"ฝั่งขวาเจ้าพระยา"
"โชกุน"
การรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร วันที่ 19 กันยายน 2549 เวียนมาบรรจบครบรอบ 15 ปี ทุกปี ทักษิณและพวกพ้อง จะโจมตีการรัฐประหารครั้งนั้นในนามคมช. หรือคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ซึ่งมีพล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน เป็นหัวหน้า และครั้งถัดมาวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 โดย คสช.หรือคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นหัวหน้าคณะว่า ทำให้ประเทศไทยถอยหลัง อยู่ในวังวนของระบบเผด็จการ
ทักษิณกับพวกไม่เคยพูดถึงมูลเหตุที่นำไปสู่การรัฐประหารทั้งสองครั้งว่า เพราะพฤติกรรมของตัวเองนั่นแหละ เป็นต้นเหตุ การบริหารราชการแผ่นดินโดยมีผลประโยชน์ทับซ้อน ใช้อำนาจกลไกรัฐเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตระกูล 15 ปีที่ผ่านมา มีนักการเมือง ข้าราชการ ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจจำนวนมาก ที่ถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุก เพราะกระทำการทุจริต เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณ ทั้งในช่วงที่ยังเป็นนายกรัฐมนตรี และตอนที่เชิดน้องสาวเป็นนอมินี
ลองไล่เรียงดูว่า คนที่ติดคุกเพราะทุจริต เอื้อประโยชน์ให้ทักษิณ ที่ผ่านมามีใครบ้าง
รายล่าสุดสดๆ ร้อนๆ คือ สุธรรม มลิลา อดีตผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ช่วงปี 2544 ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 6 ปี และชดใช้เงิน 46,855 ล้านบาท ในความผิดฐานแก้ไขสัมปทานโทรศัพท์เคลื่อนที่ระหว่าง บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ซึ่งทักษิณเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ กับองค์การโทรศัพท์ฯ ลดส่วนแบ่งรายได้ที่เอไอเอสต้องจ่ายให้ จากร้อยละ 25 เหลือร้อยละ 20 ทำให้ ทศท.สูญเสียรายได้ 17,843 ล้านบาท และสูญเสียรายได้ในอนาคตถึงสิ้นสุดสัญญาสัมปทานเป็นเงินอีก 53,490 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 71,339 ล้านบาท ซึ่งในทางกลับกัน เอไอเอสได้ประโยชน์ ไม่ต้องจ่ายส่วนแบ่ง 71,339 ล้านบาทให้กับ ทศท.
เรื่องนี้เกิดขึ้นระหว่างเดือนเมษายน-พฤษภาคม ปี 2544 หลังจากทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกได้เพียง 2 เดือนเศษ โดยที่ยังคงแอบถือหุ้นบริษัท ชินคอร์ป ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่เอไอเอส ก่อนที่จะขายให้เทมาเส็กไปเมื่อต้นปี 2549
อดีต ผอ.ทศท. ซึ่งอายุ 70 กว่าแล้ว ต้องรับกรรมในบั้นปลายของชีวิต ขณะที่ทักษิณหนีคดีทุจริตทั้งหลายไปเสวยสุขอยู่ที่ดูไบ และโผล่หน้าเข้ามาในแพลตฟอร์ม คลับเฮาส์ บ่อยๆ ในระยะหลัง เพื่อโชว์วิสัยทัศน์การแก้ปัญหาประเทศชาติ ให้บรรดาผู้ติดตามได้ชื่นชม
อีกรายหนึ่ง ที่ติดคุกเพราะแก้กฎหมายเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจของทักษิณคือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รัฐมนตรีกระทรวงไอซีที ในรัฐบาลทักษิณ ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก 1 ปีไม่รอลงอาญา เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2559 ในคดีแก้ไขสัญญาเอื้อชินคอร์ป โดยอนุญาตให้ลดสัดส่วนการถือหุ้นของชินคอร์ปในบริษัท ชิน แซทเทลไลท์จาก 51% เป็น 40% จำเลยอีกสองราย ในคดีนี้คือ อดีตปลัดกระทรวงไอซีที ในยุคทักษิณ และยุครัฐบาลยิ่งลักษ์ ถูกตัดสินจำคุก 1 ปี แต่ได้รับการรอลงอาญา 5 ปี
รายที่ 3 เป็นอดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร ซึ่งได้รับการปูนบำเหน็จเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นางเบญจา หลุยเจริญ ถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปี คดีช่วยเหลือพานทองแท้ และพิณทองทา ชินวัตร ลูกชายกับลูกสาวทักษิณเลี่ยงการเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสีย จากการขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็ก
นอกจากนางเบญจาแล้ว ยังมีข้าราชการกรมสรรพากร ระดับรองผู้อำนวยการสำนักกฎหมายถูกตัดสินจำคุก 2 ปี โดยไม่รอลงอาญาด้วยเช่นกัน
ผู้บริหารธนาคารกรุงไทยตั้งแต่กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการบริหาร เจ้าหน้าที่สินเชื่อ ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องติดคุกเพราะเอื้อประโยชน์ให้กับทักษิณ กรณีปล่อยเงินกู้ ให้บริษัทกฤษดามหานคร ตามคำสั่งของ “นายใหญ่” โดยถูกศาลฎีกาตัดสินจำคุก 12-18 ปี ชดใช้ค่าเสียหายว่า 1 หมื่นล้านบาท เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2558
คดีโกงที่อื้อฉาวที่สุดคือทุจริตขายข้าวจีทูจี โครงการจำนำข้าว สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาให้จำคุกบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ 42 ปี ภูมิ สาระผล รัฐมนตรีช่วย 36 ปี รวมทั้งอดีตอธิบดี รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ 40 และ 32 ปีตามลำดับ
ต่อมาในวันที่ 7 กันยายน 2562 ศาลฎีกามีคำสั่งเพิ่มโทษบุญทรงอีก 6 ปี จากโทษเดิม 42 ปี เป็น 48 ปี
คดีที่เกี่ยวเนื่องกับโครงการจำนำข้าวนี้ ยิ่งลักษณ์ถูกฟ้องในข้อหา ไม่ระงับยับยั้ง การทุจริตด้วย แต่หนีคดีไปอยู่ที่ดูไบ โดยศาลฎีกามีคำพิพากษาลับหลังเมื่อวันที่ 27 กันยายน 2560 ให้จำคุก 5 ปี โดยไม่รอลงอาญา
19 กันยายนปีหน้า ครบรอบการรัฐประหาร 16 ปี ใครจะเป็นรายต่อไปที่ต้องติดคุกเพราะเอื้อประโยชน์กับทักษิณ