ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ยังมีอาฟเตอร์ช็อกเรื่อยๆ
หลัง “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี บูทพลัง “ฟูลพาวเวอร์” ชักดาบอาญาสิทธิ์ปลด “ผู้กองนัส” ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า และ “มาดามแหม่ม” นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ กระเด็นตกเก้าอี้รัฐมนตรีแบบฟ้าผ่ามาแล้วร่วมสัปดาห์
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ฉัน “พี่น้อง” ของ “3 ป.-3 ลุง” ที่ยัง “ซ่อนกลิ่น” ความขุ่นเคืองไม่พอใจจนปิดไม่มิด
อ่านแบบไม่ต้องลึกซึ้ง การที่ “บิ๊กตู่” อัปเปหิเด็กในคาถา “พี่ใหญ่” อย่าง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี แบบไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ราวกับเห็นเป็นแค่ “หัวหลักหัวตอ” เป็นใครๆ ก็เคือง
แม้ “น้องตู่” จะพยายามโชว์ภาพความเหนียวแน่น กลบร่องรอยแผลเป็นที่เพิ่งก่อให้กับ “พี่ป้อม” จากปมเชือด “ผู้กองนัส-มาดามแหม่ม” อย่างไรก็ตามก็ยังดูเหมือน 2 ลุง ยัง “กินใจ” กันอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความพยายามโชว์ภาพอี๋อ๋อแนบแน่น สยบข่าวเสี้ยม ล้วนแล้วแต่เป็นฝั่ง “น้องเล็ก” ที่ออกแอ๊กชันสร้างภาพฝ่ายเดียว ไม่ว่าการประคองกอดไหล่มาส่งถึงรถหลังประชุมร่วมกันเสร็จ โดยที่ “พี่ใหญ่” ยังทำหน้างง ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมกับบทที่ “น้องตู่” พยายามส่งให้
หรืออารมณ์ดีเกินพอดี ทักทายจ๊ะจ๋ากับรัฐมนตรีแทบทุกคนก่อนร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ยิ่งพยายามเท่าไร ก็ยิ่ง “ไม่เนียน” ไร้ความเป็นธรรมชาติ
ใครก็ดูออกว่า “ลุงป้อม” ยังงอน “ลุงตู่” อยู่ ไม่ได้หาย และความขุ่นเคืองใจที่มีต่อกัน “ยังไม่จบ”
เป็นไปตามคีย์เวิร์ดสำคัญในการแถลงลาออกจากรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ “ธรรมนัส” ตอบคำถามสื่อที่ว่าได้เคลียร์ใจและขอโทษนายกฯ แล้ว กรณีมีข่าวเดินเกมล้มนายกฯ ผ่านการโหวตไม่ไว้วางใจ แสดงว่าปัญหาไม่จบใช่หรือไม่ ปรากฏ “ผู้กองนัส” ตอบเต็มปากเต็มคำว่า “ไม่จบ”
หรือเอาง่าย เมื่อ “บิ๊กตู่” ลง “ดาบแรก” สังหาร “ธรรมนัส-นฤมล” พ้นรัฐมนตรี ก็แสดงให้เห็นแล้วว่า “ไม่เอา” หาก “บิ๊กตู่-บิ๊กป้อม” ยังเล่นคีย์เดียวอย่างที่โพนทะนาจริง ป่านนี้ “หัวหน้าป้อม” ชัก “ดาบสอง” ไม่ว่าจะปลด หรือให้ “นัส-แหม่ม” ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการ และเหรัญญิก พรรคพลังประชารัฐ ไปแล้ว
ดีไม่ดีถึงขั้นตะเพิดพ้นสมาชิกภาพพรรคให้ไปหาที่ซุกหัวใหม่ยังได้
ไม่แตะต้อง “ลูกรัก” ไม่ว่า ยังประกาศไม่เปลี่ยนตัวเลขาธิการพรรค ไม่ขยับโครงสร้างพรรคใดๆ เด็ดขาด เบ่งกล้ามโชว์ว่าแบ็ก “ธรรมนัส” เต็มที่
เหมือนลืมว่าวันที่ “ธรรมนัส” แถลงข่าวลาออก พูดชัดถึงการทำงานร่วมกับ “ประยุทธ์” ว่า "คงเดินไปในทิศทางเดียวกันไม่ได้"
การที่ “ผู้กองนัส” ยังอยู่ได้ในอารมณ์ไม่จบ ก็เสมือนวางไว้เป็น “หอกข้างแคร่” ในพรรคพลังประชารัฐ แกนนำพรรครัฐบาล กวนอารมณ์ “บิ๊กตู่” ต่อไป
กลายเป็น “สงครามภายใน” ทั้งใน “3 ป.” เอง และใน “ค่ายพลังประชารัฐ” ที่ดูอย่างไรก็ยังไม่สงบ
ตามกระแสข่าวว่า “บิ๊กตู่” อารมณ์ค้าง ทุบโต๊ะราวีสางแค้น “ผู้กองนัส” ที่ถูกตราหน้าว่าเป็น “กบฏ” รวมถึง “ผู้สมรู้ร่วมคิด” ทั้งหลาย จากปมเหิมเกริมบังอาจคิดจะหักเขี้ยวเสือในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา กะจะถอนรากถอนโคน ให้หมดเพาเวอร์ไปเลย
แล้วยังพาดไปถึง “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) น้องชายร่วมสายเลือดตัวจริงของ “พี่ป้อม” ว่ามีเอี่ยวร่วมด้วยช่วยกันในยุทธการเขย่าเก้าอี้นายกฯ
ปฏิบัติการคืบคลานบอนไซ “ผู้กองมนัส” ขยับกันแบบเงียบๆ แต่เพียบด้วยความเคลื่อนไหว “2 ป.” คือ “ป.ประยุทธ์” และ “ป.ป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ใช้ยุทธศาสตร์ “เกลือจิ้มเกลือ” เอานักการเมืองด้วยกันแก้ทาง
ตามคิวที่หลังเสร็จศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ “บิ๊กตู่” ได้รัฐมนตรีที่เป็นโจทก์ในพรรคกับ “ผู้กองนัส” มาสวามิภักดิ์เยอะ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสามมิตรของ “เดอะซัน” สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม - สมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึง “เสี่ยแฮงค์” อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กินแหนงกับ “ธรรมนัส” อยู่เดิม
ร่วมด้วย “เสี่ยเฮ้ง” สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ที่ไปผนึกกำลังคนชะตากรรมเดียวกันอย่าง “สันติ พร้อมพัฒน์” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ทำตัวเป็นไอ้ห้อยไอ้โหนของ “บิ๊กตู่”
รวมไปถึง “เสี่ยโอ๋” ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่แม้ปากจะบอกอยู่กับ “ลุงป้อม” แต่ระยะหลังๆ มีคนตั้งข้อสังเกตว่า เฉี่ยวๆ ไปทาง “ลุงตู่” บ่อยๆ
หรือแม้แต่ “เสี่ยปาน” วิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และประธานวิปรัฐบาล ที่ถูกขนานนามว่า เป็น “แมวเก้าชีวิต” ที่ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจร่วมทำศึกกับ “ผู้กองนัส” แต่ไหวตัวทัน ทุกวันนี้ก็สั่งให้ลูกชาย “ปลัดแบงค์” อธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม หันมาเดินตามก้น “บิ๊กตู่” บ้าง เพื่อหวังต่อชะตาทางการเมืองของพ่อ
เป็นปฏิบัติการจากซีก “2 ป.” ที่ทั้งตีโต้ และทลาย “ซุ้มผู้กอง” ในพรรคให้แตกซ่าน ตามที่มีกระแสข่าวว่า เตรียมหนุนหลังให้รัฐมนตรีคู่อริ “ผู้กองนัส” ขึ้นมาเสียบเก้าอี้เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐแทน เพื่อเป็นหูเป็นตาให้ ไม่ให้มีใครใหญ่จนคิดมาเลื่อยขาตัวเองได้อีก
ขณะที่ “พี่ป้อม” ก็รู้ว่า “น้องตู่” เจ้าคิดเจ้าแค้น และงานนี้ไม่มีมูล หมาไม่ขี้ รีบเรียกประชุมพรรคพลังประชารัฐ ที่คนทั่วไปตีความว่า ต้องการลบภาพความแตกแยกในพรรค แต่แท้จริงน่าจะส่งสัญญาณถึงน้องชายสุดที่เลิฟโดยตรงมากกว่า ว่า “พรรคข้า เอ็งอย่าแตะ”
น่าสนใจอย่างยิ่งที่ก่อนหน้าประชุมพรรคเพียงวันเดียว “บิ๊กป้อม” สะบัดปากกาเซ็นคำสั่งแต่งตั้ง “บิ๊กน้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ให้เป็นประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐ ทั้งที่แต่เดิมตกปากรับคำว่าจะให้ “สมศักดิ์” นั่งเก้าอี้ตัวนี้
ขณะที่วันประชุม “บิ๊กป้อม” ก็ควง “บิ๊กน้อย” มาเปิดตัวและทำความรู้จักกับ ส.ส. โดยนั่งประกบข้างอยู่หัวโต๊ะ เพื่อแสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งนี้ไม่ได้ตั้งขึ้นเล่นๆ เอามาลอยๆ แต่ใหญ่พอๆ กับหัวหน้าพรรค
สำหรับ “บิ๊กน้อย” นั้น ในแวดวงท็อปบูตรู้จักกันดีว่า นี่คือ “น้องรักเบอร์ต้นๆ” ของ “บิ๊กป้อม” อยู่ในระนาบเดียวกับ “บิ๊กบี้” พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ลาออกจากรัฐมนตรี เพราะไม่พอใจที่ “บิ๊กตู่” เด้งอธิบดีกรมการจัดหางานคนของตัวเอง
อดีตนายทหารรายนี้ ไม่ว่าเดินไปไหน มียี่ห้อ “บิ๊กป้อม” ติดอยู่ตลอด คนในวงการรู้ว่า นี่หนึ่งใน “สายตรง” ของมูลนิธิป่ารอยต่อฯ เพียงแต่ที่ผ่านมา ถูกมอบหมายให้ไปทำงานด้านอื่นที่ไม่ใช่งานการเมือง
และยังว่ากันว่า “บิ๊กน้อย” คนนี้นี่แหละที่พา “ผู้กองนัส” มาพบ “บิ๊กป้อม” เพื่อขอความช่วยเหลือ ในช่วงที่ คสช.ทำรัฐประหารใหม่ๆ เมื่อปี 2557 หลังได้รับผลกระทบจากคำสั่ง คสช.
โดยคนที่พา “ผู้กองนัส” มาพบกับ “บิ๊กน้อย” ก็คือ เพื่อนนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 25 (ตท.25) ของตัวเอง ซึ่งเป็นนายทหารคนสนิทของ “บิ๊กน้อย”
ขณะที่ “บิ๊กน้อย” เองก็เป็น “ก๊วนทหารม้า” ของ “เสธ.ไอซ์” พล.อ.ไตรรงค์ อินทรทัต อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กองทัพบก บิ๊กทหารคนดังผู้ล่วงลับ ที่ “ผู้กองนัส” เคารพนับถือมากที่สุด
การที่ “บิ๊กป้อม” แต่งตั้งน้องรักรายนี้ขึ้นมาเป็นประธานยุทธศาสตร์พรรคพลังประชารัฐนั้น ทางหนึ่งเพื่อต้องการดึงมาช่วยงานทางการเมืองทั้งที่ไม่ถนัด เพราะเหลือหมากในมือไม่เยอะ หลัง “ผู้กองนัส” กระเด็นกระดอนไปแล้วหนึ่ง ทำงานไม่ถนัดเมื่อตอนยังไม่หักกับ “บิ๊กตู่”
การแต่งตั้ง “บิ๊กน้อย” ปาดหน้า “สมศักดิ์” แกนนำกลุ่มสามมิตรที่ระยะหลังใกล้ชิดกับ “บิ๊กตู่” ประกอบกับการที่ยืนยันว่า จะไม่ปลด “ผู้กองนัส” ออกจากแม่บ้านพรรค และจะไม่ปรับกรรมการบริหารพรรคใหม่
เมื่อ “ผู้กองนัส” เดินไม่สะดวก “หัวหน้าป้อม” ก็จำเป็นต้องมีคนมาช่วย “คัดท้าย” ทั้งงานพรรค-งานสภาฯ แทน
คนนอกอาจไม่ลึกซึ้ง แค่คนกันเองอย่าง “บิ๊กตู่” เตรียมทหารรุ่น 12 (ตท.12) ย่อมรู้ดีว่า “พี่น้อย” ที่เป็น ตท.11 นั้นใจถึงใจกับ “พี่ป้อม” แค่ไหน
คนนอกมองการมาของ “บิ๊กน้อย” ว่าเป็นเรื่องใหญ่ แต่ในมุม “บิ๊กตู่” ย่อมถือเป็นเรื่องใหญ่มาก และมองออกว่า “บิ๊กป้อม” คิดอ่านประการใดอยู่
เพียงแต่ใช้การสร้างความเป็น “ปึกแผ่น” ของพรรคบังหน้า เพื่อส่งสัญลักษณ์ “ท้าทาย” ไปถึง “น้องเลิฟ” บนตึกไทยคู่ฟ้า ที่มีข่าวจะมาจุ้นจ้านแทรกซึมว่า พรรคนี้ “มีเจ้าของคนเดียว”
ท่ามกลางกระแสข่าวว่า “ป.ประยุทธ์-ป.ป๊อก” เตรียมปรับแผนโยก “ปลัดฉิ่ง” ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลักกระทรวงมหาดไทย ที่กำลังจะเกษียณสิ้นเดือน ก.ย.นี้ และถูกวางตัวให้ตั้ง “พรรคสำรอง” เสริมแกร่งให้ “พี่น้อง 3 ป.” ในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่ล่าสุดอาจต้องดึงตัวข้ามห้วยจากพรรคสำรอง มาอยู่พรรคหลักที่ “ค่ายพลังประชารัฐ” ในฐานะเลขาธิการพรรคแทน “ธรรมนัส” พร้อมทั้งอวยยศขึ้นชั้นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ในการปรับคณะรัฐมนตรีครั้งต่อไปด้วย
เป็นจังหวะที่ “ทีมลุงตู่” ขยับ แล้ว “ทีมลุงป้อม” ก็งัดไม้เด็ดออกมา โดยใช้ “บิ๊กน้อย” เป็นตัว “วางสนุ๊ก” ที่พรรคพลังประชารัฐ
ส่งสถานการณ์ขณะนี้ เข้าสู่โหมดต่างคนต่างสร้างอาณาจักรของตัวเอง
ด้านหนึ่งหลังการปลด “ธรรมนัส-นฤมล” ประกอบกับการดึงแกนนำระดับรัฐมนตรีในพรรคเข้ามาใกล้ตัวมากขึ้นเพื่อใช้เดินงานการเมือง ทำให้ “บิ๊กตู่” กลายเป็นคนที่กุมอำนาจ “ฝ่ายบริหาร” เบ็ดเสร็จ
อีกด้าน“บิ๊กป้อม” ที่ขาลอยในฝ่ายบริหาร ไม่ได้คุมทหาร ตำรวจ ก็ทุ่มทุนคุม “ฝ่ายการเมือง” ในสภาฯแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดเช่นกัน เหมือนหลักการ “คานอำนาจ” ในระบอบประชาธิปไตย
แต่งัดสูตรนี้มาใช้คานอำนาจ “น้องตู่” แทน
ออกมาทรงแบบนี้ ดูแล้วสงครามเย็นของ “ป้อม-ตู่” คงได้ปะทุอีกเป็นระยะๆ แน่ คงแก้เกม เดินหมากใส่กันต่อเนื่อง อยู่ที่ว่าตานี้ใครเดิน
ที่ต้องจับตาคือ เกมในสภาฯ วันใดพ่อแง่แม่งอน น้องชายเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เห็นหัวพี่ อาจมี “เกมงอแง” ในสภาฯ อีกแหงแซะ ยังดีที่ระฆังหมดยก ปิดเทอมสมัยประชุมสภาฯ มิเช่นนั้นอาจเห็น “ทีมลูกป้อม” แผลงฤทธิ์ผ่านเวทีสภาฯ ไม่ว่าองค์ประชุม หรือโหวตวาระสำคัญของรัฐบาล
ที่ผ่านมา องค์ประชุมสภาฯอยู่ในภาวะ “ปริ่มๆ” มาโดยตลอด แล้วเป็นฝ่ายรับบาลด้วยซ้ำที่หายต๋อม ดีที่ฝ่ายค้านช่วยรักษาองค์ประชุมให้ทำงานกันได้
อาทิตย์ก่อนสภาผู้แทนราษฎรมีการพิจารณาลงมติร่างพระราชบัญญัติพืชกระท่อม วาระที่ 1 รับหลักการ ปรากฎว่าบางมาตรามีผู้เข้าร่วมประชุม 244 คน จากจำนวนเต็ม 480 ที่นั่ง ที่ต้องมีองค์ประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่ง 240 คน นี่ขนาดกฎหมายที่ทั้งรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ต่างเห็นพ้องสนับสนุนยังจวนเจียว “สภาฯ ล่ม” ให้เห็นกันแล้ว หรือกระทั่งการประชุมร่วมร้ฐสภา หลังโหวตร่างแก้รัฐธรรมนูญแล้วเสร็จ ประชุมกันต่อวาระอื่น ก็ล่มกันเห็นๆ มาแล้ว โดยที่ผู้ที่ไม่เข้าประชุมส่วนใหญ่ก็เป็น ส.ส.
จะเห็นได้ว่า สถานการณ์แบบสภาฯล่มทำงานไม่ได้ เกิดขึ้นง่าย และหากเกิดขึ้นถี่ๆ ก็แสดงว่าสภาฯ มีปัญหา ทางออกคือ “ยุบสภา” ไปว่ากันใหม่
หรือหากเลือกสกัดกฎหมายสำคัญของรัฐบาล ก็อาจเข็นไปที่มุมนายกฯต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบได้อีก
รูปการณ์ตอนนี้ ไม่ใช่ “ลับ ลวง พราง” หรือ “แบ่งแยกแล้วปกครอง” อย่างที่คนเข้าใจว่า “3 ป.” รู้กัน ปั่นหัวนักการเมือง แต่รอบนี้ พี่กับน้องร้องเพลงกันคนละคีย์จริง มีลูกเคืองกันชัดเจน
ยังมีปมร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านที่ประชุมรัฐสภาไปแล้ว แต่ข่าวว่า “ลุงตู่-ลุงป๊อก” ไม่ปลื้มกับบัตร 2 ใบ ในขณะที่ที่ “ลุงป้อม” สนับสนุนตามที่ “ลิ่วล้อ” พรีเซนต์ถึงความยิ่งใหญ่ของ “ค่ายพลังประชารัฐ” ตามสูตรเลือกตั้งใหม่
แต่วันโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นช่วงที่เกิดเรื่อง “ธรรมนัส-นฤมล” หมาดๆ ครั้น “น้องตู่” จะหัก “พี่ป้อม” ส่งสัญยาณให้ ส.ส.-ส.ว.โหวงค่ำวาระ 3 ก็เกรงว่าจะทำให้ “พี่ป้อม” ไม่พอใจเป็นทวีคูณ ยามนั้นก็เลยต้องปล่อยเลยตามเลย แล้วมาลุ้นที่ชั้นศาลรัฐธรรมนูญ ที่จะมีผู้ยื่นตีความเอา
เมื่อแนวทางการทำการเมืองไม่ตรงกัน “พรรคสำรอง” ที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า “บิ๊กป๊อก” ส่ง “ปลัดฉิ่ง” ไปซุ่มตั้งไว้ กระทั่งล้มเลิกแผนไป จึงถูกจับตาอีกครั้งว่า จะมีปัดฝุ่นกลับมาใช้ใหม่หรือไม่ เพราะดูท่า “บิ๊กป้อม” ออกตัวขนาดนี้ ชัดว่า ไม่อยากให้ “บิ๊กตู่” มายุ่งกับพรรคพลังประชารัฐ อาณาจักรของตัวเอง
แต่ครั้น “บิ๊กตู่-บิ๊กป๊อก” จะขาลอยเหมือนเดิมก็ไม่ได้ เพราะอาจวอดวายกันอีกเหมือนกับรอบนี้ ที่ดีว่า ข่าวแพร่งพรายออกมาก่อน ไม่อย่างนั้นนึกสภาพไม่ออกว่า เก้าอี้นายกฯ จะยังอยู่กับก้นของคนชื่อ “ประยุทธ์” หรือไม่
หรือไม่อย่างนั้นเวลามีแมตซ์สำคัญในสภาฯที ไม่ว่าจะเป็นการโหวตกฎหมายสำคัญๆ หรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากไม่มี ส.ส.ในอุ้งมือเลย ก็เสี่ยงจะเจอเรียก “ค่าบริการ” จาก ส.ส.เหมือนครั้งที่ผ่านมาอีก
อย่างไร “บิ๊กตู่” ต้องมีนั่งร้านเป็นของตัวเองแบบที่ “บิ๊กป้อม” มีในพรรคพลังประชารัฐ
ครั้นจะพึ่งรัฐมนตรีที่เข้ามาใกล้ชิดในตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นสามมิตร หรือคนอื่นๆ ว่ากันตามตรงก็ไม่ใช่เลือดแท้ ถ้าเกิดเรื่อง ภัยถึงตัว ปุบปับก็ชิ่งหนีเหมือนกัน ขนาด “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร ที่ว่าแน่ๆ ยังเทมาแล้ว นับประสาอะไรกับ “ท็อปบูต” ที่กดหัวมานาน
ทั้งหลายทั้งปวง เป็นความเคลื่อนไหวของ “ทีมลุงตู่-ทีมลุงป้อม” ที่เหมือนยิ่งถ่างความสัมพันธ์ ขยายรอยปริ ถ่างรอยร้าวของ “2 ลุง” มากขึ้นเรื่อยๆมากกว่า
ผนวกกับเรื่องบังเอิญที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่มี “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ เป็นประธาน ป.ป.ช. เกิดขยันผิดวิสัย ตั้งคณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดใหญ่สอบสวนกรณี “บิ๊กติ๊ก” พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา สมาชิกวุฒิสภา อดีตปลักกระทรวงหลาโหม และน้องในไส้ของ “ประยุทธ์” ตามท้องเรื่องยื่นบัญชีทรัพย์เป็นเท็จ สมัยเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
โดยคดี “บิ๊กติ๊ก” ที่ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดแบบเอกฉันท์ และค้างสต๊อกมาพักใหญ่ ข่าวว่า มีการแยกไต่สวนเกือบ 10 บัญชี โดยมาก ป.ป.ช. 8 ต่อ 1 เสียงชี้คดีว่าไม่มีมูลไปแล้ว ซึ่งจริงๆ ชี้ว่าไม่มีมูลทั้งหมดทีเดียว ก็ช่วยให้ “น้องนายกฯ” พ้นมลทินก็อาจทำได้ แต่ยังมีคาไว้ตอนนี้ 2 บัญชีอย่างมีนัยสำคัญ
เช่นเดียวกับการตั้งองค์คณะไต่สวน “บิ๊กป๊อก” กับพวกรวม 6 ราย กรณีลงนามคำสั่งให้บริษัทลูกในเครือกระทิงแดง ใช้ที่ดินสาธารณะที่ขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนที่ จ.ขอนแก่น เพื่อขยายโรงงานอุตสาหกรรม เข้าทำนอง “รื้อตะเข็บ” ขึ้นมาใหม่ หลังเกิดเรื่องผ่านมาราว 3 ปีได้แล้ว
ไม่พ้นถูกมองว่า “วัชรพล” เป็นสายตรง “บ้านโชคชัย” ของตระกูลพี่ใหญ่ เมื่อ ป.ป.ช.ออกแอคชันใส่ “คนของบิ๊กตู่” เช่นนี้
สวนกันคนละหมัด ฟาดกันคนละดอก ต่างคนต่างเดินหมากไม่ยอมกัน ทำท่าจพนำพากันไปสู่ “จุดแตกหัก” ในเร็ววันนี้
จับยามสามตาคำพูด “บิ๊กตู่” หรือ “บิ๊กป้อม” ที่ว่าเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปีกว่าๆ ดูท่าอย่างไรก็ไม่ถึง ถ้าเดินหมากกันแบบนี้ อยู่ที่จะ “จนกระดาน” กันเมื่อใดเท่านั้น
ปกติในทางการเมืองภาพใหญ่ ไม่มีการพูดกันโพนทะนาถึงการเลือกตั้งล่วงหน้าไกลขนาดนี้ อีหรอบนี้เหมือนปลอบใจตัวเอง เพราะรู้ว่า สภาพความสัมพันธ์ของ “พี่น้อง 3 ป.” คงไปได้อีกไม่กี่น้ำ
คิดง่ายๆ ตอนเป็น คสช. บอกว่าจะอยู่สั้น แต่สุดท้ายอยู่ยาวเบื้อย ครั้งนี้บอกอยู่ยาวอีกปีกว่า ทำนายล่วงหน้า สั้นจู๊ดแน่นอน.
ตามด้วยคิว “บิ๊กตู่” ขยับลงพื้นที่ถี่ยิบ เหมือนเคาะระฆังดังเป๊ง กลิ่นเลือกตั้งโชยมาแต่ไกล
แน่นอน “ทีม 3 ลุง” รู้ดีว่า ขืนเลือกตั้งช่วงนี้ไม่เป็นผลดีแน่นอน ด้วยคะแนนนิยมรัฐบาลที่ตกต่ำถึงขั้นสุด
ขึ้นอยู่กับว่า “ลุงตู่-ลุงป๊อก” จะจูนหาจุดลงตัวกับ “ลุงป้อม” ได้เมื่อไรเท่านั้น
เพราะไม่เคลียร์ใจกัน “3 ป.” อาจถึงขั้นแตกหัก ดีไม่ดีไม่มีใครถอย กลายเป็นต้องไฝว้กันเองผ่าน “สงครามตัวแทน” ในการเลือกตั้งหนหน้าก็เป็นได้
จังหวะเหมาะพรรคพลังประชารัฐเตรียมจัดสัมมนาใหญ่เร็วๆนี้ แว่วว่าอาจมี “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ที่เปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมือง “ยุค 3 ป.” ไปอย่างสิ้นเชิง
บ้างก็ว่าอาจเป็นฉากสุดท้ายของความรัก “พี่น้อง 3 ป.” ก็เป็นได้
แต่บ้างก็ว่าอีกเช่นกันว่า แม้ภาพความขัดแย้งจะดำเนินไปอย่างหนัก แต่อาจไม่ถึงขั้น “ผีไม่เผาเงาไม่เหยียบ” ระหว่าง “พี่น้อง 3 ป.” ที่แยกฝ่ายออกเป็น 2 ป.คือป.ป๊อกกับ ป.ประยุทธ์ และป.ป้อม ชัดเจน เพราะถึงที่สุดเมื่อถึงคราวจำเป็นในสถานการณ์การเมืองที่บีบคั้น สมการการเมืองที่ ณ ปัจจุบันคือ 2 ป. VS 1.ป.ก็อาจจะกลายเป็น 2 +1 = 3 ป.อีกครั้ง เพราะ “น้ำอาจจะแยกสาย แต่ไผ่อาจไม่แยกกอ” ก็เป็นได้
และถึงวันนั้น สภาพ “น้ำแยกสาย” ในวันนี้ เมื่อรวมกันแล้ว อาจกลายเป็น 3 ป.ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม...ใครจะไปรู้.