ธันวาคม 2564 นี้

การประเมินสถานะการเงินซึ่งต้องดูไปพร้อมกับสถานการณ์การฟื้นตัวของปริมาณผู้โดยสารอย่างใกล้ชิดเพื่อประเมินผลตอบรับหลังการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้นั้น หลังจากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ได้เปิดให้สายการบินยืนยันเที่ยวบินเข้าไทยเมื่อวันที่ 7 กันยายน ที่ผ่านมา นายนิตินัย ระบุว่า ตารางบินฤดูหนาวซึ่งเริ่มต้นในเดือนตุลาคมนี้ ในส่วนของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีสายการบินยกเลิกตารางบิน แบ่งออกเป็น สายการบินสัญชาติไทย ยกเลิกประมาณ 42% สายการบินต่างชาติ ยกเลิก 80% เช่นเดียวกับท่าอากาศยานดอนเมือง เที่ยวบินสัญชาติไทย ยกเลิก 33% และสายการบินต่างชาติ ยกเลิกทั้งหมด 100%

 “แนวโน้มปริมาณผู้โดยสารไม่ดีตามที่คาดการณ์ไว้ เชื่อว่าใน ปี 65 ทอท.จะยังไม่ฟื้นแน่นอน เพราะโควิดยังหนัก เงินสดจะช็อตมากที่สุด เพราะมีแต่เงินไหลออกไม่มีเงินไหลเข้า เห็นได้จากปริมาณผู้โดยสาร 6 สนามบินที่ยังลดลงมาก ในเดือน ส.ค. ต่ำสุดวันละ 46 คน ต่ำอย่างไม่เคยมีมาก่อน รวมทั้งในปี 65 ทอท.ยังต้องนำเงินไปลงทุนด้านต่างๆราว 4.5 หมื่นล้านบาทอีกด้วย ....” นายนิตินัย กล่าว และคาดการณ์ว่าปี 2566 อุตสาหกรรมการบินน่าจะฟื้นตัว และ ทอท.จะสามารถหยุดการขาดทุนได้  

ก่อนหน้าเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทอท.มีรายได้ปีละประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาท รายจ่ายราว 3-4 หมื่นล้านบาท กำไรเฉลี่ยปีละประมาณ 2 หมื่นล้าน แต่นับจากปี 2563 ที่เกิดโควิด-19 ระบาดหนักจนบัดนี้ ทำให้ ทอท.ขาดทุนย่อยยับ โดย 3 ไตรมาสแรกของปี 2564 ทอท.ขาดทุน 1.1 หมื่นล้านบาท นับเป็นการขาดทุนครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ทอท.ที่ก่อตั้งมากว่า 40 ปี

อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ อาร์เอชบี มองหุ้น AOT ซึ่งทำนิวไฮในรอบ 4 เดือน เมื่อวันที่ 5 ตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งดีดทำจุดสูงสุดที่ 64.75 บาท ปริมาณซื้อขายเพิ่มขึ้น 157.96% จาก 5 วันทำการก่อนหน้าว่า เนื่องจากได้รับ Sentiment เชิงบวกจากการคลายล็อกดาวน์และการเตรียมเปิดประเทศของรัฐบาล ขณะเดียวกัน การแก้ไขข้อตกลงใช้ประโยชน์ในที่ราชพัสดุทั้งหมดที่ได้สิทธิเช่าดำเนินธุรกิจท่ากาศยานทั้ง6 แห่ง เป็นการปูทางสำหรับโครงการเมืองการบิน ช่วยหนุนมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น

 ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โรงแรม สายการบิน และเกี่ยวเนื่อง ซึ่งเป็นเสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจไทยที่ซมพิษโควิด-19 อยู่ในเวลานี้ต้องมีวันฟื้นไข้ หลังข่าวดีกำลังจะมียาที่ใช้สำหรับรักษาโรคโควิด-19 “โมลนูพิราเวียร์” ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และ ริดจ์แบค ไบโอเทอราพิวติกส์ ซึ่งเป็นความหวังของคนทั้งโลกในเวลานี้และเปลี่ยนเกมโควิด-19 ให้กลายเป็นโรคประจำถิ่นในอนาคตอันใกล้ 




กำลังโหลดความคิดเห็น