ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การเมืองในรัฐบาลยามนี้ก็ไม่ต่างจาก “Squid Game เล่น ลุ้น ตาย” ซีรีส์ระทึกขวัญชื่อดังจากแดนเกาหลี ที่ขึ้นแท่นเป็นซีรีส์ต้นฉบับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดตลอดกาลของเน็ตฟลิกซ์
ตามท้องเรื่องว่า การแข่งขันแบบไร้ปราณีที่เดิมพันด้วยชีวิต และมีผู้เหลือรอดได้เงินรางวัลเพียงคนเดียวเท่านั้น
ส่วน Squid Game เวอร์ชันการเมืองไทย คงต้องนิยามว่า “เล่น ลุ้น อำนาจ” อาจจะไม่ถึงกับเดิมพันด้วยชีวิต แต่ก็ “ไร้ปราณี” ไม่ต่างกัน
เพราะพลาดพลั้งเมื่อไหร่ก็มีอันต้องหลุดจากวงจรอำนาจ ที่ไม่ต่างจาก “ตายทั้งเป็น”
ที่สำคัญคือ ทุกความเคลื่อนไหวในยามนี้ดำเนินไปอย่างน่าหวาดวิตกว่า “พี่ป้อม” กับ “น้องตู่” กำลัง “เล่น ลุ้น อำนาจ” กันอย่างไม่มีใครยอมใคร แม้ฉากหน้าจะแลดูว่ามีการปรับระดับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องแล้วก็ตาม
ทั้งนี้ ประเด็นที่ถูกจับตา “เกมเล่น ลุ้น อำนาจ” ยังคงดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
โดยเรื่องแรกก็คือ “เกมเล่น ลุ้น อำนาจ” ในการกำกับ 4 หน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งในที่สุดก็จำต้องตีธงถอย และเป็นการถอยที่ซ่อนสัญญะทางการเมืองระหว่าง “พี่น้อง” อย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือคำสั่งมอบหมายให้ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กำกับ 4 หน่วยงาน ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เซ็นฉับประกาศไว้เมื่อหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อังคารที่ 28ก.ย.64 มีผลได้ไม่ถึง 168 ชั่วโมงดี อังคารถัดมา
ก็ต้องเซ็นประกาศยกเลิกคำสั่ง ย้อนกลับไปใช้คำสั่งมอบหมาย และมอบอำนาจฉบับเดิมเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 แทน
งานนี้มองตามเหลี่ยมการเมือง “นายกฯตู่” ย่อม “เสียผู้ใหญ่” เต็มๆ ที่ออกลีลายึกยัก ชักเข้าชักออก อีกครั้ง
ด้วยก่อนหน้านี้ก็มีเหตุการณ์ในทำนองเดียวกัน เมื่อมีคำสั่งมอบหมาย “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในขณะนั้น ดูแลพื้นที่จังหวัดสงขลา นครศรีธรรมราช และภูเก็ต ที่เป็น “ไข่แดง” ของ “ค่ายสะตอ” พรรคประชาธิปัตย์
จน “เสี่ยอู๊ด” จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ต้องออกมาโวยวายเสียงดัง ที่สุด “ประยุทธ์” ก็ต้องยกเลิกคำสั่ง
ครั้งนี้ก็เช่นกันที่ “ค่ายสะตอ” เจ้าของสัมปทานเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ต้องส่งขุนพลเรียงหน้าออกมาโหวกเหวกโวยวายไม่พอใจการมอบหมายงานข้ามหน้าข้ามตากันแบบนี้
โดยเฉพาะ “เสี่ยอู๊ด” หัวหน้าพรรคสีฟ้าก็ฟาดแรง พรรคพลังประชารัฐควรจะเร่งแก้ปัญหาภายใน อย่าทำให้กระทบกับการทำงานในภาพรวม แปลไทยเป็นไทย จะตีกันอย่าให้มันเดือดร้อนบ้านอื่น
จน “บิ๊กตู่” มี “ข้ออ้าง” ในการถอนคำสั่ง
ที่ว่ามี “ข้ออ้าง” ก็เอาเข้าจริง “บิ๊กตู่” เองก็ “ไม่ยินดี” ที่จะมอบให้ “บิ๊กป้อม” ไปกำกับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ 1.กรมพัฒนาที่ดิน 2.กรมฝนหลวงการบินเกษตร 3.สำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร (ส.ป.ก.) และ 4.องค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อตก.) เท่าไหร่
ถึงจะเป็นอำนาจที่ “นายกฯ” ทำได้ก็จริง แต่ไม่พ้นปม “มารยาท” ของการอยู่ร่วมกัน กติกานี้ทุกพรรครู้ กระทรวงใครกระทรวงมัน ไม่ก้าวก่าย แทรกแซงกัน แม้แต่กระทรวงที่มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเป็นคนของพรรคพลังประชารัฐ หรือพรรคภูมิใจไทย รองนายกรัฐมนตรีจากพรรคประชาธิปัตย์ก็ไปจุ้นจ้านไม่ได้ แม้จะมีคนของตัวเองนั่งอยู่ในรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงก็ตาม
ที่สำคัญรู้ทั้งรู้ว่า เหมือนปลุก “ผู้กองนัส” ที่เป็น “หอกข้างแคร่” ของตัวเองในตอนนี้ ให้ฟื้นมามีเอี่ยวในฝ่ายบริหาร ทั้งที่เป็นคนปลดจาก รมช.เกษตรฯ เองกับมือ
เพราะเท่ากับมอบกรมกองในอาณัติเดิมให้ “ผู้กองนัส” ทำหน้าที่ “รัฐมนตรีเงา” โดยใช้ชื่อ “บิ๊กป้อม” บังหน้าเท่านั้น
แต่ที่ต้องเซ็นให้แบบเสียไม่ได้ ก็เพราะเป็นรีเควสจาก “พี่ป้อม”
หลังเซ็นคำสั่งก็เลยมี “ไอโอ” ออกมาขยี้ไม่เลิกว่าคำสั่งนี้ผิดทั้งขึ้น-ทั้งล่อง ทั้งมารยาททางการเมือง ตลอดจนมุมทางกฎหมาย เรื่อยไปถึงขั้นขัดรับธรรมนูญ บวกกับเสียงโวยไม่เลิกจาก “ค่ายสะตอ”
สารพัดเหตุผล สารเพข้ออ้าง ก็เลยมีน้ำหนักให้ “พี่ป้อม” เห็นว่าไปไม่ไหว ต้องถอยคำสั่ง ไม่งั้นวุ่น ทำให้ “บิ๊กตู่” สามารถกลับตัว 360 องศา เขียนด้วยมือลบด้วยเท้า ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
กรณีนี้เป็นประจักษ์พยานหลักฐานชิ้นสำคัญอีกจุดที่ตอกย้ำให้เห็นว่า ลิ่มความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐ ระหว่าง 2 ป. “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” มันยังไม่ได้สลายหายไปเหมือนที่พยายามสร้างภาพคล้องแขนกอดคอแน่น แต่ยังมีรอยปริร้าวกันอยู่
จริงอยู่ ทั้ง “พี่ป้อม-น้องตู่” อาจรวมไปถึง “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พี่รองแห่งขุมข่ายอำนาจ 3 ป. จะประสานเสียงในทำนองเดียวกันว่า “อยู่ด้วยกันมา 50 กว่าปีไม่มีทะเลาะ รักกัน ต้องตายจากกันถึงจะเลิกรักกัน”
แต่ต้องบอกว่า “บริบท” ในวันนี้ต่างจากในอดีตพอสมควร จากเดิมที่ “พี่ป้อม” รับบท “พี่ใหญ่ ผู้มีแต่ให้” อุ้มชูหนุนส่ง “น้องป๊อก-น้องตู่” จนได้ดิบได้ดี ถึงปลายทางผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ทั้งคู่
แล้วยังเป็น “นั่งร้าน” มีส่วนสำคัญในการอุ้มชู “น้องตู่” เข้าป้ายนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง 2562 อีกด้วย
จะเห็นได้ว่าความสัมพันธ์ 3 ป.เป็นความสัมพันธ์แบบเกื้อหนุน-พึ่งพาอาศัยกัน โดยเฉพาะ “น้องตู่” น้องสุดท้ายที่พูดได้เต็มปากว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้”
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเป็นนายกฯหลังการเลือกตั้ง 2562 เป็นต้นมา จะเห็นได้ว่า “บิ๊กตู่” เริ่มที่จะอยากยืนบนลำแข้งตัวเอง พึ่งพา “พี่ป้อม” ให้น้อยที่สุด ค่อยๆ คืบคลานริดลอนอำนาจของ “บิ๊กป้อม” มาเรื่อยๆ
เห็นชัดจากอำนาจในฝ่ายบริหาร ที่เดิม “บิ๊กป้อม” ถือเป็น “บิ๊กบราเทอร์ส” โดยแท้ อำนาจเต็มไม้เต็มมือ คุมโผ “ทหาร-ตำรวจ” แทบจะเบ็ดเสร็จ มาวันนี้กลายเป็น “ขาลอย” ในฝ่ายบริหาร ไม่ได้คุมทั้งกองทัพ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ที่เห็นๆ หยิบจับงาน ก็มีแต่ดูการบริหารจัดการน้ำ หรือกิจการดาวเทียม ที่ไม่ใช่แนว “พี่ใหญ่”
ด้วยข้ออ้างที่มีน้ำหนักอย่างการที่ “พี่ป้อม” ต้องแยกร่างไปทำพรรค โดยการไปเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ คุมเกมในสภาผู้แทนราษฎร
รู้ตัวอีกที “ลุงป้อม” ก็นั่ง “กลืนเลือด” อยู่ที่มูลนิธิป่ารอยต่อฯ แล้ว
แต่ก็จะเห็นได้ว่า “น้องตู่” ยังมีความเกรงใจ ไม่ถึงขั้นตัด “พี่ป้อม” ออกจากวงจรอำนาจ แม้จะมีแรงยุให้ถีบส่ง “บิ๊กป้อม” ที่นับวันยิ่งดูจะหมดสภาพตามอายุออกไปก็ตาม
หรือหากยังจำกันได้ในช่วงที่ “พี่ป้อม” เผชิญกับปัญหา “แหวนแม่ นาฬิกาเพื่อน” เคยมีแรงยุให้โละ “พี่ป้อม” ให้พ้นจากวังวนอำนาจไปครั้งหนึ่งแล้ว แต่ “น้องตู่” ก็ไม่ทำ โดยคำถามสำคัญที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ “น้องตู่” จะสามารถยืนอยู่ได้ตามพังโดยไม่มี “พี่ป้อม” ได้หรือไม่?
อย่างไรก็ดีภายหลังจากเหตุการณ์ “กบฏผู้กอง” ช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา จากที่ “บิ๊กตู่” เคยค่อยๆ เดินเกมริดลอนอิทธิพล “บิ๊กป้อม” ก็ปรับเกมขนานใหญ่ รุกไล่ตัดแขนขา “พี่ใหญ่” ให้เหลือแต่ชื่อไว้ให้ครบองค์ “3 ป.” เท่านั้น
ตั้งแต่การเช็กบิล “ธรรมนัส” รวมทั้ง “เจ๊แหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ ร่วงจากเก้าอี้รัฐมนตรี โดยที่ “ประวิตร” ไม่ล่วงรู้ก่อน
หรือในส่วน “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่ดูเหมือนก่อนนี้ “นายกฯ ตู่” จะไม่อยากเข้าไปล้วงลูกลึกมาก ก็เริ่มปรับแผนเดิมเกมใหม่ เพราะ “พี่ใหญ่” ยังหนุน “ผู้กองนัส” ให้ทำหน้าที่เลขาธิการพรรคต่อไป
น่าสนใจไม่น้อยกับการแต่งตั้ง 2 กุนซือหัวหน้าพรรค อย่าง “เสี่ยตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และ “เสี่ยสมศักดิ์” สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
คิวนี้มองไม่ยากว่า คาบเกี่ยวกับปมความขัดแย้งก่อนหน้านี้ และเป็นความพยายามรุกคืบเข้าไปสลายอำนาจ “หัวหน้าป้อม” ผ่าน “ผู้กองนัส” ในพรรค
รายของ “สมศักดิ์” ถูกแต่งตั้งขึ้นมาก็เพื่อปลอบใจ หลัง “บิ๊กป้อม” เอาเก้าอี้ประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ไปประเคนให้น้องรัก “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา แต่อย่างลืมว่าในช่วงตั้งกองกำลังต้าน “กบฏผู้กอง” นั้น “ก๊วนสามมิตร” ของ “สมศักดิ์” และ “บิ๊กซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม ประกาศหนักแน่นว่า อยู่ข้าง “นายกฯตู่”
การจับวาง “สมศักดิ์” ขึ้นมาข้างตัว “หัวหน้าป้อม” ก็ไม่ต่างจากการวาง “สายตรงนายกฯ” มาประกบ
ขณะที่ในรายของ “เสี่ยตุ๋ย” ตัวละครนี้ น่าจะเป็นในมิติของ “ตัวเชื่อม” ระหว่าง “ตึกไทยคู่ฟ้า” กับ “ค่ายหลวงพ่อป้อม”
โดย “เสี่ยตุ๋ย” ถือเป็นคนโปรดของ “บิ๊กตู่” เพราะตั้งแต่เก็บข้าวเก็บของ ลากกระเป๋าเสื้อผ้าออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ก็ถูกช้อนเข้ามาเป็นที่ปรึกษานายกฯ ทันที ซ้ำแต่ละงานที่ได้รับมอบหมายให้ทำเป็น “งานช้าง” ทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตลอดจนเป็นโต้โผใหญ่ในการจัดทำแผนฟื้นฟูบริษัทการบินไทย
ใครต่อใครต่างมองว่า เป็นสายตึกไทยคู่ฟ้าส่งมาเป็นหูเป็นตาให้กับ “บิ๊กตู่” แต่หลายคนลืมไป “เสี่ยตุ๋ย” กับ “บิ๊กป้อม” ไม่ใช่แค่คนเคยเป็นรัฐมนตรีร่วมกันใน “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” แต่ลึกซึ้งกว่าคือ “เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่น”
เรียกว่า เข้าได้ทั้ง “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ไม่ต้องสร้างความอึดอัดให้กับใคร แล้วในภายภาคหน้าหากจะคว้าพุงปลา ได้นั่งเป็นเสนาบดี ก็ไม่ต้องเจอแรงต้านข้อหา “คนนอก” อีก เพราะเป็นได้ทั้งโควตากลางและโควตาพรรคแล้วในตอนนี้ ศักดิ์และสิทธิ์เพียบพร้อม
แล้วต้องจับตาดูให้ดี การที่ “เสี่ยตุ๋ย” เข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐเต็มตัวแล้ว จับผลัดจับผลูได้รับมอบหมายให้เป็น “แม่ทัพ” ในสนามเลือกตั้ง ส.ส.กทม. ในครั้งหน้า เพราะช่ำชองสนามเมืองกรุง ต่อติดไม่ว่าจะเป็นในสายพรรคพลังประชารัฐและประชาธิปัตย์ หลังปัจจุบัน ส.ส.กทม.ในพรรคเหมือนกับผีขาด
หลังเจ้าของสัมปทานงานดูแลสนามเลือกตั้ง ส.ส.เมืองหลวงพ้นวงโคจรไปแล้วทั้งคู่ ทั้ง “เสี่ยตั้น” ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ และ “เสี่ยบี” พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์
อีกแง่ก็เป็นการลดบทบาท “ผู้กองนัส” ที่ก่อนหน้านี้สยายปีกทำท่าจะเข้ามาคุมเมืองหลวง หลังส่งสรรพกำลังช่วย “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ที่ประกาศตัวลงสมัครผู้ว่าฯกทม. เขี่ยแคนดิเดตสาย “เสี่ยตั้น-เสี่ยบี” ตกไปจนหมด
โดยให้ “พีระพันธุ์” มาสวมบมแม่ทัพเมืองหลวง ส่วนพื้นที่ต่างจังหวัดก็ให้มือเก๋าอย่าง “สมศักดิ์” ทำหน้าที่ตีให้แตก ถือเป็นอีกหมากในการขจัดลิ่วล้อข้างตัว “ลุงป้อม” ไปในตัว
คู่ขนานไปกับการ “กินเบี้ย” ในพรรคพลังประชารัฐ โดย “ลุงตู่” ส่งมือไม้ที่มาสวามิภักดิ์ไล่ดึงไล่ดูด ส.ส.มาเป็น “สายตรงนายกฯ” แล้วพอสมควร
ตามจังหวะความเคลื่อนไหวของ “มุ้งสามมิตร” ที่เดิมมี ส.ส.ในมือประมาณ 20 กว่าคน ก็เริ่ม “ออกอาวุธ” ดึง ส.ส.มาเข้าพวกได้อีกเกือบเท่าตัว หรือ “มุ้งมังกรน้ำเค็ม” ของ “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่เดิมราศีหม่น แต่เมื่อประกาศตัวเป็น “สายตรงตึกไทยฯ” ก็เริ่มมีราศีก็เริ่มจับ รวม ส.ส.ได้ราว 10 หน่อ
ขณะที่ “เฮียสันติ” สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ผู้กว้างขวางแห่งเมืองมะขามหวาน จ.เพชรบูรณ์ อดีตหนึ่งในก๊วน 4 ช. ก็มีในมือไม่ต่ำกว่า 10 คน รวมไปถึง “งูเห่า” ในฟากพรรคเพื่อไทยที่มีคอนเนกชันไม่แพ้ “ผู้กองนัส”
เมื่อหลายก๊วนขยับ ทางกลับกันก็ทำให้ “ก๊วนผู้กอง” ที่เคยทรงอิทธิพลเลี้ยงดู ส.ส.ในพรรคไม่ต่ำกว่าครึ่งร้อย ก็เริ่มร่อยหร่อ ว่ากันว่าหากนับหัววันนี้ อาจเหลือไม่ถึง 10 คน ที่พร้อมร่วมเป็นตายกับ “ผู้กองนัส”
ยิ่งจู่ๆมี “ตัวเร่ง” อย่างการจุดพลุเรื่องวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ 8 ปี ของ “บิ๊กตู่” ที่ว่า ควรจะเริ่มนับหนึ่งปีไหนระหว่าง 57, 60 หรือ 62 โพล่งขึ้นมากลางปล้องแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ก็ถูกตั้งข้อสังเกตเหมือนกันว่า ปฐมเหตุมาจากความขัดแย้งภายใน “ค่ายพลังประชารัฐ” หรือไม่
เพราะท่าทีของบางคนในพรรคพลังประชารัฐแปลกๆ จนผิดสังเกต อยู่ๆ แสดงความไม่มั่นใจในอายุขัยนายกฯของ “บิ๊กตู่” เสียอย่างนั้น ทั้งที่แต่ไหนแต่ไร แทบจะบวกให้เกิน 8 ปีด้วยซ้ำ
คิวนี้เลยถูกมองว่า มีคนใน “ไอ้โม่ง” จากฝั่งเดียวกับรัฐบาล ทำตัวเป็น “จอมเสี้ยม” เพื่อต้องการปั่นประสาท “บิ๊กตู่”
ว่ากันว่า เรื่องนี้ก็ถึงหู “บิ๊กตู่” อยู่เหมือนกัน เล่นเอาออกอาการหัวร้อน คูณสองความโกรธแค้น ทุบโต๊ะ แบบนี้เลี้ยงไว้ไม่ได้
แต่ที่ประเด็นมอดแล้วกว่ากำหนด หมดความร้อนแรงเหมือนพลุตะไล จากตอนแรกไวไฟถึงขั้นจะไปศาลรัฐธรรมนูญกันให้ได้ แต่ต้องพับเก็บลิ้นชักไปก่อน
ส่วนหนึ่งก็เพราะ “ทีมงานจอมเสี้ยม” ไม่เซียนทางกฎหมาย อ่านตำรากันไม่ขาดว่า หากยังไม่เป็นประเด็น อยู่ๆ จะไปยื่นให้ศาลช่วยคลายข้อสงสัย จะได้เจอตอกกลับว่า ที่นี่ศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ “กฤษฎีกา” ที่ปรึกษากฎหมายรัฐบาล
ดูแล้วคงต้องปล่อยให้คลุมเครือกันไปแบบนี้ จนถึงขยักแรกตอนเดือน ส.ค.65 ที่จะครบ 8 ปี ในกรณีนับแบบวาระดำรงตำแหน่งของ “บิ๊กตู่” สตาร์ทที่ปี 2557 นู่นเลย ถึงจะพอมีเหตุผลในการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ แต่ต้องหมายเหตุตัวโตๆ ตอนนั้นรัฐบาลต้องยังอยู่ด้วย
งานนี้ “บิ๊กป้อม” ก็เลยต้องออกสื่อว่า สมัยหน้าจะเสนอชื่อ “น้องตู่” ขณะที่ “น้องตู่” ก็ทอดไมตรีหวานเจี๊ยบกลับไปยังพรรคพลังประชารัฐที่ยังไว้วางใจ เหมือนแผลในใจคงตกสะเก็ดแล้ว แต่สิ่งที่ตามองเห็นอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
เพราะหากย้อนไปดูแวดล้อมที่เกิดขึ้น คำพูด “บิ๊กป้อม” ก็เหมือนมารยาททางการเมือง ในเมื่อวันนี้ทั้งสองคนยังต้องอยู่ด้วยกัน ประกอบกับปี่กลองเลือกตั้งมันดัง แต่ละพรรคทยอยประกาศแคนดิเดต มันก็ต้องเกาะกระแสขายของตามธรรมชาติ
อีกสิ่งหนึ่งก็เพื่อต้องการลดบรรยากาศที่ตรึงเครียดมาตลอดหลายสัปดาห์ให้ซอฟต์ลง โดยเฉพาะความขัดแย้งระหว่าง “บิ๊กตู่” กับ “ผู้กองนัส” ที่ฝ่ายหลังเลี่ยงที่จะไม่ตอบว่า ยังสนับสนุน “บิ๊กตู่” เป็นแคนดิเดตนายกฯในสมัยหน้าอีกหรือไม่
ร้อนถึง “บิ๊กป้อม” ในฐานะ “คนกลาง” ก็ต้องออกมาพ่นเพื่อสยบกระแส ก่อนจะลุกลามบานปลายไปใหญ่ ก็เท่านั้น
อีกปมร้อนที่ยังไม่คลาย แม้พยายามยื้อไว้สุดชีวิต เพื่อไม่ให้ซ้ำแผลเดิม หนีไม่พ้นกรณีการปรับคณะรัฐมนตรี ที่ “บิ๊กตู่” พยายามเตะถ่วงเอาไว้ ไม่รีบหาใครมาอุดช่อง 2 เก้าอี้ที่ว่างอยู่ ขณะที่กลุ่มก๊วยในพรรคพลังประชารัฐก็ปล่อยข่าวกันคนละทีสองที
ส่วนหนึ่งเพราะยังน่าจะคุยกันไม่ลงตัว ตกลงกันไม่ได้ว่า 2 เก้าอี้ที่ว่างไปใครเป็นเจ้าของ ระหว่าง “บิ๊กตู่” กับ “พลังประชารัฐ”
ตกลง “บิ๊กตู่”ถือวิสาสะริบคืนเข้ากลางหมด หรือจะยกคงไว้แบบเดิมคือ เก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของ “ผู้กองนัส” เป็นโควตาของมุ้งนี้ที่มี ส.ส.ในมือ 10 กว่าคน ขณะที่เก้าอี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงานของ “มาดามแหม่ม” เป็น “โควตาพิเศษ” เปิดขึ้นมาเฉพาะ จะให้พรรค หรือให้ “บิ๊กตู่”เลือก
หากยึดของ “กองกลาง” หมดกระเพื่อมแน่ เพราะเพิ่งจะพินอบพิเทา เอาใจ ส.ส. อยู่ๆ ไปเอาคนนอกมาเสียบ ปกติไม่รักอยู่แล้ว จะกลายเป็นเกลียดเอาได้
ครั้นจะให้โควตาแก่ “มุ้งผู้กองนัส” ตามสิทธิ์ที่ควรจะได้ ก็แสลงใจ เพราะรายชื่อที่จ้องจะส่งมาอย่าง “ไผ่ ลิกค์” ส.ส.กำแพงเพชร ก็แทบจะเป็นคนๆ เดียวกับ “ผู้กองนัส”อยู่แล้ว
การปรับ ครม.เต็มเติม 2 ที่นั่งที่ขาด หรืออาจตวัดไปกระทบเก้าอี้รัฐมนตรีคนอื่นบ้าง ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ถึงความสัมพันธ์ของ “พี่ป้อม-น้องตู่” ได้เป็นอย่างดี
ไม่ว่าบทสรุปความสัมพันธ์สองศรีพี่น้องจะเป็นอย่างไร แต่ที่พอสรุปได้แล้วก็คือ “ลุงตู่” ไปต่อแน่นอนกับการชิงชัยเป็นนายกฯอีกสมัย กับการสยายอำนาจสร้างฐานการเมืองของตัวเองโดยอาจจะมีหรือไม่มี “พี่ป้อม”ก็ได้
และไม่เพียงแต่แนวรบด้านการเมืองเท่านั้น “บิ๊กตู่”มือทำงานด้านสื่อที่ใช้มาตั้งสมัย คสช. อย่าง “ทีมท็อปนิวส์” ก็กำลังจะถูดยึด เพราะเดิม “เสี่ยต้อย” สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม หัวขบวนท็อปนิวส์ จะขึ้นอยู่กับ “บิ๊กป้อม” โดยตรง ระยะหลังถูก “ทีมนายกฯ” ดึงมาเป็น “มือไม้ไอโอ” ของตัวเอง ผ่านดีลผลิตข่าวให้ ททบ.5 ที่เพิ่งเซ็นสัญญากันไป และจะเริ่มงานกันในปีหน้า
งานนี้ต้องจับตาดู “พี่ป้อม” ที่เริ่มขาลอยในทุกแนวรบจะงัดหมากไหนออกมาสู้
ดูแวว “พี่ป้อม-น้องตู่” คงต้องบู๊กันอีกสักพักว่าจะหั่นอย่างไร มุมพบกันแบบครึ่งทาง “วิน-วิน” คงยาก โดยเฉพาะหากมีชื่อ “ธรรมนัส” อยู่ในสมการ
วันนี้ คำถามเดิมๆ จึงหวนกลับมาอีกครั้งว่า “น้องตู่” จะสามารถยืนอยู่ได้ตามลำพังโดยไม่มี “พี่ป้อม” ได้หรือไม่?
คำตอบที่พอจะสรุปได้ ณ เวลานี้ก็คือ “ใกล้เต็มที”เพราะยิ่งนานวันก็ยิ่งเห็นถึงสัญญาณอันเข้มแข็งจากฝั่ง “น้องตู่” มากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ “พี่ป้อม”ซึ่งที่ผ่านมารับบท “พี่มีแต่ให้” ก็อ่อนกำลังลงไปทุกวันและแทบไม่หลงเหลืออะไรๆ ที่เป็นประโยชน์กับตัวเองและพวกพ้อง ที่สำคัญคือต้องไม่ลืมว่า “สิ่งมีชีวิตที่ชื่อนักการเมือง”นั้น “ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร” เพราะเมื่อสมการอำนาจเปลี่ยน พวกเขาก็ย่อมเปลี่ยนได้เช่นกัน ไม่เช่นนั้นสังคมคงไม่ได้เห็นพวกเขาย้ายข้างสลับขั้วมาสังกัด “พรรคพลังประชารัฐ” อย่างแน่นอน
งานนี้ ทั้ง “พี่ป้อม” และ “น้องตู่” คงต้องไปดู “Squid Game เล่น ลุ้น ตาย” ซีรีส์ระทึกขวัญชื่อดังจากแดนเกาหลี เพราะดูทรงแล้วสถานการณ์ระหว่าง “พี่น้อง”ดำเนินไปในลักษณะ “เล่น ลุ้น อำนาจ” ไม่ต่างกัน เผื่อว่า จะมีการปรับ “ฉากทัศน์” ระหว่างกันก่อนที่เรื่องจะลุกลามบานปลายไปมากกว่านี้.