แม้จะไม่ได้คะแนนเลือกตั้งชนะกันอย่างถล่มทลาย แต่พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย (SPD) ของเยอรมนี ก็มีคะแนนนำเฉือนพรรคคริสเตียนเดโมแครต (CDU) ถึงเกือบ 2 เปอร์เซ็นต์ ทำให้นายโอลาฟ โชลซ์ ประกาศก้องทันทีที่คะแนนเอ็กซิตโพลทุกสำนักออกมาใกล้เคียงกันว่า พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยของเขามีคะแนนนำพรรคคริสเตียนเดโมแครตคือ “ประชาชนได้มอบให้พรรคสังคมนิยมประชาธิปไตย เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาลเพื่อบริหารบ้านเมือง”
ซึ่งเป็นการแสดงออกมาชัดมากของประชาชนเยอรมัน ที่ต้องการเปลี่ยนแกนนำรัฐบาลจากคริสเตียนเดโมแครต มาเป็นพรรคของเขา
เขาประกาศเดินหน้าเจรจาเพื่อจัดตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคเขียว (Green) และพรรคนิยมธุรกิจ (ชื่อพรรคฟรี-เดโมแครต) ทันที
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พรรคเขียว (ซึ่งเป็นพรรคที่ชูนโยบายสิ่งแวดล้อมอย่างหนักแน่น และประกอบไปด้วยสมาชิกที่ทุ่มเทให้กับความคิดของคนรุ่นใหม่ ที่ต้องการสร้างสังคมที่เป็นธรรมมากขึ้น สร้างโลกให้พออยู่กันได้มากขึ้นกว่าโลกที่กำลังทำลายตัวเอง ด้วยสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมทรุด; และโลกที่เคารพในความแตกต่างหลากหลายทางชีวภาพและเผ่าพันธุ์) ได้ร่วมจัดตั้งรัฐบาล
พรรคเขียวได้เคยร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคสังคมนิยมประชาธิปไตยเมื่อปลายปี 1998 ภายใต้การนำของหัวหน้าพรรคชื่อ ยอชกา ฟิชเชอร์ (Joschka Fischer) ซึ่งเป็นบุคคลที่มีสีสันมาก (เคยเข้าร่วมชุมนุมประท้วงสงครามเวียดนามอย่างแข็งกร้าว) และได้รับตำแหน่งสำคัญถึง รมต.ต่างประเทศ โดยมีนายกรัฐมนตรีแกร์ฮาร์ด ชโรเดอร์ (Gerhard Schroder) จากพรรค SPD เป็นผู้นำรัฐบาล (ช่วง 1998-2005)
ส่วนพรรค Free Democratic Party (ชื่อย่อ FDP) หวุดหวิดจะได้เข้าร่วมจัดตั้งรัฐบาลที่มีแกนนำพรรค CDU ในการเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2017...แต่ในที่สุด ก็ถอนตัวออกจากการจัดตั้งรัฐบาลในนาทีสุดท้าย เพราะการเจรจาไม่เป็นผลสำเร็จ และทำให้พรรค CDU ต้องหันไปเจรจาจัดตั้ง Grand Coalition กับพรรคคู่แข่งคือ SPD; และในที่สุด นายโอลาฟ โชลซ์ หัวหน้าพรรค SPD ก็ถึงได้ตำแหน่งสำคัญคือ รมต.คลัง จากการต่อรองที่ใช้เวลานานถึงเกือบ 6 เดือนกว่าจะลงตัว
ที่ว่าเป็นสัญญาณไฟจราจรใหม่ของยุโรป ก็เพราะชาวเยอรมันเขามีความขี้เล่นในการลุ้นการเลือกตั้ง โดยนำเอาสีเครื่องหมายประจำพรรคมาเรียงกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาล
การจัดตั้งรัฐบาลผสมครั้งนี้ โอกาสสูงมากที่จะได้สีเหมือนสัญญาณจราจรคือ แดง-เหลือง-เขียว เพราะสีของ SPD คือแดง ของ FDP คือ เหลือง และของพรรคเขียว ก็คือ สีเขียว นั่นเอง
ในขณะที่หัวหน้าพรรค CDU ซึ่งมีนายอาร์มิน ลาสเชต (Armin Laschet) ก็ประกาศว่า เขาจะเดินหน้าเจรจาจัดตั้งรัฐบาลผสมกับพรรคเขียว และพรรค FDP เช่นกัน เพราะพรรค CDU ก็ได้คะแนนครือๆ กับพรรค SPD (ก็แพ้กันแต่ไม่ถึง 2%) และเป็นความชอบธรรมที่พรรค CDU จะเดินหน้าจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งถ้าเขาสามารถตกลงกับพรรคเขียว และพรรค FDP ได้ลงตัว พรรค CDU ก็เป็นแกนนำรัฐบาลใหม่ได้ทันที
ตกลงขณะนี้ ทั้งพรรคใหญ่ 2 พรรคคือ SPD และ CDU กำลังเดินหน้าเจรจาจัดตั้งรัฐบาลอย่างขมีขมัน เพราะที่เยอรมนีไม่ได้มีกฎว่าพรรคที่ได้เสียงข้างมากกว่า, จะต้องเป็นพรรคที่เริ่มการเจรจาจัดตั้งรัฐบาลก่อน; แล้วถ้าเจรจาไม่สำเร็จ...จึงจะเป็นโอกาสของพรรคใหญ่ที่ได้คะแนนรองลงมา
ทั้งนี้ เพราะพรรคใหญ่ 2 พรรคมีคะแนนที่สูสีกันมาก...ขนาดก่อนลงคะแนน...เหล่าบรรดาโพลต่างๆ ก็ถึงกับประกาศว่า ทั้งสองพรรคจะได้คะแนนเกือบเท่าๆ กัน และไม่มีโพลใดกล้าประกาศฟันธงว่า พรรคใดจะชนะขาดลอย (หรือ too close to call)
แต่ที่น่าสังเกตคือ ไม่มีปรากฏการณ์แบบโดนัลด์ ทรัมป์ ที่พรรค CDU ซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน และมีคะแนนน้อยกว่าพรรค SPD ไม่ถึง 2% จะออกมากล่าวหาว่า พรรคของตนเองถูกโกงการเลือกตั้ง! คือประชาธิปไตยในเยอรมนี หลังเผด็จการฮิตเลอร์ ทำให้เยอรมนีขยะแขยงระบอบเผด็จการอย่างยิ่ง และยอมรับในเสียงประชาชนอย่างจริงจัง แม้จะแพ้ชนะกันแค่ไม่ถึง 2% ก็ตาม
สำหรับกรณีที่พรรค CDU กำลังพยายามหว่านล้อมพรรคเขียว และพรรค FDP เพื่อจัดตั้งรัฐบาลนั้น เกิดการเรียงสีเป็นสีของธงชาติจาเมกาคือ ดำ (CDU), เหลือง (FDP) และเขียว (พรรคกรีน)
โอกาสที่จะเกิดรัฐบาลใหม่ในสีแบบสัญญาณจราจร ก็เพราะความใกล้ชิดทางนโยบายระหว่างพรรค SPD และพรรคเขียว ในแง่การลดความเหลื่อมล้ำ, การใช้จ่ายภาครัฐบาลที่สูงโดยรัฐบาลมีบทบาทที่จะแทรกแซง และนำในการบริหารแทนการปล่อยเอกชนให้มีอิสระเต็มที่ และปราศจากการแทรกแซงจากรัฐบาล
และถ้า SPD สามารถตกลงกันได้ (แบบที่เคยทำกันมาช่วง 1998-2005) ก็จะมีสองแรงแข็งขันที่จะต่อรองกับ FDP ซึ่งเป็นพรรคที่ Pro-Business, ที่จะต้องผ่อนปรนคล้อยตาม SPD และพรรคเขียว
ครั้งนี้จะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญของเยอรมนี ที่จะมีถึง 3 พรรคที่ร่วมจัดตั้งรัฐบาล เพราะที่ผ่านมาก็จะมีแค่ 2 พรรค
ขณะเดียวกัน ก็เป็นครั้งแรกที่คะแนนของพรรคอนุรักษ์ขวากลางอย่าง CDU ได้คะแนนน้อยที่สุดในการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่ 4 สมัยของนายกฯ อังเกลา แมร์เคิล ได้ทำให้เยอรมนีมีการเติบโตอย่างมีเสถียรภาพท่ามกลางวิกฤตครั้งแล้วครั้งเล่า (ตลอดปี 2005-2020) ที่ท้าทายความสามารถของเธอที่ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งปวงมาได้อย่างน่าชื่นชม
หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วทำไม CDU จึงไม่ชนะอย่างถล่มทลาย, ตรงข้าม...ได้คะแนนน้อยกว่า SPD ซึ่งก็เป็นทั้งพรรคคู่แข่ง และมาร่วมรัฐบาลใต้ปีกของ CDU
ก็เพราะตัวแทน CDU คือ นายอาร์มิน ไม่โดดเด่นเท่าโอลาฟ โชลซ์ และอังเกลา แมร์เคิล ก็ดูจะเริ่มปล่อยวางทางการเมือง เมื่อเธอประกาศไม่ลงสมัครเป็นสมัยที่ 5 คือเธอไม่ได้ร่วมช่วยหาเสียงให้นายอาร์มิน ตั้งแต่ต้น โดยปล่อยให้ประชาชนตัดสินใจเอง...และเพิ่งมาขึ้นเวทีหาเสียงให้นายอาร์มิน ก็เป็นช่วงท้ายๆ ของการเลือกตั้งเท่านั้น
นอกจากนายอาร์มิน จะไม่โดดเด่นในด้านการหาเสียงและผลงานแล้ว เขายังไปทำพลาดครั้งใหญ่ ในท่ามกลางวิกฤตน้ำท่วมใหญ่เยอรมนีเมื่อเร็วๆ นี้ ทำให้คนตายจำนวนมากและบ้านเรือนเสียหายพังทลาย...นายอาร์มิน ได้เดินทางไปให้กำลังใจ และนำความช่วยเหลือไปให้...แต่เขาทำพลาดครั้งสำคัญมีคนถ่ายภาพเขากำลังหัวเราะครื้นเครงกับกลุ่มของเขา ในขณะที่ชาวบ้านกำลังโศกเศร้าน้ำตานองหน้าจากการสูญเสียชีวิต และทรัพย์สินบ้านแตกสาแหรกขาด
และในการดีเบตถึง 3 รอบทางทีวี นายอาร์มินก็ได้คะแนนท้ายสุดด้วย
ไม่น่าสงสัยเลยว่า แม้ผลงานของแมร์เคิลจะทำให้คนเยอรมันขอบคุณในความสามารถของเธอ ที่นำประเทศฝ่าฟันวิกฤตใหญ่ๆ มาได้ตลอด 16 ปี แต่เยอรมนีวันนี้ก็พร้อมจะให้โอกาสพรรค SPD, พรรคกรีน และพรรค FDP เพื่อนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่เยอรมนีก็เป็นได้