คอลัมน์...ในความเป็นไป
วรศักดิ์ มหัทธโนบล วันที่ 11 กันยายนปีนี้เป็นวันครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์เครื่องบินสามลำพุ่งเข้าชนตึกสำคัญของสหรัฐอเมริกาสามตึก สองตึกเป็นตึกแฝดที่เรียกว่า เวิร์ลด เทรด เซ็นเตอร์ อีกหนึ่งตึกคือ อาคารที่ทำการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ หรือที่รู้จักกันในชื่อ เพนตากอน
แต่มีเครื่องบินอีกหนึ่งลำที่ตกสู่ภาคพื้นดินจนผู้โดยสารทั้งหมดเสียชีวิต เครื่องบินลำนี้ถูกระบุว่ามีเป้าหมายจะถล่มตึกที่ทำการของสหรัฐฯ เช่นกัน และเชื่อว่าน่าจะเป็นทำเนียบขาวหรือไม่ก็อาคารรัฐสภา
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นช่วงเช้าตามเวลาท้องถิ่นของวันดังกล่าว พลันที่เกิดเหตุขึ้นก็ได้มีการแพร่ภาพไปยังทั่วโลก เหตุดังนั้น ในอีกซีกโลกหนึ่งจะได้รับทราบเหตุการณ์นี้ในเวลากลางคืน เหตุการณ์ที่รับรู้พร้อมกันไปทั่วโลกในครั้งนั้นได้สร้างความตะลึงงันให้แก่ผู้คน
แต่เมื่อตั้งสติได้อาการตะลึงงันดังกล่าวก็ค่อยๆ ถูกเปลี่ยนไปเป็นอารมณ์ที่หลากหลายแตกต่างกันไป เช่น หากเป็นชาวอเมริกันแล้วก็ย่อมแน่นอนว่าต้องโกรธเกรี้ยวคั่งแค้นใจ และมีไม่น้อยที่ตั้งคำถามว่า ทำไมพวกผู้ก่อการครั้งนี้จึงเกลียดอเมริกา
ชาวอเมริกันกลุ่มหลังนี้คงไม่รู้จริงๆ ว่า ทำไมคนจำนวนมากจึงเกลียดอเมริกาได้ขนาดนั้น และคงไม่รู้อีกต่อไปตราบเท่าไม่ยอมศึกษาหรือรับรู้สิ่งที่รัฐบาลของตนได้กระทำต่อชาวโลก
หรือไม่ก็อาจจะรู้อยู่แล้ว แต่เชื่อว่าที่รัฐบาลของตนทำไปนั้นถูกต้องชอบธรรมดีแล้ว และคงเห็นด้วยว่าควรทำต่อไป
นอกจากชาวอเมริกันแล้ว ชาวยุโรปก็น่าจะรู้สึกไม่ต่างกัน ถึงแม้จะน้อยกว่าชาวอเมริกันก็ตาม ด้วยเหตุนี้ เราจึงเห็นว่านายกรัฐมนตรีของอังกฤษรีบบินไปให้แสดงความเสียใจ และให้กำลังใจรัฐบาลสหรัฐฯ ในขณะที่นักดนตรีคนหนึ่งของประเทศนี้บอกว่า นายกฯ ของตนทำตัวไม่ต่างกับหมาพูเดิ้ลที่เฝ้าติดตามเจ้านายอย่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วยความซื่อสัตย์
ส่วนในฟากฝั่งตะวันออกนั้นแทบไม่ต้องพูดถึง คือถ้าเป็นประเทศแถบตะวันออกกลางแล้วจะรู้สึกยินดี ประเทศแถวๆ บ้านเราคือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็คงไม่ต่างกัน จะมีก็แต่จีนที่น่าสนใจ เพราะรู้กันอยู่ว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมากับสหรัฐฯ มาแต่ไหนแต่ไร พอเกิดเหตุการณ์ที่ว่าขึ้นจีนจะรู้สึกอย่างไร
จริงๆ แล้วต้องบอกว่า รัฐบาลจีนวางตัวดีมาก กล่าวคือ แทนที่จะซ้ำเติมกลับแสดงความเสียใจกับสหรัฐฯ ซ้ำยังกล่าวอีกด้วยว่า จีนเองก็มีนโยบายต่อต้านการก่อการร้ายเช่นกัน และจีนยินดีที่จะร่วมมือกับสหรัฐฯ ในการต่อต้านการก่อการร้าย
แต่นั่นเป็นเรื่องของรัฐบาล แต่กับชาวจีนแล้วไม่เป็นเช่นนั้น เล่ากันว่า ตอนที่ข่าวสหรัฐฯ ถูกเครื่องบินพุ่งชนนั้นเป็นเวลากลางคืนราวสี่ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่ชาวจีนส่วนใหญ่พักผ่อนหรือเข้านอนกันแล้ว แต่พอรู้ข่าวดังกล่าว ชาวจีนในหลายเมืองต่างพากันออกจากบ้านไปหาซื้อเหล้ามาดื่มฉลอง
จนบางร้านเหล้าหมดร้านก็มี ทั้งๆ ที่เวลานั้นเป็นเวลาที่ร้านเหล้ากำลังจะปิดหรือปิดไปแล้ว โดยที่ปิดไปแล้วมีไม่น้อยที่ถูกเรียกให้เปิด
หลังจากเหตุการณ์ 11 กันยายนผ่านไปนานนับเดือนนับปี มีหนังสือหลายเล่มที่พูดถึงเหตุการณ์นี้และวิเคราะห์ไปต่างๆ นานา ส่วนหนึ่งเพื่อตอบว่า ทำไมคนเขาถึงได้เกลียดอเมริกากันนักกันหนา
ผมเชื่อว่า คนไทยจำนวนมากคงพอรู้อยู่แล้วว่า ทำไมคนถึงเกลียดอเมริกากันมากขนาดนั้น โดยเฉพาะคนรุ่นผู้ใหญ่และคนที่ศึกษาหรือติดตามข่าวสารการเมืองโลกจะทราบดี ว่าหลายสิบปีที่ผ่านมานับแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองสหรัฐฯ ได้ไปทำปู้ยี่ปู้ยำกับประเทศต่างๆ ในเรื่องอะไรบ้างและมากน้อยแค่ไหน
ไทยก็เป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกสหรัฐฯ กระทำเช่นกัน
แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ผมอยากเล่าให้ฟัง ด้วยเห็นว่าเป็นหนึ่งในหลายๆ เรื่องที่สหรัฐฯ ได้กระทำอย่างเลวร้ายจนยากจะให้อภัย (อันที่จริงแทบทุกเรื่องล้วนยากจะให้อภัยทั้งสิ้น) เรื่องที่ว่านี้เป็นเรื่องเก่าที่ผ่านมาหลายสิบปีแล้ว และเป็นเรื่องที่เกิดก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคมของไทยไม่กี่เดือน
เรื่องนี้เกิดขึ้นประเทศชิลี และเกิดขึ้นในวันที่ 11 กันยายนเช่นกัน
กล่าวคือ ในวันที่ 11 กันยายน 1973 (2516) ได้เกิดการรัฐประหารขึ้นในชิลี โดยคณะรัฐประหารได้เข้ายึดอำนาจรัฐบาลพลเรือนที่มีซัลบาดอร์ กิเยร์โม อาเยนเด โกเซนส์ (Salvador Guillermo Allende Gossens, 1908-1973) เป็นประธานาธิบดี และเป็นนักการเมืองของพรรคสังคมนิยมประชาธิปัตย์ (Socialist Democratic Party)
อาเยนเดจัดเป็นนักสังคมนิยมหรือมาร์กซิสต์คนหนึ่งของชิลี เขาได้รับการเลือกตั้งที่จัดให้มีขึ้นตามระบอบประชาธิปไตยในปี 1970 อันที่จริงแล้วการเลือกตั้งในปีนั้นไม่มีพรรคใดที่ได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด โดยอาเยนเดได้คะแนนร้อยละ 36 คู่แข่งของเขาที่เป็นแนวร่วมฝ่ายขวาได้ร้อยละ 35 และฝ่ายเป็นกลางได้ร้อยละ 28
เมื่อเป็นเช่นนี้ อาเยนเดจึงนำตนไปรวมเข้ากับฝ่ายเป็นกลางจึงจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ
แม้จะเป็นรัฐบาลที่มีนโยบายสังคมนิยมแบบมาร์กซิสต์ แต่อาเยนเดก็มิใช่มาร์กซิสต์ที่มุ่งจะได้อำนาจมาด้วยการปฏิวัติหรือการใช้กำลังเข้ายึดอำนาจ เขายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่มีการเลือกตั้ง และเขาก็ได้อำนาจนั้นมาถึงแม้จะด้วยคะแนนเสียงที่ไม่เด็ดขาดก็ตาม
ประเด็นปัญหาก็คือว่า เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้ว อาเยนเดก็ประกาศใช้นโยบายสังคมนิยมตามที่เขาได้หาเสียงเอาไว้ และหนึ่งในนโยบายที่สำคัญก็คือ การควบรวมกิจการของเอกชนมาเป็นของรัฐ เวลานั้นกิจการเอกชนที่สำคัญกิจการหนึ่งก็คือ เหมืองทองแดง ที่มีสหรัฐฯ เป็นผู้ลงทุนรายใหญ่
ชิลีขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่มีทองแดงสูง 1 ใน 3 ของโลก และเป็นประเทศที่ส่งออกแร่นี้สูงที่สุดในโลก แร่ทองแดงจึงเป็นเส้นเลือดสำคัญของชิลี
เหตุดังนั้น เมื่อจะควบรวมกิจการแล้ว กิจการเหมืองทองแดงของสหรัฐฯ ก็จะถูกควบรวมด้วย ประเด็นปัญหาก็คือว่า การควบรวมที่จะเกิดขึ้นนี้รัฐบาลอาเยนเดิมไม่ได้เงินสินไหมทดแทนให้กับเจ้าของกิจการด้วย เหตุการณ์นี้จึงไม่เพียงสร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มทุนเจ้าของกิจการเท่านั้น หากแม้แต่รัฐบาลสหรัฐฯ เองก็ไม่พอใจ
เวลานั้นบุคคลของสหรัฐฯ ที่มีบทบาทสูงในการสนับสนุนรัฐประหารในชิลีคือ เฮนรี่ อัลเฟรด คิสซิงเจอร์ (Henry Alfred Kissinger, 1923-) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศและที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ สมัยประธานาธิบดีริชาร์ด มิลเฮาส์ นิกสัน (Richard Milhous Nixon, 1913-1994) โดยที่ควรกล่าวด้วยว่า ก่อนการรัฐประหารนั้น คิสซิงเจอร์มีความไม่พอใจการเป็นนักการเมืองมาร์กซิสต์ของอาเยนเดเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งอาเยนเดได้เป็นผู้นำชิลีด้วยแล้ว ความไม่พอใจดังกล่าวก็ยิ่งเพิ่มทวีคูณ
จนถึงกับกล่าวว่า “ผมไม่เห็นว่า ทำไมเราต้องยอมทนอยู่เฉยๆ เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งกลายเป็นคอมมิวนิสต์ไป เพียงเพราะความไม่รับผิดชอบของประชาชนในประเทศนั้นๆ เอง” คำกล่าวนี้ของเขาทำให้เห็นว่า สำหรับสหรัฐฯ แล้วประชาธิปไตยไม่สำคัญเท่าคอมมิวนิสต์มีอำนาจ ถึงแม้การได้มาซึ่งอำนาจนั้นจะเป็นไปตามครรลองประชาธิปไตยก็ตาม
จากเหตุดังกล่าว คิสซิงเจอร์โดยความเห็นชอบของนิกสันจึงสนับสนุนการรัฐประหารในชิลีอย่างเต็มที่ การรัฐประหารเกิดขึ้นโดยน้ำมือของขุนศึกที่ชื่อ เอากุสโต โฆเซ รามอน ปิโนเช อูการ์เต (Augusto José Ramón Pinochet Ugarte; 1915–2006) เมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้ว ขุนศึกผู้นี้ก็ทำการเข่นฆ่านักการเมืองฝ่ายซ้าย นักศึกษา และประชาชนผู้เห็นต่างจำนวนมาก
จำนวนผู้เสียชีวิตจากระบอบปิโนเชมีเป็นจำนวนมาก บ้างก็ว่าหลายพันคน บ้างก็ว่าสูงถึงหลักหมื่นคน และมีผู้ถูกจับกุมคุมขังสูงถึง 130,000 คน ที่สำคัญ เขายังได้ให้กองกำลังถล่มทำเนียบประธานาธิบดี และตัวของอาเยนเดเสียชีวิตจากอาวุธปืน ซึ่งในเวลานั้นระบุว่า เขาถูกทหารที่บุกเข้าไปยิงเสียชีวิต แต่หลังจากนั้นอีกนับสิบปีกลับระบุว่า เขายิงตัวตาย
ชะตากรรมของปิโนเชหลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรต่อไปในที่นี้ขอยกไว้ แต่เท่าที่กล่าวมานี้ก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า พฤติกรรมที่สหรัฐฯ ก่อแก่ประเทศต่างๆ จากที่ผ่านมาหลายสิบปีนั้นเลวร้ายและชั่วร้ายเพียงใด ที่ซึ่งหากรวมผู้เสียชีวิตจากพฤติกรรมของสหรัฐฯ นับจากสงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่อยมาน่าจะอยู่ที่หลักหลายล้านคน
เหตุการณ์วันที่ 11 กันยายน 2001 ที่สหรัฐฯ ประสพจึงเป็นเหตุการณ์เล็กๆ เหตุการณ์หนึ่งของโลก รวมทั้งเหตุการณ์ 11 กันยายน 1973 ที่ชิลี และต่างก็เป็นเหตุการณ์ที่มิได้เป็นอนุสติใดๆ ให้แก่สหรัฐฯ ได้เกิดการยับยั้งชั่งใจในพฤตกรรมของตนแม้แต่น้อย
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า สหรัฐฯ เป็นประเทศที่ไม่เชื่อในกฎแห่งกรรม