สัปดาห์นี้มีการกล่าวขานกันมากถึงพระสองรูปที่จัดรายการไลฟ์แบตเทิลกันทางเฟซบุ๊กมีคนเข้าไปดูมากถึงสองแสนคน ผมเองไม่ได้ดูตอนไลฟ์ แต่ไปหาคลิปมาดู ดูได้ไปประมาณชั่วโมงก็ไม่อาจรับสิ่งที่พระสองรูปสนทนากันได้อีกต่อไป
มีการถกเถียงกันว่า พระทำแบบนี้เหมาะสมไหม อาการแสดงออกของพระที่จีบปากจีบคอหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกันจนเกินพอดีนั้นเหมาะสมไหม
พระพยอม ซึ่งเป็นต้นตำรับเทศนาธรรมะปนเสียงฮา บอกว่า คนในเมืองไทยเรามีหลายอย่าง คนวัยรุ่นชอบอีกอย่าง คนสูงอายุชอบอีกอย่าง ตอนนี้พระพยอมเปลี่ยนแนวไปเป็นวิเคราะห์ตามสื่อ ตามหนังสือพิมพ์มากกว่า อยากฝากไว้ว่าอย่าไปตำหนิอะไรกันมาก เมื่ออายุหรือพรรษามากขึ้นความรู้สึกจะปรับเปลี่ยนไป ชั่งน้ำหนักดูแล้วถือว่าได้ประโยชน์ เพราะมีที่ไหนคนฟังธรรมะ 2 แสนคน คนค้นหาเป็นล้าน มันอาจจะน้ำท่วมทุ่งสนุกสนานเบิกบานไปบ้าง แต่มันก็ดีที่เทศน์ให้สนุกสนาน ไม่ใช่เทศน์ให้ง่วง ให้เครียด ให้หลับ
แต่พระพยอมบอกว่าตัวท่านเองก็เคยเป็นแบบนี้แต่ถูกตำหนิติฉิน แต่ปัจจุบันท่านเปลี่ยนไปแล้ว เพราะเมื่ออายุมากขึ้นจะมีสติ สมาธิ ปัญญา จะมากขึ้นตามลำดับ
ดูเหมือนพระพยอมให้ท้าย แต่ถ้าฟังให้ดีความหมายของพระพยอมนั่นคือ พระสองรูปยังอ่อนพรรษา สมาธิ สติ ปัญญายังไม่เกิด
พระไพรวัลย์ ตอบโต้ถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า แน่นอนทีเดียวในการที่อาตมาเปลี่ยนรูปแบบและวิธีการในการเผยแผ่ศาสนาแล้ว จะต้องมีชาวพุทธบางกลุ่มมองว่า ไม่เหมาะ ไม่ควร ทำให้ศาสนาเสื่อม หรือทำให้คนหมดศรัทธา ไม่ว่าชาวพุทธกลุ่มนั้น จะมองแบบไหน อาตมาขอยอมรับและไม่ขอปฏิเสธเลย
อาตมาจะเขียนให้ชัดอีกครั้งว่า เหมาะสมทั้งหมด ไม่มีทางเป็นไปได้ และไม่เหมาะสมทั้งหมด ก็อาจไม่มีอยู่จริง ธรรมะมันเหมือนกับอะไรบางอย่าง ซึ่งมีหลายระดับและเหมาะกับคนแต่ละช่วงวัยแตกต่างกันไป บางคนอาจจะชอบกับรสขมของอเมริกาโน่ ในขณะที่บางคนอาจกินได้แค่ลาเต้อย่างเดียว
ถ้าใครฟังพระไพรวัลย์ เห็นถึงความพยายามสร้างคำว่า “สภาพพพ” ขึ้นมาให้คนจดจำเมื่อนึกถึงตัวเอง แต่ด้วยความกล่าวพร่ำเพรื่อ เราก็ไม่สามารถจับจุดได้เลยว่า การพูดคำว่า “สภาพพพ” นั้นจะเกิดขึ้นในบริบทแบบไหน
ก่อนจะพูดว่าพระสงฆ์จะทำอะไรได้บ้าง ทำทุกอย่างแบบคฤหัสถ์เขาทำได้ไหม ผมคิดว่า ประเด็นที่ต้องถกกันก่อนก็คือ การแบตเทิลของพระไพรวัลย์และพระสมปองนั้นเป็นการแสดงธรรมะไหม บอกตรงๆ ว่า ผมนั่งฟังอยู่ชั่วโมงหนึ่งไม่มีส่วนไหนที่บอกว่าท่านกำลังเผยแผ่หลักธรรมเลย
ดังนั้นที่พระพยอมบอกว่า มีที่ไหนคนฟังธรรมะ 2 แสนคน ผมคิดว่าพระพยอมคงจะไม่ได้ฟัง ถ้าฟังแล้วช่วยบอกหน่อยสิว่าตรงไหนที่เป็นการแสดงธรรมะนอกจากน้ำท่วมทุ่งสนุกเบิกบานเรียกเสียงฮาเท่านั้น
ถ้าเราไม่รู้ว่าคนที่จัดรายการประชันนั้นเป็นใครไม่ได้ใส่ผ้าเหลือง ฟังแต่เสียงที่มีการหัวเราะเอิ๊กอ๊ากตลอดเวลาของพระไพรวัลย์ เราต้องนึกว่าเป็นการแสดงจำอวดของคณะตลกอย่างแน่นอน ขาดเสียอย่างเดียวเรายังไม่ได้ยินเสียงเอาถาดเคาะหัวกัน ถ้าจะแบตเทิลครั้งต่อไปเตรียมฝาบาตรไว้เคาะหัวกันหน่อยก็จะบันเทิงมากกว่านี้
ใช่ครับบันเทิง ถ้าคิดว่าเป็นการฟังเพื่อบันเทิงไม่เอาสาระก็ได้อยู่ แต่มันก็ต้องถามนั่นแหละว่า เป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ที่ต้องมาแสดงจำอวดเพื่อเรียกเสียงหัวเราะแบบนี้ เมื่อดูจากเนื้อหาแล้วการแสดงของพระทั้งสองไม่ใช่การแสดงธรรมะแน่ๆ จึงมาถกเถียงกันว่า สิ่งที่พระทั้งสองรูปแสดงออกมานั้นเหมาะควรไหม
แต่ถามว่าพระใช้เครื่องมือสมัยใหม่เพื่อเปิดแผ่ธรรมะนั้นดีไหม ผมว่าดีนะ เพียงแต่ที่พระสองรูปทำนั้นมันไม่ใช่ธรรมะ เป็นการแสดงจำอวดจนเกินความเป็นพระเสียมากกว่า
แม้ผมจะเป็นคนไกลวัดแต่ก็พอจะทราบว่า กิจของสงฆ์นั้นต้องมีความสำรวมในพระปาติโมกข์ อันเป็นศีลของพระสงฆ์ซึ่งทรงบัญญัติไว้เพื่อคุ้มครองให้พระสงฆ์นั้นพ้นจากทุกข์ภัยต่างๆ พระย่อมจะมีกฎเกณฑ์ที่ให้ต้องปฏิบัติเพื่อให้สมกับความเป็นพระ ที่เขาบอกว่า ต้องสำรวมระวังในพระปาติโมกข์มิใช่หรือ
พระย่อมต้องรู้ว่าอะไรเป็นอาจารที่ดีอะไรเป็นอาจารที่ไม่ดีที่ไหนควรจะโคจรไม่ควรโคจร มีศีลของพระสงฆ์ 227 ข้อให้เป็นหลักปฏิบัตินั่นเป็นข้อแยกแยะพระสงฆ์จากคนทั่วไป
พระสงฆ์ต้องมีเสขิยวัตร ว่าด้วย “สารูป” คือ กิริยามารยาทที่ควรประพฤติในเวลาเข้าไปในหมู่บ้าน เริ่มตั้งแต่การนุ่งห่ม การสำรวม ระวังอิริยาบถ การพูดคุย ให้อยู่ในอาการที่เหมาะสม ว่าด้วย “ธัมมเทสนาปฏิสังยุต” คือมีกิริยามารยาทในการแสดงธรรมแก่ผู้อื่น
ถ้าอยากเป็นพระก็ต้องมีกฎเกณฑ์ของสงฆ์ที่ต้องปฏิบัติ แต่ถ้าไม่อยากให้กฎเกณฑ์ของสงฆ์มาบังคับใช้กับตัวเองก็ต้องสึกออกมาเป็นคนธรรมดา
แต่ถ้าถามผมว่าสงฆ์ควรจะมีความเห็นทางการเมืองไหม ส่วนตัวผมก็ไม่ติฉินเรื่องนี้แต่อย่างใด เพราะคิดว่า พระก็คือ ประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศ ถ้าการเมืองไม่ดีก็กระทบกับพระสงฆ์เช่นเดียวกัน ดังนั้นผมไม่ติดใจหรอกที่พระไหนจะเป็นสลิ่มหรือสามกีบ ผมไม่ติฉินที่พระออกมาชุมนุมทางการเมือง แต่ผมคิดว่าการออกมาแสดงบทบาทในการเมืองก็ต้องเหมาะสมกับฐานานุรูปและสถานะของการเป็นพระด้วย
ผมไม่ติดใจพระเล่นเฟซบุ๊ก ถ้าพระรู้จักใช้เฟซบุ๊กให้เป็นประโยชน์ก็จะเกิดผลดีต่อการเผยแผ่ธรรมะไม่น้อย แต่อย่างที่บอกแหละว่า เท่าที่พยายามฟังพระทั้งสองแบตเทิลกันผ่านเฟซบุ๊กนั้น ไม่มีตรงไหนที่เป็นธรรมะเลย ตรงนี้ต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะสื่อพากันบอกว่าเป็นการเทศนาธรรม เราไม่อาจบอกได้หรอกว่าคนฟังตั้ง 2 แสนคนแล้วสิ่งนั้นย่อมดี แต่ต้องดูที่เนื้อหาของมัน
เข้าใจครับว่า พระส่วนใหญ่ก็มีความคิดและจิตใจเหมือนกับคนทั่วไป ยังไม่บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มีความโกรธเกลียดเป็นกิเลสครอบงำอยู่ในจิตใจ การมีชื่อเสียงบางครั้งก็อาจจะหลงลืมตนไปได้
แต่ผมคิดว่าทั้งพระไพรวัลย์และพระสมปองก็คงเป็นเช่นนั้น แม้จะบวชเรียนถึงขั้นปริญญาเอก ห่มร่างด้วยผ้าเหลือง เข้าใจว่าตัวเองกำลังดัง แล้วยังมีกิเลสตัณหาเหมือนคนทั่วไป จะแสดงออกอย่างไรก็ได้อย่างที่คนทั่วไปแสดงออกมาได้
แบตเทิลทางเฟซบุ๊กกันดึกดื่น ผมไม่ทราบเหมือนกันว่าพระทั้งสองรูปยังตื่นขึ้นมาบิณฑบาตหรือไม่ แต่พอรู้ว่า พระทั้งสองนั้นมีรายได้พองามจากการรับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ต่างๆ แถมยังเปิดรับบริจาคอีกต่างหาก และเมื่อมีคนติดตามมากเช่นนี้ย่อมจะมีรายได้จากทางเฟซบุ๊กไม่น้อย สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้เลย
รออย่างเดียวว่า ถ้าทั้งสองสละผ้าเหลืองแล้วไปเล่นจำอวดก็คงดังระเบิดยิ่งกว่านี้ บางทีอาจจะดับแสงของหม่ำ เท่ง โหน่งไปเลยก็ได้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan