xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

จีน 1978

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพเมื่อปี พ.ศ. 2517 (1974) ประธานเหมา เจ๋อตง(ซ้าย) ผู้นำการปฏิวัติสร้างจีนใหม่ กำลังจับมือกับผู้นำเติ้ง เสี่ยวผิง ผู้สืบทอดการนำนาวารัฐจีนต่อจากประธานเหมา เติ้งได้รับสมญาเป็น “คนตัวเล็กผู้ถือหางเสือ” ผู้อยู่เบื้องหลังการปฏิรูปสร้างจีนยุคใหม่
คอลัมน์ : ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล

 การเติบโตของเศรษฐกิจจีนที่เราเห็นในทุกวันนี้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเหตุการณ์เมื่อกว่า 40 ปีก่อน เหตุการณ์ที่ว่านี้คือ การประชุมคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีนเต็มคณะครั้งที่ 3 ของสมัชชาพรรคฯ สมัยที่ 11 ที่มีขึ้นในระหว่างวันที่ 18-22 ธันวาคม 1978 

การประชุมครั้งนั้นมีมติที่สำคัญหลายเรื่อง แต่เรื่องที่เกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนที่เกริ่นไว้ข้างต้นคือ  การประกาศใช้นโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศ 

การปฏิรูปหมายถึง การที่จีนจะปฏิรูประบบเศรษฐกิจในด้านต่างๆ ให้มีความเสรียิ่งขึ้น โดยจะได้วางเป็นโครงการระยะยาวจนสิ้นศตวรรษที่ 20 และมีปมเงื่อนที่สำคัญของการปฏิรูปอยู่ที่การพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ส่วนการเปิดประเทศหมายถึง การติดต่อหรือขยายการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีกับนานาชาติ ไม่เว้นแม้แต่กับประเทศทุนนิยมที่ก่อนหน้านี้จีนเคยปฏิเสธ แต่ในขณะเดียวกันจีนจะไม่ยอมให้ทุนนิยมเข้ามามีอิทธิพลครอบงำจีนเป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้ การเปิดประเทศของจีนจึงเปิดไปที่ละส่วนที่ละพื้นที่ หรือเปิดอย่างค่อยเป็นค่อยไป

ภายใต้นโยบายดังกล่าวส่งผลให้ชีวิตทางเศรษฐกิจของชาวจีนดีขึ้น และทำให้เศรษฐกิจในภาคต่างๆ ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ชาวจีนสามารถเข้าถึงสินค้าอุปโภคและบริโภคได้ง่ายขึ้นกว่าแต่ก่อน ซึ่งก่อนหน้านั้นสินค้าอุปโภคที่อำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต เช่น วิทยุเทป ตู้เย็น หรือเครื่องซักผ้า เป็นต้น เป็นสิ่งที่ยากจะเข้าถึง แต่ในยุคนี้สามารถเข้าถึงได้ตราบเท่าที่มีเงินถืออยู่ในมือ

ยานพาหนะบนท้องถนนในเมืองจีน ยุคทศวรรษที่ 1980 ส่วนใหญ่เป็นแบบไม่มีเครื่องยนต์-ภาพจากไชน่าเน็ต

หลังจีนเปิดประเทศ เขตเศรษฐกิจพิเศษ เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมส่งออก สร้างการเติบโตอย่างมหัศจรรย์-ภาพเอเอฟพี
การบริโภคก็เช่นกัน ที่ก่อนหน้านี้ชาวจีนจะต้องใช้บัตรปันส่วนในการแลกซื้ออาหารบางประเภทอย่างเช่น เนื้อสัตว์ ที่แต่ละคนจะได้มาคนละประมาณครึ่งกิโลกรัมต่อเดือน แต่มาในยุคปฏิรูปก็ไม่มีการจำกัดอีกต่อไป

ส่วนการเปิดประเทศนั้น ไม่เพียงทำให้จีนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เป็น  “ปมเงื่อน”  สำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจเท่านั้น หากแม้แต่การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างชาวจีนกับชาวต่างชาติก็เป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ ไม่เหมือนกับยุคก่อนหน้านี้ถือเป็นเรื่องต้องห้าม

คนที่จะออกนอกประเทศจะต้องได้รับอนุญาตจากทางการเท่านั้นจึงจะออกได้ และกว่าจะได้รับอนุญาตก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะจะต้องผ่านขั้นตอนการตรวจสอบหลายขั้นตอน และที่แทบจะขาดไม่ได้ก็คือ เส้นสาย ซึ่งเวลานั้นถือว่าสำคัญมาก ด้วย  “เส้นสาย”  เป็นจุดเชื่อมของความไว้วางใจระหว่างคนขออนุญาตกับคนอนุญาต หากขาดซึ่งความไว้วางใจแล้วก็ยากที่จะได้รับอนุญาต

ทั้งนี้ไม่นับว่า  “เส้นสาย”  นั้นจะต้องมีเครื่องเซ่นสังเวยประกอบด้วยอีกต่างหาก

แม้จีนจะเปิดประเทศและปฏิรูปตามความหมายที่กล่าวไปแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่ผู้นำจีนในเวลานั้นให้ความสำคัญอย่างมากก็คือ การพยายามศึกษาเรียนรู้แนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของนานาประเทศ การเรียนรู้นี้เป็นการเรียนรู้ทั้งในแง่ของความสำเร็จและความล้มเหลว ถ้าสำเร็จก็นำมาปรับใช้ ถ้าล้มเหลวก็นำมาเป็นบทเรียน

 ที่สำคัญคือ จีนเรียนรู้ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน 

อาจารย์อาวุโสท่านหนึ่งที่ล่วงลับไปแล้วเคยเล่าให้ผมฟังว่า ตอนที่จีนเปิดประเทศใหม่ๆ นั้นท่านและคณะนักวิชาการไทยอีกจำนวนหนึ่งได้มีโอกาสเดินทางไปเยือนจีน ซึ่งในเวลานั้นถือเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากสำหรับชาวไทยหรือชาวต่างชาติอื่นๆ เพราะด้วยความที่จีนปิดประเทศมานานเลยทำให้จีนดูเป็นประเทศที่มีความลึกลับน่าค้นหา

ท่านเล่าว่า ท่านและคณะได้มีโอกาสเข้าพบ  เติ้งเสี่ยวผิง  ด้วย เมื่อทักทายและแนะนำตัวกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วการสนทนาก็เริ่มขึ้น ตอนหนึ่งของการสนทนาเติ้งได้ถามขึ้นว่า อยากให้นักวิชาการไทยเล่าเรื่องเศรษฐกิจไทยให้ท่านได้ฟังบ้าง ว่าไทยมีแนวทางพัฒนาอย่างไรเศรษฐกิจไทยจึงมีความเจริญ

นักวิชาการไทยตอบเติ้งไปว่า คณะชาวไทยที่มานี้แทบทั้งหมดเป็นนักประวัติศาสตร์ ไม่มีใครมีความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจเลย จึงมิอาจให้คำตอบที่ดีแก่เติ้งได้

แทนที่เติ้งจะเปลี่ยนเรื่องไปสนทนาเรื่องอื่นต่อไป แต่กลับกล่าวอย่างสุภาพว่า แม้คณะชาวไทยจะเป็นนักประวัติศาสตร์ก็ตาม แต่ด้วยเหตุที่เป็นชาวไทยก็น่าจะรู้แม้สักเพียงเล็กน้อยอยู่บ้าง และว่า แม้เพียงเล็กน้อยตนก็ต้องการที่จะฟัง

ในที่สุด คณะนักวิชาการไทยจึงช่วยกันเล่าให้เติ้งฟังเท่าที่จะเล่าได้ เมื่อจบแล้วเติ้งก็พูดขึ้นว่า ที่ได้ฟังมาแม้เพียงเล็กน้อยก็นับว่ามีประโยชน์มาก ตนจะได้นำไปศึกษาเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจจีนต่อไป

เรื่องดังกล่าวทำให้เห็นว่า แม้แต่ผู้นำสูงสุดอย่างเติ้งในเวลานั้นก็น้อมใจที่จะรับฟัง ไม่เว้นแม้แต่จากนักประวัติศาสตร์ที่มิใช่นักเศรษฐศาสตร์ ไม่เว้นแม้แต่  “สักเพียงเล็กน้อย” 

การปฏิรูปและเปิดประเทศที่เริ่มเมื่อปลายเดือนธันวาคม 1978 นั้นจึงเป็นการเริ่มในทางนโยบายหรือทฤษฎี แต่กล่าวในภาคปฏิบัติแล้วนโยบายนี้เริ่มอย่างจริงจังตั้งแต่ปี 1979 เป็นต้นมา เหตุการณ์นี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของจีน เพราะถือเป็นการปรับตัวครั้งใหญ่ของจีน จีนไม่เพียงต้องทำในสิ่งที่ตนไม่เคยทำมาก่อนเท่านั้น หากแต่เมื่อทำแล้วเกิดผิดพลาดขึ้นมานั่นย่อมหมายถึงความสูญเสียอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ จีนจึงน้อมตนและเปิดใจที่จะเรียนรู้จากทุกผู้ทุกคนและทุกชาติ

การปฏิรูปและเปิดประเทศดังกล่าวจึงนับเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับจีนไม่น้อย แต่ใครจะนึกว่า ในขณะที่จีนจะต้องฟันฝ่าเรื่องที่ยากลำบากนี้ไม่รู้อีกยาวนานแค่ไหน จู่ๆ ก็เกิดเรื่องที่มาซ้ำเติมความยากลำบากของจีนให้เพิ่มขึ้นอย่างไม่คาดฝัน

 นั่นคือ การบุกโจมตีและยึดครองกัมพูชาของเวียดนาม 


ก่อนหน้าการบุกกัมพูชาของเวียดนาม ทั้งสองประเทศนี้มีความขัดแย้งในประเด็นสำคัญอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่ง เวียดนามไม่เห็นด้วยกับนโยบายการพัฒนาประเทศของเขมรแดงที่ปกครองกัมพูชาในขณะนั้น อีกเรื่องหนึ่ง เวียดนามกับกัมพูชามีข้อขัดแย้งเรื่องพรมแดนในบางพื้นที่ จนมีการปะทะกันด้วยกำลังในบางครั้ง

และด้วยเหตุที่เวียดนามได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตในเวลานั้น เวียดนามจึงกล้าที่จะทุ่มสรรพกำลังเข้าโจมตีกัมพูชา ที่สำคัญ เวียดนามเลือกช่วงเวลาในการบุกกัมพูชาเหมือนได้วางแผนล่วงหน้ามาแล้วเป็นอย่างดี

นั่นคือ เวียดนามเลือกโจมตีกัมพูชาในขณะที่คณะกรรมการกลาง พคจ. กำลังมีการประชุมดังที่ได้กล่าวมาตอนต้น เกี่ยวกับเรื่องนี้จะบอกว่าเวียดนามไม่รู้ว่าจีนกำลังมีการประชุมสำคัญคงไม่ได้ เพราะในเวลานั้นหากประเทศคอมมิวนิสต์ประเทศใดกำลังมีเรื่องสำคัญอันใด ก็มักเป็นที่รู้กันในหมู่ประเทศคอมมิวนิสต์ด้วยกัน

ส่วนจีนซึ่งบทบาทสำคัญในการสถาปนาระบอบคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา และให้ความช่วยเหลือแก่กัมพูชาในด้านต่างๆ มาตั้งแต่ปี 1975 ที่พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชายึดครองกัมพูชาได้ ดังนั้น การบุกโจมตีและยึดครองกัมพูชาของเวียดนาม ในด้านหนึ่งจึงเท่ากับเป็นการทำลายผลประโยชน์ของจีนไปโดยปริยาย และเป็นเรื่องที่จีนยอมไม่ได้

 เวียดนามบุกกัมพูชาในวันที่ 21 ธันวาคม 1978 (โดยยึดครองกัมพูชาได้ในวันที่ 25 เดือนและปีเดียวกัน) ก่อน พคจ.จะเสร็จสิ้นการประชุมคณะกรรมการกลางพรรคฯ หนึ่งวัน และในเมื่อการประชุมครั้งนั้นคือที่มาของนโยบายปฏิรูปและเปิดประเทศที่จีนจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่จีนกลับต้องมาเผชิญกับการบุกกัมพูชาของเวียดนามเช่นนี้ จีนจึงตกอยู่ในภาวะที่ยากลำบากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

คำถามจึงมีว่า จีนจะทำอย่างไรกับภาวะทวิบถ (dilemma) เช่นนี้

และสิ่งที่จีนเลือกก็คือ ที่จะต้องปฏิรูปและเปิดประเทศก็ต้องทำต่อไปไม่ให้สะดุดหยุดลง ที่จะต้องแก้ปัญหากัมพูชาถูกเวียดนามยึดครองก็ต้องแก้กันไป จะหยุดไม่ได้เช่นกัน แน่นอนว่า การที่จีนจะต้องทำทั้งสองเรื่องไปพร้อมๆ กันเช่นนี้ย่อมนับเป็นเรื่องที่มีต้นทุนที่สูงอย่างยิ่ง แต่จีนก็เลือกที่จะทำ

เพราะฉะนั้นแล้ว เรื่องการปฏิรูปและเปิดประเทศที่จีนถือเป็นเรื่องภายในของตนจีนก็ทำไป ส่วนปัญหากัมพูชาซึ่งเป็นปัญหาภายนอกจีนก็ไม่ได้ละทิ้ง ดังนั้น ในสายตานานาชาติในขณะนั้นจึงจ้องมาที่เรื่องหลังมากกว่าเรื่องแรก เพราะเรื่องหลังถือเป็นสถานการณ์  “ไม่ปกติ” 

 ผลคือ ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 1979 จีนได้ส่งกองกำลังทหารราว 200,000 นายบุกข้ามพรมแดนจีน-เวียดนามที่มีความยาวประมาณ 1,460 กิโลเมตร แล้วโจมตีจังหวัดชายแดนของเวียดนาม จากนั้นก็ยึดครองและทำลายเมืองสำคัญและโรงงานต่างๆ ของเวียดนามโดยตลอด จนถึงวันที่ 16 มีนาคมปีเดียวกันจีนจึงถอนกำลังออกไป 


แม้สงครามดังกล่าวสิ้นสุดลงในเวลาอันรวดเร็ว และไม่ได้ทำให้เวียดนามถอนกำลังออกไปจากกัมพูชาก็ตาม แต่จีนก็ทำให้เห็นว่า สงครามครั้งนั้นไม่สามารถทำให้การปฏิรูปและเปิดประเทศของจีนสะดุดหยุดลงไปได้ และด้วยเหตุนี้ เศรษฐกิจของจีนจึงค่อยๆ กระเตื้องขึ้นจากเดิมอย่างช้าๆ

 คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ปี 1978 เป็นปีที่จีนเริ่มต้นชีวิตใหม่ในแบบ “มารไม่มี บารมีไม่เกิด”  



กำลังโหลดความคิดเห็น